พระเครื่อง

พึ่งตนพึ่งธรรม - อนาคาริกา 
กับสิทธิของหญิงขอทาน

พึ่งตนพึ่งธรรม - อนาคาริกา กับสิทธิของหญิงขอทาน

12 มี.ค. 2554

ท่านผู้อ่านเห็นภาพหญิงขอทานกับลูกน้อยสองภาพนี้แล้วรู้สึกอย่างไร? และคิดอะไรอยู่? บางท่านอาจบอกว่าสงสารหญิงขอทานนี้จัง ทำไมสามีใจดำทิ้งเมียได้ลงคอ บางท่านอาจคิดว่าทำไมสถานภาพของหญิงไทยตกต่ำขนาดนี้ หญิงไทยถูกกระทำรุนแรงเหลือเกิน หรือบางท่านอาจคิดว่าถ้าสต

 ก็อาจจะคิดและรู้สึกกันไปได้ต่างๆ นานา แต่สำหรับผมแล้วกลับมองว่า หากหญิงไทยได้รับโอกาสให้บวช "ภิกษุณี" จากคณะสงฆ์อย่างเป็นทางการ มีวัดของภิกษุณีกระจายไปทั่วเมืองไทย ผู้หญิงที่อยู่จังหวัดไหนทั้งใกล้ไกลก็สามารถบวชภิกษุณีได้อย่างภาคภูมิใจ ได้รับการยอมรับสนับสนุนเป็นอย่างดีจากพระภิกษุและฆราวาส ชะตากรรมของสตรีในภาพทั้งสองนี้อาจเปลี่ยนไป

 เพราะ “ก่อน” ที่เธอจะได้พบกับชายซึ่งอาจจะเป็นสามีหรือเป็นบุคคลที่มาล่วงละเมิดทางเพศเธอจนทำให้เธอตั้งท้อง “ก่อน” ที่เธอจะคลอดลูกออกมาขอทานริมถนน เธออาจมีโอกาสบวชเป็นภิกษุณี ณ ที่ใดที่หนึ่งจนเธอมีสติปัญญาสว่างไสวในธรรมบวชเป็นภิกษุณีตลอดชีวิต ซึ่งนั่นหมายความว่าเราอาจจะไม่ได้เห็นภาพของสุภาพสตรีสองท่านต้องตกอยู่ในสภาพนี้ก็เป็นได้

 ผมกำลังอธิบายว่า "การบวชภิกษุณี" สามารถ "ตัดตอน" ชะตาชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งมิให้พานพบกับการมีครอบครัว ตัดตอนการพบกับสามีเห็นแก่ตัว ตัดตอนการเป็นเมียที่ต้องถูกสามีทุบตีเช้าเย็น ตัดตอนการตั้งท้องแล้วถูกทิ้ง และในที่สุดก็สามารถ "ตัดตอน" มิให้ผู้หญิงจำนวนมากต้องประสบชะตากรรมร้ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กหญิงภาคอีสานจำนวนมากที่ถูกพ่อแม่จับส่งไปขายบริการทางเพศ เนื่องจากถูกความยากจนเข้าคุกคาม การบวชเป็นภิกษุณีจะช่วยเด็กหญิงเหล่านั้นให้รอดชีวิตได้มากมายมหาศาลทีเดียว เห็นได้จากการที่เด็กชายฐานะยากจนอาศัยการบวชเณรเป็นบันไดปูทางไปสู่การศึกษาเป็นตัวอย่าง

 การที่ประเทศชาติของเรามีคนยากจนออกมาร่อนเร่พเนจรขอทานเพราะขาดปัจจัยสี่ เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้ประเทศชาติพัฒนาได้ช้า หากประชาชนอยู่ดีมีปัจจัยพร้อม ประเทศชาติก็พัฒนาได้ไว  "สถานะของประชาชนไม่ตกต่ำฉันใด สถานะของประเทศชาติก็ไม่ตกต่ำฉันนั้น"

 บางคนอาจแย้งว่าเรามีการ "บวชชี" แล้วไง แต่ผมอยากบอกว่าการบวชชีก็ต้องอาศัยปัจจัยตัวเองในการอยู่รอด พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือหากผู้หญิงคนหนึ่งคิดจะบวชชีก็ต้องมีเงินเก็บ ไม่มีใครเอาเงินไปทำบุญถวายแม่ชีเหมือนกับพระภิกษุ อาหารก็ต้องทำฉันเองไม่ได้ออกรับบิณฑบาตอาหารฟรีเหมือนพระภิกษุ ผ้าขาวก็ต้องซื้อเอง เจ็บป่วยยารักษาโรคก็ต้องจ่ายเอง มีที่อยู่เท่านั้นที่อยู่ฟรี (และโปรดสังเกตว่าที่อยู่ของแม่ชีในวัดจำนวนมากมักตั้งอยู่ในทำเลที่ขาดสุขอนามัย (เช่นตั้งอยู่ใกล้เมรุเผาศพ) กุฏิแม่ชีก็ไม่ได้ดูน่าอยู่เท่ากับของภิกษุ) ในเมื่อสถานะของแม่ชีไม่ได้รับการสนับสนุนเช่นนี้ผู้หญิงที่ไหนจะมาบวช

 ทุกวันนี้สมภารเจ้าวัดหลายวัดกำลังทำการ "คุมกำเนิดแม่ชี" เพื่อลดจำนวนแม่ชีลง คงเพราะท่านรู้สึกเป็นภาระยุ่งยากกับการบริหารวัด บางวัดที่เคยมีแม่ชีบัดนี้ก็สูญสิ้นแม่ชีไปแล้ว ประกอบกับสังคมบริโภคนิยมทำให้ผู้คนไม่คิดที่จะใช้ชีวิตสันโดษเรียบง่าย โอกาสที่ผู้หญิงคิดบวชชีก็น้อยตามไปด้วย เนื่องจากสถานะการบวชชีไม่ได้รับการสนับสนุนด้วยปัจจัยสี่จากชาวพุทธเหมือนกับสถานะของพระภิกษุ

 ทุกครั้งที่ผมเห็นภาพหญิงขอทานพร้อมด้วยลูกน้อยบนทางเท้าหรือบนสะพานลอยก็ได้แต่สลดใจ อยากทำบุญกับเธอด้วยเงิน ๑ ร้อยบาท แต่เงิน ๑ ร้อยบาทของผมก็คงช่วยให้เธอรอดพ้นจากความหิวโหยได้ไม่กี่มื้อ และยังคงมีหญิงขอทานอีกจำนวนมากเกินกว่าที่เงินในกระเป๋าสตางค์ของผมจะช่วยเหลือพวกเธอได้
ผมคิดว่าคนไทยในสังคมไทยสามารถช่วยเหลือหญิงขอทานได้มากกว่าการให้เงิน โดยการหันมาช่วยกันปรับเปลี่ยนโครงสร้างสังคม สวัสดิการ สิทธิ์ในบางเรื่อง ให้เกิดการเกื้อกูลกับเธอก็จะช่วยให้เธอไม่ต้องออกมาร่อนเร่ขอทานเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมมติว่าที่ผ่านมาการบวชภิกษุณีได้รับการยอมรับจากสังคมก็จะสามารถช่วยเหลือผู้หญิงที่กำลังตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้ได้มาก และคงไม่ได้ช่วยเธอแค่อาหารมื้อเดียวแต่สามารถช่วยด้วยอาหารถึงสองมื้อ คืออาหารทางร่างกายกับอาหารทางจิตวิญญาณ

 แต่เวลานี้หญิงขอทานกำลังขาดอาหารทั้งสองประเภท

ความจริงหญิงขอทานเหล่านี้ก็ไม่ได้ออกมาเรียกร้องสิทธิ์การบวชภิกษุณี เธอเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอมีสิทธิ์บวชภิกษุณี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิทธิ์การบวชภิกษุณีของเธอได้ถูกขโมยไป ในที่สุดชีวิตของเธอก็ต้องตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้

 ทุกวันนี้ในหมู่นักปฏิบัติธรรมชาวไทยจำนวนไม่น้อยต่างพากันมองว่า "สิทธิมนุษยชน" เป็นวัฒนธรรมตะวันตกที่ก้าวร้าว ดูไม่เรียบร้อย และก็เป็น "อริ" กับ "การละตัวตน" อันเป็นจุดหมายปลายทางของพุทธศาสนา แต่ถามว่าถ้า "พระแม่น้านางมหาปชาบดี" ไม่ชักชวนบรรดาสตรีในศากยสกุลออกบวช พวกเธอเหล่านั้นจะได้บรรลุอรหันตผลกันหรือไม่ เพราะในที่สุดสิทธิ์ที่ได้มาก็นำไปสู่การละอัตตาตัวตนในที่สุด และยังผลให้สตรีอินเดียหลายคนบรรลุธรรมตามกันมาอีกหลายท่าน 

 หากไม่มีสิทธิ์ในวันนั้นก็คงไม่มีการบรรลุธรรมในหมู่ผู้หญิงในเวลาต่อมา แต่ก็น่าเสียดายเพราะในที่สุดสิทธิ์ดังกล่าวก็ถูกริดรอนทั้งๆ ที่เป็นสิทธิ์ที่พระพุทธองค์ประทานให้แก่ผู้หญิงทุกคน


 หมายเหตุ : อนาคาริก แปลว่า ผู้ไม่อยู่ครองเรือน บรรพชิต นักบวชทั่วไปที่เป็นผู้ชาย ส่วนอนาคาริกา คือ ผู้สละเรือนออกบวชที่เป็นผู้หญิง

"หนึ่งลมหายใจ"