
ครูสงวน อินทรักษ์ กับ...พระเครื่องชุดประสบการณ์ซุ่มยิงและวางระเบิด
๑๓๗ ราย เป็นตัวเลขแม่พิมพ์ที่ต้องสังเวยชีวิตไปกับสถานการณ์ความรุนแรงนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปล้นปืนค่ายกองพันพัฒนาที่ ๔ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อย่ำรุ่งของวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๗ จวบจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ขณะที่ตัวเลขครูที่ได้รับบาดเจ็บยังมีอีกนับไม่ถ
ท่ามกลางกระแสความุรนแรงที่ยังไม่เห็นหนทางว่าจะดับมอดลงเมื่อใด ก็มิได้บั่นทอนหรือทำลายอุดมการณ์ของเหล่าบรรดา “เรือจ้าง” ในดินแดนปลายด้ามขวานแต่อย่างใด เฉกเช่น “นายสงวน อินทรักษ์” ในฐานะประธานสมาพันธ์ครูจังหวัดนราธิวาส ที่ยืนหยัดทำหน้าที่ครูในดินแดนแห่งนี้มายาวนานหลายสิบปี โดยไม่คิดโยกย้ายไปไหน ด้วยมีปณิธานอันแน่วแน่ นั่นคือต้องการเห็นเด็กนักเรียนใน จ.นราธิวาส มีคุณภาพการศึกษาที่ดี ทัดเทียมกับเยาวชนในภูมิภาคอื่น
“หน้าที่ของครูคือเป็นผู้ให้ ดังนั้นสิ่งที่ปักหลักทำตามอุดมการณ์อยู่ได้ ณ เวลานี้คือ การให้ความรู้ และวิชาแก่เยาวชนในพื้นที่ เพื่อให้ภายภาคหน้าบรรดาลูกศิษย์ที่เติบโตได้นำเอาความรู้ไปแก้ไขปัญหากับดินแดนแห่งนี้ เพื่อนำไปสู่การสร้างสันติสุขอย่างยั่งยืนและถาวร” ครูสงวนกล่าวอย่างมุ่งมั่น
นอกเหนือจากการทำหน้าที่แม่พิมพ์แล้ว สิ่งที่ครูใหญ่แห่ง จ.นราธิวาส คนนี้พึงกระทำชนิดไม่เคยขาดนั่นคือการสวดมนต์ไหว้พระทุกเช้าเย็น ด้วยขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ช่วยดลบันดาลประทานพร และคุ้มครองให้คณะครูที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รอดพ้นจากภัยอันตรายของผู้ไม่หวังดี
ทั้งนี้ เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากบ้าน ทุกชีวิตในพื้นที่แห่งนี้ต่างยืนอยู่บนความเสี่ยงด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ที่ทำหน้าที่ใน จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของกลุ่มก่อความไม่สงบ ด้วยหากสบโอกาสเมื่อใดจะลงมือก่อเหตุทำร้ายถึงชีวิตทันที เพราะครูคือเป้าหมายที่สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนอำนาจรัฐได้มากที่สุด และทุกครั้งที่มีครูตกเป็นเหยื่อ หรือสังเวยชีวิตให้ความรุนแรง มักจะเกิดแรงกระเพื่อมต่อระบบการศึกษาชายแดนภาคใต้อย่างหนักหน่วงเสมอ
ในฐานะแกนนำครูในพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยความรุนแรงอยู่อย่างต่อเนื่อง หลักสำคัญที่ยึดและปฏิบัติ พร้อมทั้งกำชับให้เพื่อนครูทุกคนในสถานศึกษา จ.นราธิวาส จำนวน ๓๒๖ แห่ง ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดนั่นคือไม่ประมาท และอย่าขาดสติ เพราะการทำหน้าที่อยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงทุกฝีก้าว ต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่าความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย และหากเกิดเหตุฉุกเฉิน ต้องตั้งสติให้ได้ เพื่อหาทางเอาชีวิตออกจากจุดวิกฤติให้เร็วที่สุด
“หากเราทุกคนตั้งมั่นอยู่บนความไม่ประมาท อัตราเสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าคนร้ายก็ลดน้อยลง ขณะเดียวกัน หากเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิด พยายามตั้งสติให้ได้ รวบรวมความกล้า เพื่อพาชีวิตให้รอดจากเงื้อมมือของคนร้ายให้ได้ เพราะการหวังพึ่งเพียงเจ้าหน้าที่คอยคุ้มครองให้รอดชีวิตในแต่ละวัน คงเป็นเรื่องยาก หากเราไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดีเสียก่อน” สงวน บอกเคล็ดไม่ลับ ในการเอาชีวิตให้รอดท่ามกลางสถานการณ์ไม่ปกติ
หลายสิบปีที่ทำหน้าครู ใน จ.นราธิวาส อย่างมุ่งมั่น ครูสงวนยอมรับว่า เหตุการณ์ความรุนแรงเดินเข้ามาใกล้ และเฉียดชีวิตหลายครั้งหลายครา แต่สุดท้ายก็แคล้วคลาดปลอดภัยมาหลายโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการลอบซุ่มยิงระหว่างทางไปโรงเรียน เหตุลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยครู แต่ที่จดจำไม่ลืมเลือนคือ เหตุลอบวางระเบิดร้านอาหาร “อั้งม้อ” กลางเมืองนราธิวาส
“เหตุการณ์เกิดขึ้น ขณะกำลังร่วมรับประทานอาหารกับเพื่อนครู แต่ก่อนคนร้ายลงมือกดชนวนประมาณ ๑๕ นาที ได้ตัดสินใจออกจากร้าน เพราะมีภารกิจด่วน ซึ่งภายหลังคล้อยไปไม่นานก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ครั้งนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ผมเฉียดตายมากที่สุด เพราะวันนั้นหากไม่มีธุระด่วนจนทำให้ผมต้องออกจากร้านก่อนเกิดเหตุระเบิด เชื่อว่าวันนี้คงไม่มีโอกาสมานั่งพูดเช่นนี้” ครูสงวน กล่าว
นอกจากตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาทแล้ว ครูสงวนยังเชื่อมั่นและศรัทธาในพุทธคุณของพระเครื่อง โดยทุกครั้งที่ออกจากบ้านจะไม่ลืมอาราธนาพระขึ้นคล้องคอ ประกอบด้วย หลวงพ่อทวด วัดช้างให้, หลวงพ่อครน วัดบางแซะ, หลวงพ่อจันทร์ วัดประชุมชลธารา, หลวงพ่อไกร วัดลำพะยา, พระผงชานหมากพ่อท่านคล้าย, ตะกรุด หลวงพ่ออุตตมะ และพระพิมพ์สมเด็จ โดยสร้างขึ้นที่ จ.พิษณุโลก ซึ่ง พล.อ.ณพล บุญทับ รองสมุหราชองครักษ์ เป็นผู้มอบให้
“พระชุดนี้ผมจะคล้องคอตลอดเวลา เพราะส่วนตัวเชื่อว่าความศักดิ์สิทธิ์ในองค์พระได้ช่วยชีวิตผมให้รอดตายมาแล้วหลายหน นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์รุนแรงในพื้นที่ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ เป็นต้นมา ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นดั่งขวัญและกำลังใจที่ช่วยให้ผมยืนหยัดทำหน้าที่ได้อยู่โดยไม่คิดย้ายหนีไปไหน” ครูสงวน กล่าวทิ้งท้าย
พุทธ มุสลิม คริสต์ ร่วมรำลึก
“๑๖ มกราคม” ของทุกปี ถือเป็น “วันครู” นับเป็นช่วงเวลาอันสำคัญ และมีความหมายอย่างยิ่งต่อบรรดาศิษย์ทั้งหลายที่จะต้องน้อมนบก้มลงวันทาอาราธนา กราบคารวะบูชาความดีแด่ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ จนทำให้หลายคนประสบความสำเร็จในชีวิต และกลายเป็นหนึ่งในองคพยพที่ดีของสังคม
นับตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๗ จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา ๗ ปี ที่สถานการณ์ความไม่สงบจากน้ำมือของผู้ไม่หวังดี ได้ คร่าชีวิตข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ในดินแดนปลายด้ามขวานไปแล้วรวม ๑๓๗ ชีวิต ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรำลึก และเชิดชูวีรกรรมของเหล่าเรือจ้างที่อับปางลงขณะปฏิบัติหน้าที่ ท่ามกลางความรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา สมาพันธ์ครู ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมีมติร่วมกันจัดกิจกรรมสดุดีเหล่าเพื่อนครู และทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แม่พิมพ์ที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ในวันจันทร์ที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔ ณ โรงแรมซีเอส ปัตตานี
นอกจากจะมีพิธีทางศาสนาทั้ง พุทธ มุสลิม และคริสต์ แล้ว ภายในงานครั้งนี้จะมีนิทรรศการเชิดชูเกียรติข้าราชการครูในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เพื่อให้อยู่ในความทรงจำของเหล่าศิษย์ และประชาชนทั่วไป แล้วยังเป็นการสรรเสริญเรือจ้างที่สละชีวิตทำหน้าที่อย่างมุ่งมั่น จนชีวิตหาไม่ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ด้วยจุดประสงค์ คือ หวังเห็นลูกศิษย์มีวิชาความรู้ติดตัวตลอดไป ที่สำคัญภายในงานนี้จะมีการเสวนาพูดคุยร่วมกันทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันหาแนวทางป้องกันอันตราย และสกัดไม่ให้เพื่อนครูตกเป็นเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกต่อไป
“หลักสำคัญที่ยึดและปฏิบัติพร้อมทั้งกำชับให้เพื่อนครูทุกคนในสถานศึกษา จ.นราธิวาส จำนวน ๓๒๖ แห่ง ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด นั่นคือ ไม่ประมาท และอย่าขาดสติ”
เรื่อง/ ภาพ สุพิชฌาย์ รัตนะ - สำนักข่าวเนชั่น