พระเครื่อง

เครื่องรางคือภูมิปัญญาของเกจิอาจารย์ไทย‘มล เชือกคาด’คนหนุ่มสายเลือดใหม่

เครื่องรางคือภูมิปัญญาของเกจิอาจารย์ไทย‘มล เชือกคาด’คนหนุ่มสายเลือดใหม่

12 ธ.ค. 2553

เครื่องรางของขลัง คือวัตถุมงคลประเภทหนึ่งที่เชื่อว่ามีอานุภาพความขลังความศักดิ์สิทธิ์ ที่สามารถปกป้องคุ้มครองให้ผู้มีติดตัวมีความแคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยอันตรายต่างๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเรื่องของคุณไสย ภูตผีปีศาจ งูเงี้ยวเขี้ยวงา และยังสามารถดลบันดาลใ

 เครื่องราง นับเป็นภูมิปัญญาของเกจิอาจารย์ไทยอย่างแท้จริง ทั้งที่เป็นพระสงฆ์และเกจิฆราวาส โดยมีการสร้างเครื่องรางต่างๆ ตั้งแต่สมัยโบราณนานปีมาแล้ว อาทิ เขี้ยวเสือ เบี้ยแก้ ตะกรุด พิสมร มีดหมอ หมากทุย ลูกอม กุมารทอง นางกวัก ชูชก ผ้ายันต์ เสื้อยันต์ แหวน ประคำ เชือกคาดเอว และที่เป็นรูปสัตว์ต่างๆ เช่น เสือ สิงห์ หนุมาน ลิง องคต แพะ วัวธนู ตุ๊กแก พญาเต่าเรือน ปลาตะเพียน ฯลฯ

 เครื่องราง เป็นของสะสมที่มีคู่กันมากับ พระเครื่อง เซียนพระรุ่นเก่าก่อนนิยมเล่นหากันมาก จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีผู้ให้ความสนใจเสาะแสวงหากันอย่างกว้างขวาง และไม่ใช่คนรุ่นเก่าที่สนใจกันเท่านั้น คนรุ่นใหม่ก็มีไม่น้อย ที่หันมาสะสมเครื่องรางด้วยความสนใจกันอย่างจริงจัง จนกลายเป็นผู้ชำนาญด้านนี้ไปแล้วก็มี

 หนึ่งในนั้นคือ กมล วิริยะตลอดกาล หรือเจ้าของฉายา "มล เชือกคาด" คนหนุ่มสายเลือดใหม่ ด้วยวัยเพียง ๓๑ ปี แต่มีความรู้ความชำนาญด้านเครื่องรางอย่างแท้จริง

 "มล" เป็นชาวกรุงเทพฯ โดยกำเนิด เรียนจบจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (ปัจจุบัน คือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ)

 หลังจากนั้นได้ไปบวชเรียนอยู่ที่วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี อยู่กับหลวงพ่อจรัญ ๒ พรรษา ลาสิกขาออกมาทำงานเป็นวิศวกรอยู่กับบริษัทรถยนต์แห่งหนึ่ง พร้อมกับทำอาชีพเสริมด้วยการซื้อขายพระเครื่องรางของขลังทางอินเทอร์เน็ต จนรู้สึกว่าน่าจะทำธุรกิจด้านนี้ดีกว่า จึงลาออกจากงาน มาเปิดร้านพระบนชั้น ๓ ห้างพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน (ชมรมพระเครื่องมรดกไทย) เมื่อปี ๒๕๔๙ จนถึงทุกวันนี้ โดยเน้นเฉพาะด้านเครื่องรางเป็นส่วนใหญ่ เพราะมีใจรักชอบทางนี้มากเป็นพิเศษ

 “ที่ผมใช้ชื่อว่า "มล เชือกคาด" ก็เพื่อเป็นการสื่อให้สังคมวงการพระได้ทราบว่า ผมเล่นทางเครื่องราง ที่ผมชอบมากที่สุดคือ "เชือกคาด" ของหลวงพ่อโชติ วัดตะโน ซึ่งเป็นเครื่องรางชิ้นเอกของท่าน ทำมาจากผ้าบังสุกุล หรือผ้าจีวร เอามาลงอักขระ ตัดเป็นชิ้นยาวๆ แล้ว ขวั้น เข้าด้วยกันเป็นเส้นยาวประมาณ ๓๐ นิ้ว ที่หัวเชือกถักเป็นรูปตะกร้อ หางเชือกเป็นบ่วง ทุกขั้นตอนที่ทำนี้ต้องบริกรรมคาถาอาคมตลอดเวลา เสร็จเป็นเชือกแล้วหลวงพ่อจะปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งหัวตะกร้อเคลื่อนตัวเข้าไปในบ่วงได้เอง ขณะที่ตัวเชือกสามารถกระดุกกระดิกได้เหมือนงูเลื้อย ถึงจะถือว่าใช้ได้แล้ว และจะมีอานุภาพด้านแคล้วคลาด ป้องกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอได้สารพัด รวมทั้งป้องกันภูตผีปีศาจ คุณไสยต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เชือกคาดของหลวงพ่อโชติ มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีพระเกจิอาจารย์รุ่นเก่าที่สามารถทำเชือกคาดได้อีกบางท่าน อาทิ หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ หลวงพ่อยิ้ม วัดหนองบัว หลวงพ่อธูป วัดแค นางเลิ้ง ฯลฯ "เชือกคาด" จึงนับเป็นเครื่องรางที่ทำได้ยาก พระเกจิอาจารย์ที่ทำได้นอกจากต้องเรียนรู้คาถาอาคมอย่างเก่งกล้าสามารถแล้ว จะต้องมีฝีมือในการ ขวั้น  เชือกได้ด้วย เพราะทุกขั้นตอนท่านต้องทำเอง ใช้คนอื่นทำให้ไม่ได้จะไม่ขลัง ของพวกนี้จึงมีน้อยมาก หาของจริงได้ยาก ทุกวันนี้จึงมีพระเกจิอาจารย์สายนี้น้อย ด้วยเหตุที่ผมชอบ "ชือกคาด" มากจึงได้นำชื่อนี้มาใช้เป็นฉายาของตัวเอง” มล เชือกคาด กล่าวถึงที่มาของตัวเอง

 ช่วงแรกเริ่มที่สนใจเครื่องราง "มล" บอกว่าได้ศึกษาหาข้อมูลจากเว็บไซต์ก่อน ค้นหาทุกแห่งที่มีเรื่องราวเหล่านี้ รวมทั้งอ่านจากตำราบ้าง สอบถามจากผู้รู้บ้าง จนเรียกว่าได้ผ่านขั้นพื้นฐานมาแล้วเป็นอย่างดี จึงได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของ ป๋ายัพ (พยัพ คำพันธุ์ นายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย ซึ่งเป็นผู้ชำนาญด้านเครื่องรางมากเป็นพิเศษ)

 “ป๋าได้เมตตาผมมาก แนะนำให้ผมดูเครื่องรางของท่านทุกอย่างที่มีอยู่ พร้อมกับบอกว่าให้จดจำเอาไว้ให้แม่น จะได้ดูของเก่งๆ ในวันข้างหน้า ผมกราบป๋าด้วยความเคารพยิ่ง ถือว่าท่านได้เมตตาครอบครูให้ผมแล้ว” มล กล่าวด้วยความภูมิใจ

 จากตรงนี้ทำให้ "มล" กล้าแกร่งขึ้นมาก สามารถพิสูจน์ฝีมือและสายตาให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนในวงการพระได้เป็นอย่างดี จนเป็นที่ยอมรับของนักสะสมเครื่องรางโดยทั่วไป และได้รับเกียรติจากสมาคมให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการตัดสินชุดเครื่องรางของขลังยอดนิยมในงานประกวดพระที่สมาคมให้การสนับสนุน

 จากการที่ได้เปิดร้านในเว็บไซต์ท่าพระจันทร์ (thaprachan.com) ทำให้ "มล" มีลูกค้าอย่างหลากหลาย ไม่เฉพาะแต่ในเมืองไทยเท่านั้น แม้แต่ชาวมาเลเซีย สิงคโปร์ และฮ่องกง ก็ให้ความสนใจเรื่องนี้มาก มีการสั่งซื้อเข้ามาบ่อยๆ เพราะของเหล่านี้ไม่มีในประเทศเขา บางคนถึงกับเดินทางเมืองไทย เพื่อมาซื้อเครื่องรางจาก "มล" โดยเฉพาะก็มี สำหรับในเมืองไทยลูกค้า ๙๐% มาจากทางเว็บไซต์ทั้งนั้น และเมื่อได้ของไปแล้วก็ไม่เคยมีปัญหา เพราะการซื้อขายมีหลักประกันให้อยู่แล้ว หากไม่ชอบใจ หรือมีคนสวดว่าเก๊ สามารถส่งคืน พร้อมกับรับเงินคืนได้ทันที แต่ที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏเรื่องนี้เลย มีแต่จะขอซื้อเพิ่มเท่านั้นเอง

 "มล" บอกว่า “เครื่องรางเป็นของที่ดูยาก หากดูไม่เป็น หาจุดพิจารณาไม่ถูก ที่สำคัญคือต้องใช้ทักษะ คือ จะต้องได้เห็นของแท้บ่อยๆ จนจำติดตา หากชำนาญแล้วก็สามารถดูได้ด้วยตาเปล่า ไม่ต้องส่องแว่นขยาย เพราะเครื่องรางแต่ละอย่างของพระเกจิอาจารย์แต่ละท่าน จะมีศิลปะและเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเสมอ ผิดเพี้ยนไปจากนั้นก็ไม่ใช่แน่นอน และที่สำคัญคือความเก่าของเครื่องรางแต่ละชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุกว่า ๔๐-๕๐ ปีขึ้น ย่อมมีความเก่าตามธรรมชาติ ไม่สามารถแต่งเติมเสริมขึ้นมาเองได้ ของแท้กับของเก๊จึงมีความแตกต่างในฝีมือห่างกันมาก เรื่องเช่นนี้หากได้ดูของแท้บ่อยๆ ก็สามารถจดจำได้โดยปริยาย และถ้าหากมีปัญหาจะมาปรึกษากับผมก็ได้ ยินดีให้คำแนะนำที่ถูกต้องเสมอ”

 ในทุกวันนี้...ลูกค้าส่วนหนึ่งของ "มล" นอกจากคนรุ่นเก่าที่สนใจเครื่องรางมาก่อนแล้ว ยังมี "คนรุ่นใหม่" อีกจำนวนไม่น้อยที่สนใจในเรื่องนี้มาก แต่ละคนมีฐานะทางการเงินสูง และกล้าตัดสินใจซื้อของแพงๆ ได้ด้วยตัวเอง

 นอกจากนี้ยังมีลูกค้าประเภท "วีไอพี" อีกหลายท่าน ที่ได้แวะเวียนมาหาของในตู้พระของ "มล" บ่อยๆ บางท่านก็ฝาก "ใบสั่ง" ให้หาของที่ต้องการไว้ก็มี

 สำหรับ "ชุดเบญจภาคีเครื่องรางยอดนิยม" มล บอกว่า เซียนรุ่นใหญ่ท่านได้วางอันดับไว้ดังนี้ คือ ๑.เสือ หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย ๒.ตะกรุดมหาโสฬสมงคล หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ๓.หนุมาน หลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน ๔.เบี้ยแก้ หลวงปู่รอด วัดนายโรง และ ๕.ราหูอมจันทร์ หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง แต่ละชิ้นซื้อขายกันที่หลักแสนขึ้นไปถึงหลักล้านทั้งนั้น และที่น่าแปลกใจมากคือ หากเป็นของแท้สวยดูง่าย จะมีผู้สนใจขอซื้อเสมอ โดยไม่เกี่ยงในเรื่องราคาแต่ประการใด

 มล กล่าวด้วยว่า “เครื่องรางของพระเกจิอาจารย์รุ่นเก่า ในทุกวันนี้หายากลงทุกที เพราะคนที่มีอยู่ต่างก็หวงแหน ทำให้มีของหมุนเวียนในวงการน้อยลง แต่ถ้าหากใครมีไว้ครอบครองก็จงภูมิใจได้เลยว่าท่านมีของวิเศษสุดยอดไว้คุ้มครองตัวเอง เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตตลอดไป เพราะเครื่องรางแต่ละชิ้นพระเกจิอาจารย์ผู้สร้างขึ้นนั้น ท่านจะต้องเป็นผู้มีพลังจิตที่แก่กล้า มีวิชาอาคมสูง จึงจะสามารถบรรจุพลังอานุภาพความขลังความศักดิ์สิทธิ์ลงบนเครื่องรางนั้นๆ ได้ ที่สำคัญคือ ท่านต้องเป็นผู้ที่มีฝีมือในการผลิตชิ้นงานนั้นๆ มีความมั่นใจและตั้งใจจริงที่จะทำเครื่องรางขึ้นมาด้วยตัวท่านเอง เพราะต้องบริกรรมคาถาอาคมทุกขั้นตอน และมนต์คาถาที่ใช้ปลุกเสกก็ต้องตรงกับอุปเท่ห์ของเครื่องรางนั้นๆ ด้วย ไม่ใช่ปลุกกันรวมๆ ไปกับของอะไรก็ได้ เพราะจะไม่เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์เท่าที่ควร”

 "มล เชือกคาด" มีร้านอยู่ในชมรมพระเครื่องมรดกไทย ชั้น ๓ ห้างพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน โทร.๐๘-๕๘๗๙-๘๕๖๙
นับเป็นคนหนุ่มสายเลือดใหม่อีกคนหนึ่งที่น่าสนับสนุน เพราะมีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง และเชื่อแน่ว่า อนาคตจะต้องก้าวหน้าก้าวไกล...บนเส้นทางสายนี้
 
0 ตาล ตันหยง 0