
พระประธานนอกโบสถ์ ๑ เดียวที่ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก
อ.นครไทย อยู่ห่างจากตัว จ.พิษณุโลก ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๙๖ กิโลเมตร ตามเส้นทางหลวงเอเชียหมายเลข ๑๒ สายพิษณุโลก-หล่มสัก เลี้ยวซ้ายตรงกิโลเมตรที่ ๖๗ ผ่านตำบลบ้านแยงไปถึงอำเภอนครไทย ๒๙ กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมด ๒,๒๔๔.๓๗ ตารางกิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็น
ภาษาชาวนครไทย หรือภาษานครไทย เป็นชื่อภาษาถิ่นที่คนพื้นบ้านชาวนครไทยแท้ๆ มักกล่าวถึงภาษาของตนเองว่า “คนนครไทยพูดภาษาลาวก็ไม่ใช่ พูดภาษาไทยก็ไม่เป็น” ภาษานครไทยที่มีลักษณะเด่นคือ คนท้องถิ่นนครไทยโบราณจะเรียกคำนำหน้าชื่อผลไม้ว่า “หมาก” ทุกชนิดเช่น หมากม่วง (มะม่วง) หมากพร้าว (มะพร้าว) หมากกอ (มะละกอ) หมากซา (พุทรา) หมากโอ (ส้มโอ) หมากเกี๋ยง (ส้มเกลี้ยง) หมากขนุน (ขนุน) เป็นต้น ซึ่ง ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร กล่าวว่า คนนครไทยเรียกชื่อผลไม้เหมือนชาวสุโขทัยโบราณ
ด้วยเหตุดังกล่าว ทำให้เชื่อกันว่าเป็นภาษาพูดที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนบางกลางหาว เป็นภาษาพูดที่แสดงออกถึงความเป็นชาวนครไทย โดยทั่วไปแล้วภาษาถิ่นนครไทยก็ไม่แตกต่างจากภาษาถิ่นอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง เช่น อุตรดิตถ์ พิษณุโลกนัก แต่สิ่งที่ชวนให้ลักษณะภาษาถิ่นนครไทยมีเสียงพยัญชนะ สระ ไปคล้ายกับภาษาถิ่นภาคเหนือ (ล้านนา) และภาษาอีสาน โดยเฉพาะด้านคำศัพท์บางคำจะเหมือนกัน แตกต่างกันเพียงเสียงวรรณยุกต์บ้างเท่านั้น
นายขวัญทอง สอนศิริ หรือ อ.โจ้ อาจารย์ประจำศูนย์พิษณุโลกศึกษาโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคเหนือ จ.พิษณุโลก บอกว่า ในอดีตประชาชนชาวนครไทยทั้งในพื้นที่ราบและชาวไทยภูเขาเกือบทุกครอบครัวจะเคารพนับถือภูตผีและวิญญาณ เช่น จะปรากฏผีพ่อเฒ่าเจ้าเรือน หรือศาลผีเรือน ทำเป็นหิ้งอยู่ในห้องนอนของแต่ละครอบครัว ศาลผีประจำหมู่บ้าน ซึ่งประชาชนเชื่อว่าจะทำหน้าที่คุ้มครองผู้คนทั้งตำบล หรือทั้งหมู่บ้าน ดังนั้นจึงมีคนทรงสำหรับติดต่อวิญญาณ
ปัจจุบันการนับถือผีมีน้อยลง และประชาชนไม่ได้แสดงออกถึงความเชื่อดังกล่าวแล้วเหมือนในอดีต แต่ยังคงยึดถือปฏิบัติ และแสดงความเคารพตามประเพณีประจำปีทุกปี โดยเฉพาะผู้สูงอายุ
ลักษณะครอบครัวของชาวนครไทย จะมีลักษณะเป็นครอบครัวใหญ่ ประกอบด้วยปู่ย่า ตา ยาย พ่อ แม่และลูก เมื่อแต่งงานแล้วจะปลูกบ้านเรือนอยู่ในบริเวณใกล้ๆ ครอบครัวเดิม ทุกครอบครัวจะมีความสัมพันธ์กันด้านแรงงาน คือ มีการช่วยเหลือกันทำงาน เช่น ลงแขก และถ้าบุคคลใดอพยพไปอยู่ต่างถิ่นก็จะกลับมาประกอบพิธีกรรม
อ.โจ้ ยังบอกด้วยว่า วัดใน อ.นครไทย ล้วนเป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานทั้งสิ้น แต่ในจำนวนมีอยู่ ๑ วัดที่มีความพิเศษและแตกต่างจากวัดทั่วๆ ไป และน่าจะเป็นหนึ่งเดียวในประเทศไทย คือ โบสถ์ของวัดนาบัว ต.นาบัว ไม่มีพระประธาน แต่พระประธานกลับไปอยู่หลังโบสถ์ ที่สำคัญคือ อยู่ด้านนอกโบสถ์ ส่วนพระประธานที่เห็นอยู่ในโบสถ์นั้นเพิ่งสร้างเมื่อ ๒-๓ปีที่ผ่านมานี้เอง นัยว่าเพื่อให้เหมือนกับโบสถ์วัดอื่นๆ
พระประธานในโบสถ์นั้น ชาวบ้านจะเรียกว่า หลวงพ่อใหญ่ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของวัดนาบัว วัดโบราณ นอกเมืองนครไทยโบราณ หรือนิยมเรียกว่า วัดป่าเลไลย์ โบสถ์ของวัดแห่งนี้เป็นโบสถ์ทรงโรง เสากลมมีบัวหัวเสมา ครึ่งบนเป็นไม้
วัดนาบัวปรากฏมีโบราณสถาน เจดีย์โบราณเป็นสถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัย มีโบราณวัตถุจำนวนมาก ใบเสมาเป็นใบเสมาคู่แกะสลักจากหินทรายแดง ลาราหู และเป็นลวดลายต่างๆ ในอดีตเมือ ๑๐ ปีที่แล้ว เคยมีพระพุทธรูปสำริดศิลปะสุโขทัย แต่ได้ถูโจรกรรมไป
เหตุที่มีการสร้างพระพุทธรูปกลางแจ้ง
โดย อ.ราม วัชรประดิษฐ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ในอดีตกาล พระพุทธรูป ถือเป็นหนึ่งในเจดีย์ (เจติยะ) แห่งพุทธศาสนาประเภท "อุเทสิกะเจดีย์" (หมายถึงสิ่งที่สร้างเพื่ออุทิศให้พระศาสนา) ซึ่งที่เหลือได้แก่ ธาตุเจดีย์ บริโภคเจดีย์ และธรรมเจดีย์ ดังนั้นเวลาเคารพสักการะเจดีย์ต่างๆ เหล่านี้มิใช่ใช้การกราบไหว้หรือถวายดอกไม้ธูปเทียนเช่นในปัจจุบัน หากแต่ใช้วิธีการเดินเวียนขวาที่เรียกว่าทักษิณาวัฏ ๓ รอบ ดังนั้นพระพุทธรูปโบราณที่สร้างตามคติเดิมจึงจัดตั้งอยู่กลางแจ้งเพื่อให้สาธุชนเดินเวียนรอบตามลานที่เรียกว่า ลานประทักษิณ หรือฐานประทักษิณ ซึ่งเค้าโครงที่สืบทอดมาจะเห็นได้จากการเดินเวียนเทียนรอบโบสถ์ เป็นต้น
นอกจากนี้ พระพุทธรูปที่สร้างตามคติโบราณยังอาจพบการทำ "ซุ้มเรือนแก้ว" ครอบองค์พระที่อยู่กลางแจ้งเอาไว้ ซึ่งซุ้มเรือนแก้วนี้นอกจากจะสื่อความหมายถึง "ฉัพรรณรังสี" หรือรังสีที่เปล่งออกจากมหาบุรุษ ๖ ประการแล้ว ยังหมายถึงการสร้างปราสาท หรือศาสนสถานครอบองค์พระเอาไว้อีกประการหนึ่งด้วย
หากตรวจดูซากโบราณสถานบริเวณวัดวาอารามเก่าแก่ จะพบว่ามีการสร้างพระพุทธรูปตั้งอยู่กลางแจ้ง และให้สังเกตบริเวณโดยรอบหากขุดลึกลงไปอาจพบแนวอิฐทำเตี้ยๆ ขึ้นเป็นลานสำหรับเดิน
ต่อข้อถามที่ว่า แล้วไม่กังวลว่าพระพุทธรูปจะตากแดดตากฝนหรือไร ก็สามารถตอบได้ว่า
พระพุทธรูปดังกล่าวก็เปรียบเสมือนธาตุเจดีย์ ซึ่งไม่มีผู้ใดไปสร้างอาคารครอบเจดีย์เอาไว้ แต่หากเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ เช่น พระอัฏฐารส หรือ พระอัจนะ ของสุโขทัย จะทำเป็นมณฑปแคบๆ เปิดช่องประตูเพียงเล็กน้อย เราเรียกว่า "คันธกุฏิ" สื่อความหมายว่าเป็นสถานที่อันสงบสำรวมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิควรที่ผู้ใดจะเข้าไปรบกวน ซึ่งในความจริงแล้วเป็นการก่อสร้างโดยคำนึงถึงองค์ประกอบทางโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม เพื่อให้มีผนังรับน้ำหนักขององค์พระพุทธรูปขนาดใหญ่เอาไว้ด้วย ซึ่งนับเป็นพัฒนาการขั้นต่อมาของการสร้างพระพุทธรูปกลางแจ้ง
“โบสถ์ของวัดนาบัวไม่มีพระประธาน แต่พระประธานกลับไปอยู่หลังโบสถ์ ที่สำคัญคือ อยู่ด้านนอกโบสถ์ ส่วนพระประธานที่เห็นอยู่ในโบสถ์นั้นเพิ่งสร้างเมื่อ ๒-๓ ปีที่ผ่านมานี้เอง”
0 เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู 0