
สมโภช โชติชูช่วง รอดตายนับครั้งไม่ถ้วนจาก..."พุทธฟันของพ่อ"
"พระเครื่องและวัตถุมงคลจากทุกสำนัก" ถือเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจและของขลังป้องกันตัวของผู้นับถือศาสนาพุทธทุกคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ตำรวจ ทหาร พ่อค้า หรือประชาชน ที่ต้องหามาคล้องคอเพื่อให้ชีวิตรอดพ
หนึ่งในจำนวนข้าราชการที่ผ่านเหตุการณ์ที่เรียกว่าเฉียดตายนับครั้งไม่ถ้วน คือ “นายสมโภช โชติชูช่วง" นายอำเภอสะบ้าย้อย จ.สงขลา สิ่งอันเป็นมงคลที่พกติดตัวไม่เคยห่างนั่นคือ “กระดูกฟันพ่อ” เพราะพ่อแม่คือพระองค์แรกของเรา ดังนั้นจึงเชื่อว่าของสิ่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว ประกอบกับกระดูกได้ชื่อว่าเป็นชิ้นส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างกายของมนุษย์เราอีกด้วย นอกจากนี้ยังแขวนพระ ๒๕ พุทธศตวรรษเนื้อชิน หลวงพ่อทวดรุ่นชนะภัย พระกลีบบัวประทานพร และพระพิมพ์ข้าวหลามตัด ที่อาจารย์ชุมกับพระอาจารย์นำ หนึ่งในปรมาจารย์แห่งเขาอ้อ เป็นผู้สร้าง และแหวนราหูของอาจารย์ประจวบ คงเหลือ ฆราวาสสายเขาอ้อคนสำคัญในปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน นายอำเภอสะบ้าย้อย ยังสนใจศึกษาในเรื่องตำราว่านยา โดยยามว่างเว้นจากภารกิจการงาน มักจะเดินทางไปขอความรู้จากหลวงพ่อพรหม วัดบ้านสวน จ.พัทลุง และอาจารย์ประจวบ คงเหลือ อยู่เป็นประจำ ด้วยความเชื่อว่า ศาสตร์แขนงนี้เป็นสิ่งที่จะต้องเรียนรู้เพื่อสืบทอด เพราะเป็นสุดยอดภูมิปัญญาที่บรรพบุรุษค้นคว้าและศึกษาในยุคอดีตมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน จะปล่อยให้เลือนหายไปกับกระแสโลกาภิวัตน์ไม่ได้
ข้อปฏิบัติอย่างหนึ่งที่นายสมโภช บอกว่า มีความสำคัญไม่น้อยกว่าการแขวนพระ คือ ก่อนนอนและตอนเช้าก่อนออกจากบ้านไปปฏิบัติหน้าที่ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยนั่นคือการสวด “คาถาบูชาดวงชะตา” ก่อนจะอาราธนาพระเครื่องคู่กายขึ้นคล้องคอ และด้วยหลักปฏิบัติง่ายๆ ในการแขวนพระเครื่องของนายสมโภชที่จะต้องตั้งมั่นในศีลธรรม รวมถึงมีความศรัทธา รวมทั้งศึกษาประวัติความเป็นมาของผู้สร้างแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ตลอดเส้นทางราชการตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๖ กระทั่งปัจจุบัน
นายอำเภอสะบ้าย้อย เชื่อว่าชีวิตสามารถก้าวผ่านความตาย และฝ่านาทีวิกฤติมาได้ชนิดนับครั้งไม่ถ้วน เพราะแต่ละพื้นที่ในการปฏิบัติงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน ล้วนถูกหน่วยงานความมั่นคง “ขีดเส้นใต้” ด้วย “สีแดง” ทั้งสิ้น ไล่เรียงตั้งแต่ อ.มายอ ไม้แก่น จ.ปัตตานี อ.บาเจาะ ตากใบ จ.นราธิวาส อ.รามัน จ.ยะลา รวมถึง อ.สะบ้าย้อย พื้นที่อันปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความรุนแรงหนักหน่วงที่สุด ในบรรดา ๔ อำเภอ ของ จ.สงขลา ที่มีพรมแดนติดกับ ๓ จังหวัดชายแดนใต้
“เส้นทางชีวิตราชการของผม ส่วนใหญ่วนเวียนอยู่ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และแทบทุกที่ล้วนขึ้นชื่อในด้านสถานการณ์ทั้งนั้น เคยเจอถึงขั้นจ่อยิงมาแล้วเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๗ แต่กระสุนของคนร้ายเกิดด้าน หรือแม้กระทั่งนำกำลังเปิดฉากปะทะกับแกนนำที่บริเวณรอยต่อ อ.นาทวี จ.สงขลา ซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งรอดตายจากคมกระสุนของคนร้ายมาอย่างปาฏิหาริย์ ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นพระบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และความดีที่คอยเป็นดั่งเกราะกำบังคุ้มครองเรา” นายสมโภช กล่าว
จากประสบการณ์ที่สัมผัสมาด้วยตัวเอง ทำให้นายอำเภอสะบ้าย้อยคนนี้ เชื่ออย่างสนิทใจว่า ความเข้มขลังและความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่อง และวัตถุมงคลจะคุ้มครองป้องกันภัยและดลบัลดาลความสำเร็จให้ผู้ที่ยึดมั่นในความดี และปฏิบัติตนอยู่ในศีลในธรรมแล้ว ยังมีสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับผู้เชื่อมั่นในพระเครื่องนั่นคือ “ความศรัทธา” และความเชื่อนี้จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความบริสุทธิ์ใจชนิดไร้ความเคลือบแคลงใดๆ ต่อวัตถุมงคลนั้น
นอกจากนี้แล้ว พระจะมีความศักดิ์สิทธิ์และโอบอุ้มให้ชีวิตแคล้วคลาดปลอดภัยได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้สวมใส่ เพราะหากคนนั้นไม่ตั้งมั่นในศีลธรรมอันดี ก็ไม่มีพุทธคุณใดๆ จะปกป้องให้รอดพ้นจากผลกรรมที่ก่อไว้ได้อย่างแน่นอน
ขณะเดียว “ผู้สร้าง” คือสิ่งสำคัญอีกประการที่ขาดไม่ได้ในสายตา และความเชื่อส่วนตัวของนายอำเภอหนุ่มแห่งสะบ้าย้อย เพราะจะเป็นดุจดั่งสิ่งที่ตอกย้ำถึงพุทธคุณอันเปี่ยมล้นด้วยความศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอยู่ในเครื่องราง และพระเครื่องทุกชนิด
นายอำเภอสะบ้าย้อย สะท้อนปัญหาของความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ให้ฟังว่า หากเทียบในยุคอดีตกับปัจจุบัน จะพบว่าแตกต่างกันมาก เพราะยุคก่อนคนร้ายส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวอยู่ในป่า และหลบซ่อนบนเทือกเขาแนวตะเข็บพรมแดนไทย-มาเลเซีย และแนวร่วมจะใช้วิธีเรียกค่าคุ้มครองจากชาวบ้าน ชาวสวนยางพารา เพื่อนำเงินไปสนับสนุนการก่อเหตุ ในอดีตเราจะปะทะกับคนร้ายในป่า หรือบนเทือกเขา แต่ทุกวันนี้ พลวัตของปัญหาความไม่สงบเปลี่ยนไปจากวันวานอย่างสิ้นเชิง เพราะคนร้ายใช้วิธีการเคลื่อนไหวในสังคมเมือง แทรกซึมร่วมกับชาวบ้านอย่างแนบเนียน และวิธีก่อเหตุรุนแรงโหดเหี้ยมเป็นทวีคูณ ดังนั้นการเอาชนะฝ่ายตรงข้ามในยุคนี้ จำเป็นต้องชนะใจมวลชนให้ได้ก่อน ซึ่งยอมรับว่าไม่ใช่งานง่าย แต่ก็ไม่เกินความสามารถของข้าราชการไทย
ด้วยความภาคภูมิใจในการเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้นายอำเภอคนนี้เดินหน้า “บำบัดทุกข์บำรุงสุข” ของประชาชนอย่างสุดกำลัง จนถึงขั้น “ถูกตั้งค่าหัว”จากผู้สูญเสียผลประโยชน์ เมื่อเดินหน้าแก้ไขปัญหาชนิดถึงลูกถึงคน โดยไม่สนใจว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ขอเพียงแค่บรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนสำเร็จเป็นพอ
“เราจะยอมได้อย่างไร เมื่อรู้อยู่เต็มอกว่า มีคนแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบกับสังคม และยิ่งเราเป็นข้าราชการด้วยแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขปัญหา ดังนั้นมันเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไปขวางทางแสวงหาผลประโยชน์ของคนบางส่วน และนี่เองจึงเป็นที่มาการตั้งค่าหัวผมถึง ๒.๕ แสนบาท กลัวตายเป็นเรื่องคนทุกคนซึ่งไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น แต่ที่เหนือกว่าความตายคือ การมีชีวิตอยู่ได้นั้นสำคัญที่ว่าจะสร้างสรรค์สิ่งดีใดๆ ให้แก่แผ่นดินได้บ้าง และการแขวนพระจึงเป็นการเพิ่มขวัญและกำลังใจให้เราทำในสิ่งดีๆ แก่สังคม โดยไม่ต้องกังวลต่อภัยอันตราย กลับกันคงเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ หากแขวนพระดี แต่ไม่รู้จักทำดี” นายอำเภอสะบ้าย้อย กล่าว
"กลัวตายเป็นเรื่องคนทุกคนซึ่งไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น แต่ที่เหนือกว่าความตาย คือ การมีชีวิตอยู่ได้นั้น สำคัญที่ว่าจะสร้างสรรค์สิ่งดีใดๆ ให้แก่แผ่นดินได้บ้าง และการแขวนพระจึงเป็นการเพิ่มขวัญและกำลังใจให้เราทำในสิ่งดีๆ แก่สังคมโดยไม่ต้องกังวลต่อภัยอันตราย"
เรื่อง - ภาพ... "สุพิชฌาย์ รัตนะ สำนักข่าวเนชั่น"



