
นพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ทำงานกับพระ ..ได้ทั้งบุญ พระธรรม และพระเครื่อง
ในอดีตที่ผ่านมา การศาสนา และการศึกษา ดำเนินควบคู่กันมาโดยตลอด งานด้านการศาสนาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ "กระทรวงธรรมการ" ซึ่งต่อมาใน พ.ศ.๒๔๘๔ ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม จึงเปลี่ยนชื่อกระทรวงธรรมการ เป็น "กระทรวงศึกษาธิการ" และมีกา
"สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" หรือที่ใช้อักษรย่อว่า "พ.ศ." จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๕ มีภารกิจเกี่ยวกับการดำเนินงานสนองงานคณะสงฆ์และรัฐ โดยการทำนุบำรุง ส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา ให้การอุปถัมภ์ คุ้มครอง และส่งเสริมพัฒนางานพระพุทธศาสนา ดูแล รักษา จัดการศาสนาสมบัติ พัฒนาพุทธมณฑลให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งให้การสนับสนุนส่งเสริม พัฒนาบุคลากรทางศาสนา ปัจจุบันมี นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เป็นผู้อำนวยการ ซึ่งเป็นคนที่ ๖ ตั้งแต่มีการจัดตั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
"งานแรกที่ต้องเร่งดำเนินการคือ ส่งเสริมการศึกษา การเผยแผ่ของคณะสงฆ์ โดยจะมีการดำเนินงานเชิงรุก เพื่อให้การศึกษาและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของคณะสงฆ์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งในเรื่องของการเผยแผ่นั้น จะเน้นในเรื่องของการนำหลักธรรมมาพัฒนาจิตใจให้เกิดความสุข ขณะเดียวกันจะผลักดันให้การทำงานของข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เพื่อให้การสนองงานคณะสงฆ์มีประสิทธิภาพ โดยจะต้องไม่เพียงแค่ทำตามที่คณะสงฆ์สั่งเท่านั้น แต่ควรเสนอในสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับคณะสงฆ์ ขณะเดียวกันจะหาแนวทางในการส่งเสริมสถานภาพของพระสงฆ์ให้ดีขึ้นด้วย" นี่เป็นความตั้งใจของนายนพรัตน์ กับการเข้ามารับตำแหน่ง ผอ.พ.ศ.
นายนพรัตน์ เล่าให้ฟังว่า หลังเรียนจบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมโยธา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ก็มาเข้าทำงานในตำแหน่งวิศวกรฝ่ายออกแบบและก่อสร้าง ของกรมการศาสนา ซึ่งฝ่ายออกแบบเสนาสนะและถวายคำแนะนำซ่อมแซมศาสนสถานภายในวัด ผลงานออกแบบที่สร้างชื่อ เช่น โครงการสร้างวัดไทย ประเทศเนปาล วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย วัดพุทธประทีป ประเทศอังกฤษ ส่วนในประเทศ เช่น ออกแบบอาคารหอประชุม อาคารหอฉัน อาคารหอพัก อาคารพิพิธภัณฑ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลับ (มจร.) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา
เมื่อเป็น ผอ.พ.ศ. เรื่องที่อยากทำในตอนนี้ คือ การสนับสนุนและส่งเสริม รณรงค์ให้ประชาชนชาวพุทธได้เข้าใจถึงหลักธรรมที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิต มิใช่เป็นชาวพุทธแต่เพียงในนามเท่านั้น อีกทั้งในขณะนี้วัดและคณะสงฆ์ทั้งหมดกว่า ๓๐,๐๐๐ แห่ง พร้อมที่จะมอบสิ่งดีๆ ให้แก่ชาวพุทธ ดังนั้นจึงอยากที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชาวพุทธ และวางแนวคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะให้คนสนใจและหันหน้าเข้าหาวัด เพื่อให้มีส่วนร่วมในการดูแล พัฒนาวัด
ขณะเดียวกัน ประชาชนชาวพุทธต้องให้ได้รับประโยชน์จากวัดและคณะสงฆ์ด้วย เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและสังคม ซึ่งขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (กพร.) ได้กำหนดให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ต้องร่วมกันสนับสนุนให้วัดมีการพัฒนาขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นนามธรรม ที่สามารถให้ประโยชน์ต่อชุมชนได้อย่างแท้จริง
พร้อมกันนี้ นายนพรัตน์ ยังบอกด้วยว่า ถ้ารับราชการในหน่วยงานอื่น หรือทำงานรัฐวิสหกิจ และ บริษัทเอกเอกชน เช่นเดียวกับเพื่อนที่จบมารุ่นเดียวกัน คงไม่มีโอกาสและวาสนาได้ครอบครองพระสมเด็จ รวมทั้งพระเครื่องอื่นๆ ด้วย เพราะเท่าที่ทราบ พระเครื่องแต่ละองค์มีราคาที่สูงมาก ส่วนพระที่ได้มาจะเป็นพระแท้หรือปลอมนั้น ไม่ได้ติดใจอะไร คิดเพียงว่าต้องเป็นพระดีอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นพระท่านคงไม่ให้มา ทั้งนี้ จะนำพระเครื่องทุกองค์ไปเลี่ยมแล้วจัดเป็นชุด โดยแต่ละวันจะแขวนสลับเปลี่ยนกันไป
"การทำงานให้พระได้มากกว่าเงินเดือน ซึ่งจะแตกต่างจากการทำในหน่วยงานอื่นๆ ที่มีเงินเดือนเป็นผลตอบแทน แต่การทำงานกับพระ ได้ทั้งบุญ ได้ทั้งใกล้ชิดพระทุกระดับ ตั้งแต่พระลูกวัด ไปจนถึงพระระดับสมเด็จ ได้รับธรรมะจากพระรูปต่างๆ มากมาย ที่สำคัญคือ ได้พระเครื่องซึ่งท่านมอบให้ด้วยความเมตตา เช่น พระสมเด็จ บางขุนพรหม ซึ่งได้มาถึง ๒ องค์ พระผงของขวัญ วัดปากน้ำ รุ่น ๑ เหรียญหลวงปู่ทวด รุ่น เลื่อนสมณศักดิ์ พ.ศ.๒๕๐๘ พระหลวงปู่ทวดเนื้อว่าน พ.ศ.๒๔๙๗ รูปหล่อนหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน พิมพ์นิยม" นายนพรัตน์กล่าว
นอกจากแขวนพระแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องทำทุกวันจนกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว คือ การสวดมนต์เช้า และสวดมนต์เย็น โดยก่อนออกจากบ้านทุกๆ เช้าจะเข้าห้องพระเพื่อสวดมนต์ ทุกครั้งที่สวดมนต์เสร็จจะอธิษฐานจิตว่า "ขอให้อำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้มีสติ คิดแต่สิ่งที่ดี เพื่อจะทำดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์" จากนั้นก็ออกไปทำงาน เมื่อกลับเข้ามาถึงบ้านในตอนเย็น ก่อนนอนก็จะสวดมนต์อีกครั้ง และอธิษฐานจิตเช่นเดียวกับตอนเช้า
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่รับราชการที่กรมการศาสนา มาจนถึงเป็นผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายนพรัตน์ บอกว่า ไม่เคยประสบเหตุที่เรียกว่าปาฏิหาริย์ หรือ อภินิหารใดๆ ตาม ที่เกิดขึ้นกับคนทั่วๆ ไป เลยสักครั้งเดียว แต่ก็เชื่อว่าพลังพุทธานุภาพมีจริง การไม่เกิดปาฏิหาริย์ หรือ อภินิหารใดๆ ถือว่าเป็นสุดยอดของความแคล้วคลาด
เมื่อถามถึงการจัดสร้างพระเครื่องและวัตถุมงคล นายนพรัตน์ บอกว่า การจัดสร้างพระเครื่อง และวัตถุมงคล เป็นสิ่งที่คู่กับวัดกับพระตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การสร้างเพื่อเป็นสิ่งที่ระลึกในการหาทุนจัดสร้างศาลา โบสถ์ วิหาร ศาสนสถาน รวมทั้งสาธารณประโยชน์อื่นๆ ถ้าไม่ได้ทำในเชิงพาณิชย์เป็นเรื่องดี ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พระเครื่อง และวัตถุมงคล มีส่วนสำคัญยิ่งในการสร้างศาสนสถานและสาธารณประโยชน์
"การทำงานกับพระได้ทั้งบุญ ได้ทั้งใกล้ชิดพระทุกระดับ ตั้งแต่พระลูกวัดไปจนถึงพระระดับสมเด็จ ได้รับธรรมะจากพระรูปต่างๆ มากมาย ที่สำคัญคือ ได้พระเครื่องซึ่งท่านมอบให้ด้วยความเมตตา"
เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู



