
"พระอุเชนทร์" อภินิหารเทพเจ้าประจำตัว "พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์"
"พระอุเชนทร์" สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่ง วัดสวนขัน เปิดข้อมูลทำความรู้จักประวัติและตำนาน แห่งเทพเจ้า ประจำตัว ของ "พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์" นครศรีธรรมราช ก่อนดราม่า อินฟลูเอนเซอร์ดัง อัญเชิญ กอด จูบ ได้อย่างไร?
"พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์" หรือ "หลวงพ่อคล้าย จันทสุวัณโณ" นามตามสมณศักดิ์ท่านคือ "พระครูพิศิษฐ์อรรถการ" อดีตเจ้าอาวาสวัดสวนขัน และ วัดพระธาตุน้อย จ.นครศรีธรรมราช เป็นพระสงฆ์ ที่เป็นหนึ่งในศูนย์รวมจิตใจ ของชาวใต้ เป็นเทพเจ้าแห่งแดนใต้ ผู้คนให้ความเคารพนับถือ ในความศักดิ์สิทธิ์ แทบทุกบ้าน มีรูปเคารพของท่าน
เมื่อกล่าวถึง "พ่อท่านคล้าย" ย่อมจะไม่พูดถึง เทพประจำตัวท่านเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นหนึ่งในตำนาน ที่เกี่ยวพันกับท่าน อย่างแยกไม่ได้ นั่นคือ "พระอุเชนทร์" (พระพิฆเนศ อายุราว 1,600 ปี) ที่ถูกบันทึกไว้ถึงอภินิหาร ความศักดิ์สิทธิ์ ทรงพลังลากยาวกว่า "ศตวรรษ"
ตามข้อมูล"เทพประจำตัว"ของ"พ่อท่านคล้าย" คือ "พระอุเชนทร์"(พระพิฆเนศ) ซึ่งมีระบุไว้ว่า "พระอุเชนทร์" เป็นเทพเจ้าประจำอำเภอฉวางและประจำกรมช้างกลาง สร้างด้วยหินทรายแดง
ในอดีต "เมืองนครศรีธรรมราช" มีการจับช้างเพื่อส่งเข้าถวายงานในเมืองหลวง โดยกรมช้างกลาง และบางเชือกส่งไปฝึกและขายไปยังต่างประเทศ ต่อมากรมช้างกลางถูกลดบทบาทลงโดยให้กรมการอำเภอฉวางจับช้างแทน ดังนั้น"พระอุเชนทร์"จึงมีความสำคัญมาตั้งแต่อดีตกาล
เปิดตำนาน "พระอุเชนทร์"
เล่ากันว่า "พระอุเชนทร์" เดิมได้อัญเชิญไปประดิษฐานที่ อ.ถ้ำพรรณรา ซึ่งอดีตเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอฉวาง และถูกนำมาจาก อ.ถ้ำพรรณรา เพื่อนำมาประดิษฐานที่ว่าการอำเภอฉวางเก่า ในปี พ.ศ.2442 โดยสมัยนั้นเรียกว่า"วังอ้ายล้อน" ต่อมามีการย้าย ที่ว่าการอำเภอ วังอ้ายล้อนจึงถูกทิ้งให้เป็นป่ารกร้าง (ปัจจุบันคือสวนของชาวบ้านอยู่ตรงข้ามกับวัดโคกหาดตั้งอยู่ริมคลองที่ไหลมาจากคุดด้วน) เข้าใจว่าไม่ได้มีการนำ "พระอุเชนทร์" ไปด้วย หลังจากนั้นก็เกิดสิ่งประหลาดบ่อยครั้งคือ
"ชาวบ้านมักได้ยินเสียงโห่ร้องเหมือนคนโห่ดัง แหวๆ โดยดังมาจากทางวังอ้ายล้อน เป็นแบบนี้อยู่ประมาณ 10 กว่าปี" (เชื่อว่า เทวดา อารักษ์ ต้องการส่งสัญญาณบอกชาวบ้านว่าอย่าลืม พระอุเชนทร์ ให้อัญเชิญท่านไปด้วย )
ชาวบ้านละแวกนั้นมักจะนิยมบนบานต่อ "พระอุเชนทร์" ให้พืชผลไร่นาออกผลดี ไม่ให้ช้างมาเหยียบหรือมาทำลาย โดยชาวบ้านไม่ทราบว่า "พระอุเชนทร์" ประดิษฐานอยู่ตรงจุดไหนเพียงแต่ไปบนบาน ณ สถานที่ ที่พระอุเชนทร์ เคยประดิษฐานอยู่ โดยจะบนบานด้วยเทียน 3 ง่าม คือ
เทียนที่มัดติดกัน 3 ด้าม แล้วแยกออกจากกันเป็น 3 ง่าม
อยู่มาวันหนึ่ง "นายด้วน" และ นายเงิน" ทองบัว สองพ่อลูกได้บนบานต่อ "พระอุเชนทร์" เหมือนกับชาวบ้านทั่วไป แต่เขากลับลืมแก้บน ต่อมาขณะที่นายด้วนกำลังเดินทางไปเรียนหนังสือยังวัดสวนขัน มือของนายด้วนเกิดติดกันโดยไม่สามารถแยกออกจากกันได้ นายด้วนคิดออกว่าสงสัยจะลืมแก้บน"พระอุเชนทร์"แน่นอน แต่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ระหว่างทางกลับบ้านคนที่ไปเรียนกับนายด้วนเห็นคนไม่มีหัวถือกระบองยืนขวางทางอยู่ เป็นดังนั้นคนผู้นั้นจึงรีบวิ่งไปบอกพ่อแม่ของนายด้วน เมื่อรับนายด้วนกลับมาจึงทำพิธีขอขมาและแก้บนกับ "พระอุเชนทร์" เหตุการณ์จึงกลับเป็นปกติ
ต่อมาประมาณปีเศษ "นายเงินและนายด้วน" พากันไปหาหวายในป่า เพื่อนำไปขาย ระหว่างที่ทั้งสองฟันลงไปที่โคนต้นไม้ ปรากฏว่าไปถูกกระทบกับหิน ทั้งสองเข้าใจว่าเป็นหินลับมีด พอพลิกดูก็ปรากฏเป็นรูปช้าง มีงวง มีงา มีหัว นายเงินจึงบอกนายด้วนว่า “นี่แหละพระอุเชนทร์” ทั้งสองจึงยก พระอุเชนทร์ พิงไว้กับต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น พระอุเชนทร์ จึงแสดงอภินิหารทำให้ฝนตกติดต่อกันเจ็ดวันเจ็ดคืน
นายเงินคิดว่าฝนตกติดต่อกันหลายวันต้องเป็นเพราะ "พระอุเชนทร์" แน่ จึงกลับไปพลิกเอาหน้า พระอุเชนทร์ ลงกับพื้นดิน ฝนที่ตกหนักจึงกลับมาแล้งทันที
เมื่อครั้งที่ "พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์" พระเถระผู้ได้รับการยกย่องว่า ท่านคือเทวดาเมืองนครศรีธรรมราช ยังครองวัดสวนขันอยู่นั้น "พ่อท่านคล้าย"ได้ทราบถึงเรื่องจากคำเล่าลือกันของชาวบ้าน ถึงเรื่องอภินิหารจากคำเล่าลือกันว่า
"พระอุเชนทร์" จมอยู่ใต้น้ำที่คุ้งน้ำ วังอ้ายล้อน แต่ไม่มีใครไม่สามารถนำขึ้นมาได้ จมมานานแค่ไหนไม่มีใครรู้ แต่ไม่กล้าบอกให้ใครทราบ
หลายปีผ่านไป "พระอุเชนทร์" แสดงอภินิหาร โดยจะมีเสียงช้างร้องดังมากในเวลา กลางคืน ยิ่งเป็นวันพระ ยิ่งร้องเสียงดัง ทำเอาชาวบ้านละแวกนั้นต่างหวาดกลัว พ่อท่านคล้ายทราบเรื่องนี้จึงบอกว่า "นั่นคือ เสียงพระอุเชนทร์" จึงเรียก นายเงินไปพบ เมื่อ พ่อท่านคล้ายทราบเรื่อง พระอุเชนทร์ โดยละเอียดแล้ว
เมื่อถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ตรงกับวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2469 พ่อท่านคล้าย พร้อมด้วยชาวบ้านได้พาเรือของเจ๊กกวด เป็นเรือยาวประมาณ 3 วา ล่องมาทางคลองคุดด้วน ระหว่างนั้นฝนตกหนักมาก ทั้งหมดเดินทางไปจนถึงที่ "พระอุเชนทร์ ประดิษฐานอยู่" พ่อท่านคล้าย ได้ทำพิธีอัญเชิญกลางสายฝน โดยจุดเทียนขึ้นมากลางสายฝนโดยเทียนไม่ดับ เมื่อสารวัตรเสน เข้าไปอุ้ม พระอุเชนทร์ เทียนก็ดับทันที
ระหว่างกลับวัด พ่อท่านคล้ายถามว่า "หนักม้ายละบ่าว" สารวัตรเสนตอบว่า "ไม่หนัก" ระหว่างที่พ่อท่านคล้ายล่องเรือกลับพร้อมกับชาวบ้านที่ไปช่วยงม "พระอุเชนทร์" ขึ้นมา เกิดลมแรงและฝนตกหนักมากทั่วบริเวณ พ่อท่านคล้ายจึงพูดขึ้นว่า "ที่ยังกว้าง ฝนตกไม่ถึงเรือ" ปรากฏว่าก็เป็นจริงดังนั้นฝนตกไปได้เพียงครึ่งทางก็หยุด โดยฝนตกไล่ตามหลังเรือมาแต่ตามมาไม่ถึงเรือจนถึง วัดสวนขัน
เมื่อถึง วัดสวนขัน มีชาวบ้านประมาณ 200 คนมารอรับ ทั้งหมดได้ตั้งขบวนแห่พระอุเชนทร์ไปประดิษฐานที่กลางพระอุโบสถ และทำพิธีสมโภชอย่างยิ่งใหญ่
ปัจจุบัน "พระอุเชนทร์" องค์ดังกล่าวยังคงประดิษฐานอยู่ที่วัดสวนขัน บนกุฎิหลังเก่าของพ่อท่านคล้าย อยู่เป็นคู่บุญบารมีกับพ่อท่านคล้ายตลอดมา และได้ขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากรเป็นโบราณวัตถุเป็นสมบัติของชาติแล้วตามข้อมูลคาดว่าอายุราวประมาณ 1,600 ปี ( อาณาจักรตามพรลิงค์ ) ว่ากันว่า
ท่านใดมีบุญได้ไปกราบ "พระอุเชนทร์ คู่บารมี พ่อท่านคล้าย" ท่านจะประสบสุข ความเจริญ ขอสิ่งใดได้หวัง เพราะท่านเป็นเทพเเห่งการประทานพรเเละการประสพความสำเร็จ ในชีวิตการงาน การเงินครอบครัว โภคทรัพย์ ป้องกันสิ่งไม่ดีได้