พระเครื่อง

'แจ้งเกิดจากพระหลวงพ่อทวด วัดช้างให้'ป้อม ปัตตานีวันนี้เอาดีทางเครื่องราง

'แจ้งเกิดจากพระหลวงพ่อทวด วัดช้างให้'ป้อม ปัตตานีวันนี้เอาดีทางเครื่องราง

24 ต.ค. 2553

เซียนพระสายใต้ ผู้แจ้งเกิดมาจาก พระหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ จ.ปัตตานี อีกคนหนึ่งที่มีความรู้ความชำนาญในการดูพระสายนี้ได้อย่างแม่นยำ จนเป็นที่เชื่อถือของผู้คนในวงการพระมานานปี คือ ป้อม ปัตตานี เจ้าของชื่อจริง ชาลี จิตต์ไม่งง เป็นนามสกุลจริง ที่หลายคนได้ยินแล

แท้จริงแล้ว ป้อม ปัตตานี เป็นชาวกรุงเทพฯ โดยกำเนิด บ้านเดิมอยู่แถววงเวียนใหญ่ ธนบุรี ต่อมาเมื่ออายุได้ ๗ ขวบ พ่อแม่ได้พาไปอยู่ที่ จ.ปัตตานี โดยได้ประกอบอาชีพแพปลาที่นั่น ต่อมาเมื่อโตขึ้น ป้อมได้เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง เพื่อเรียนหนังสือต่อในชั้นมัธยม และมหาวิทยาลัย

 ป้อม เล่าย้อนอดีตว่า “วันหนึ่ง คุณแม่ไม่สบาย เงินผมก็ไม่มี เพื่อนจึงให้พระมา ๓ องค์ บอกว่าให้เอาไปขายที่สนามท่าพระจันทร์ (มาทราบภายหลังว่าเป็นพระหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน ปี ๒๔๙๗ พิมพ์พระรอด พระวัดปากน้ำ รุ่นแรก และพระปิดตาเนื้อผงหัวบานเย็น หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง) ได้เงินมา ๙,๐๐๐ บาท เอาไปจ่ายค่ารักษาคุณแม่ ทำให้รู้ว่าพระมีราคา ซื้อขายได้ง่าย จึงเกิดความสนใจที่จะซื้อขายพระบ้าง เพื่อจะได้มีรายได้ ในขณะที่ยังเรียนหนังสืออยู่ ความคิดนี้ทำให้ผมแวะเวียนเข้าสนามพระท่าพระจันทร์บ่อยๆ จนรู้จักกับนักเล่นพระและเซียนพระผู้ใหญ่ ในสนามหลายท่าน มีอะไรสงสัยก็ไปสอบถามท่าน ต่อมาปี ๒๕๒๗ ผมกลับไปอยู่ปัตตานีอีก  โดยช่วยคุณน้าทำงานแพปลา ไปประมูลซื้อปลาหน้าท่า แล้วบรรจุลังส่งไปขายที่หาดใหญ่ ซึ่งเขาจะส่งต่อไปยังประเทศมาเลเซีย ตอนแรกผมไปทำงานกับคุณน้าหลายปี ต่อมาได้เริ่มทำธุรกิจด้านนี้เอง ช่วงที่อยู่ปัตตานี ได้พบเห็นคนไทยพุทธส่วนใหญ่ล้วนมีพระหลวงพ่อทวดห้อยติดตัวกันทั้งนั้น จึงเกิดความสนใจอยากได้ไว้ใช้บ้าง  จึงไปหาอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่ชาวปัตตานียกย่องว่าเป็นผู้ที่ดูพระหลวงพ่อทวดได้อย่างแม่นยำ และเป็นผู้มีคุณธรรมสูง ชาวปัตตานีเรียกท่านว่า โกเคี่ยม เป็นช่างเลี่ยมพระอยู่ในตลาด จึงขอฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านก็สอนให้ดูพระหลวงพ่อทวด โดยเฉพาะพระเนื้อว่าน ปี ๒๔๙๗ ทุกวัน ซึ่งมีมากมายหลายพิมพ์ รวมทั้งเนื้อว่านก็มีหลายสภาพ แต่โกเคี่ยมได้เมตตาสอนให้เสมอ จนพอจำได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ ก็ฟังจากผู้ใหญ่เขาพูดคุยกันบ้าง ก็ได้ความรู้ประเภท 'ครูพักลักจำ' อาศัยที่มีพื้นฐานการดูพระไปจากสนามท่าพระจันทร์อยู่บ้างแล้ว ทำให้การเรียนรู้ในการดูพระหลวงพ่อทวดของผมเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น"

 การศึกษาเรื่องพระ สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น คือ ภาพพระ ป้อมบอกว่า ได้ขอยืมพระของเพื่อนๆไปถ่ายภาพ แล้วขยายใหญ่ เอามาศึกษาด้วยตนเองทุกวัน พยายามเก็บภาพพระให้ได้มากๆ เอามาเปรียบเทียบกัน แล้วหมั่นดูทุกวัน ให้จดจำพิมพ์พระให้ได้ก่อน ส่วนเนื้อพระนั้นต้องดูจากองค์จริง แล้วจดจำให้ติดตาติดใจ เมื่อไปพบเห็นพระที่วางขายตามแผง จะหยิบขึ้นมาดู แล้วพิจารณาว่า น่าจะแท้ หรือไม่แท้ หากแน่ใจว่าเป็นพระแท้ก็ให้ซื้อไว้เลย

 “พระหลวงพ่อทวด องค์แรกที่ผมกล้าตัดสินใจซื้อด้วยตัวเองคือ พิมพ์พระรอดต้อ ราคา ๘๐๐ บาท พอจ่ายเงินไปแล้วก็ชักใจไม่ค่อยดี หากเป็นพระแท้ก็ดี ถือว่าเราสอบผ่าน หากเป็นพระไม่แท้ก็ถือว่าเราสอบตก แถมเสียเงินไปเปล่าๆ จากนั้นได้เอาพระไปให้ อ.เคี่ยม ดู ปรากฏว่าเป็นพระแท้ รู้สึกดีใจมาก เพราะเท่ากับเราสอบผ่าน จึงมีกำลังใจขึ้น และมั่นใจที่จะซื้อพระองค์ต่อไป อาศัยได้ทำการบ้านมาดี จึงไม่ค่อยพลาด ได้ซื้อพระบ่อยๆ ตามบ้านในละแวกวัดช้างให้บ้าง วัดทรายขาว บ้าง ก็ได้พระหลวงพ่อทวดอยู่เสมอ สมัยนั้นพระหลวงพ่อทวดยังมีพระเก๊ไม่มาก ที่เป็นพระเก๊ก็เก๊แบบพื้นๆ ง่ายๆ ยังไม่มีลูกเล่นมากนัก หากได้เห็นพระแท้บ่อยๆ ก็จำได้” ป้อม กล่าวด้วยความภูมิใจ

 สิ่งที่สำคัญ ป้อมบอกว่า เนื้อว่านของพระหลวงพ่อทวด มีหลายสภาพ พระที่ถูกน้ำ พระที่ใช้โดยไม่ใส่กรอบหรือตลับ ย่อมต่างไปจากพระที่มีสภาพเดิม เราต้องหาพระแท้มาศึกษาให้มากๆ ก็จะจำไปได้เอง

 ป้อมเล่าว่า ต่อมาเมื่อประมาณปี ๒๕๓๐-๒๕๓๔ ได้ไปกราบ พระอาจารย์นอง วัดทรายขาว ช่วงนั้นท่านกำลังดัง เนื่องจากพระหลวงพ่อทวด เนื้อว่านคลุกรัก และรุ่นเอ็ม ๑๖ ที่ท่านปลุกเสกมีประสบการณ์มาก นอกจากนี้พระอาจารย์นอง ยังได้เล่าถึงเรื่องพระอาจารย์ทิม ว่าครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ พระอาจารย์ทิมได้มาหาพระอาจารย์นอง แล้วบอกว่า

 "ให้เรามาทำพิธีกรวดน้ำด้วยกัน อธิษฐานกัน โดยพระอาจารย์ทิม กล่าวว่า ตั้งแต่ผมรู้จักคนมามากมาย คุณเป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงใจกับผมมาโดยตลอด เรามากรวดน้ำ ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกัน บุญใดที่ผมได้ทำมาแต่ชาติปางก่อนก็ดี ปัจจุบันก็ดี และบุญใดที่คุณได้ทำมาแต่ชาติปางก่อนก็ดี ปัจจุบันก็ดี ขอให้เรามาเฉลี่ยบุญให้เท่ากัน เกิดทุกชาติขอให้เป็นสหธรรมิกกัน..."

 เป็นคำบอกกล่าวของพระอาจารย์ทิม ที่พระอาจารย์นองได้จดจำจนถึงวันมรณภาพ นับเป็นความเมตตาอย่างยิ่งใหญ่ ที่พระอาจารย์ทิมมีต่อพระอาจารย์นอง ในฐานะที่เป็นทั้งน้อง เพื่อน และลูกศิษย์...นอกจากนี้ พระอาจารย์นองยังได้เล่าเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ที่ป้อมบอกว่าล้วนเป็นเรื่องที่น่าสนใจและประทับใจมาก

 และที่สำคัญ พระอาจารย์นองยังได้กำชับด้วยว่า พระของท่าน ตะกรุดของท่าน หากเป็นของเก๊อย่าให้ใครต่อ เพราะจะเป็นบาปกรรม ซึ่งป้อมได้ยึดคำสอนนี้มาโดยตลอด ไม่เฉพาะแต่พระของท่านอาจารย์นอง แต่ยังรวมไปถึงพระอื่นใดทั้งหมด...ด้วยหลักการเดียวกันคือ หากโดนของเก๊มาแล้ว อย่าให้ใครต่ออย่างเด็ดขาด จะเป็นบาปกรรมไปชั่วชีวิต

 “ทุกวันนี้ ผมสำนึกอยู่เสมอว่า ผมแจ้งเกิดได้ก็ด้วยพระหลวงพ่อทวด จึงต้องรู้จักพระคุณของครูบาอาจารย์สายนี้ให้มากๆ ทุกครั้งที่ผมไปทำบุญไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม จะตั้งจิตอธิษฐานขอถวายกุศลผลบุญให้แด่หลวงพ่อทวด พระอาจารย์ทิม พระอาจารย์นอง และครูบาอาจารย์ทุกท่านที่ได้สั่งสอนมา” ป้อม กล่าวด้วยความกตัญญูรู้คุณ

 ต่อมา เมื่อชื่อของป้อมเป็นที่รู้จักของวงการพระมากขึ้น ก็ได้รับเกียรติให้เป็นกรรมการตัดสินพระชุดหลวงพ่อทวด อยู่เสมอ จนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการประกวดพระในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัดก็ตาม

 เมื่อพระหลวงพ่อทวดเป็นรู้จักกันอย่างกว้างขวางไปทั่วทั้งเมืองไทย และประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้พระหายากขึ้น ป้อมจึงได้ศึกษาซื้อขายพระสายใต้อื่นๆ เพิ่มขึ้น อาทิ พระปิดตาหลวงพ่อครน พระปิดตาดอกจัน เมืองนครศรีธรรมราช พระสายเขาอ้อ ฯลฯ ขณะเดียวกันก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เมื่อประมาณปี ๒๕๓๘ เพื่อจะได้ซื้อขายพระอย่างหลากหลายขึ้น อาศัยที่มีพื้นฐานพระหลวงพ่อทวดมาก่อน การเรียนรู้พระอื่นๆ ก็ไม่ยากนัก อีกทั้งมีพี่ๆ และเพื่อนๆ มากมายที่คอยแนะนำให้ อะไรไม่รู้ก็ถามเขาบ้าง ซื้อพระแท้องค์จริงมาศึกษาบ้าง ก็พอจะเอาตัวรอดได้ตลอดมา ช่วงนั้นได้ขึ้นล่องกรุงเทพฯ-ปัตตานี อยู่เสมอ โดยเอาพระทางใต้ขึ้นมาขายที่กรุงเทพฯ แล้วเอาพระจากกรุงเทพฯ ลงไปขายทางใต้ ทำให้มีรายได้ไม่ขาดมือ

สำคัญที่สุดคือ อย่าเอาพระปลอมไปขายให้ใคร เพราะเท่ากับทำลายชื่อเสียงของตัวเอง กฎกติกาของการซื้อขายพระให้อยู่ได้อย่างมั่นคงตลอดไป คือ ความซื่อสัตย์จริงใจกับลูกค้า อะไรที่ไม่แน่ใจอย่าให้เขาอย่างเด็ดขาด

มาถึงทุกวันนี้ ป้อม ได้ให้ความสนใจวัตถุมงคลประเภท เครื่องรางของขลัง อย่างจริงจัง ด้วยเห็นว่า เป็นงานสร้างสรรค์ของโบราณจารย์ ที่สร้างขึ้นจากภูมิปัญญาของชาวบ้านอย่างแท้จริง เป็นงานฝีมือแท้ๆ ที่เรียกว่า ‘แฮนด์เมด’ กว่าจะได้ผลงานแต่ละชิ้นต้องใช้เวลานานพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระเกจิอาจารย์เจ้าของผลงานยังได้บรรจุอานุภาพความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ในเครื่องรางของขลัง ชิ้นนั้นๆ อีกด้วย

 ผู้ที่ได้เมตตาให้ความรู้ในด้านนี้แก่ป้อม คือ พยัพ คำพันธุ์ นายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย ซึ่งได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ชำนาญด้านเครื่องรางของขลังในระดับต้นๆ ของเมืองไทย ซึ่งป้อมเคารพนับถือเป็นครูคนแรก ในการเรียนรู้เครื่องรางของขลัง ที่ป้อมศรัทธาเลื่อมใส

ณ ชั่วโมงนี้ ป้อมได้สะสมเครื่องรางต่างๆ เอาไว้มากพอสมควร ซึ่งส่วนหนึ่งได้นำภาพมาให้ชมในวันนี้ และเครื่องรางที่ป้อมให้ความสนใจเป็นพิเศษในขณะนี้ คือตัว สี่หู ห้าตา ซึ่งเป็นเครื่องรางของครูบาอาจารย์สายเหนือ ที่ ท่านครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา (ครูบาวงศ์) วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน ได้สร้างขึ้น และได้ถ่ายทอดวิชาสายนี้ให้กับ ท่านครูบาบุญยัง ปุญญํกโร วัดห้วยน้ำอุ่น อ.ลี้ จ.ลำพูน เป็นรูปเคารพของพระอินทร์จำแลงร่างเป็นตัว สี่หู ห้าตา ชอบกินถ่านไฟร้อนๆ แล้วถ่ายออกเป็นก้อนทองคำ ถือเป็นเครื่องรางประเภทโชคลาภ เมตตามหานิยม ที่ชาวเหนือรู้จักกันมานานแล้ว

ทุกวันนี้ ป้อม ปัตตานี มีร้านพระชื่อ ลังกาสุกะ (ชื่อเดิมของนครปัตตานี) อยู่ใน ชมรมพระเครื่องมรดกไทย ชั้น ๓ ห้างพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน โทร.๐๘-๙๗๗๒-๗๑๔๕

0 ตาล ตันหยง 0