
Zen จากท่านอิกคิว
“ขอพักสักครู่
ระหว่างทางจากโลกียะ
สู่โลกุตตระ
หากฝนจะตกก็ตกเถิด
หากลมจะพัดก็พัดเถิด” (จากหนังสือ อิกคิวซังตัวจริง : มาซาโอะ โคงุเร เขียน : พรอนงค์ นิยมค้า แปล สำนักพิมพ์ทิวลิป )
พระเซนผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ตั้งแต่ครั้งยังเป็นเณร ด้วยความเฉลียวฉลาด ปราดเปรื่องในเชิงไหวพริบ จนได้ฉายาว่าเป็น “เณรน้อยเจ้าปัญญา” นั่นเอง ใครที่เคยดูภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้ ที่ถูกนำมาฉายในบ้านเราตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ จวบจนปัจจุบัน คงรู้ว่าสนุกสนานขนาดไหน ใครที่ละเอียดมากกว่านั้น อาจสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแห่งความเศร้าวังเวง อันสะท้อนอยู่ในจิตใจของเณรน้อยผู้นี้พอสมควร … ด้วยเหตุผลบางประการ ท่านแม่ของอิกคิว จำต้องนำลูกชายมาบวชเณรตั้งแต่อายุยังไม่ถึง ๗ ขวบ ซ้ำยังกำชับห้ามติดต่อไปมาหาสู่กัน เด็กน้อยคนไหนบ้างจะไม่ทุกข์ ดังที่อิกคิวได้ระบายออกมา ...
“ไม่ว่าจะเกิดมาจากไหน
คนเราก็มีชีวิตอยู่ต่อไปเพียงคนเดียว”
ความไม่สมบูรณ์ของชีวิต หรือการที่บางสิ่งในชีวิตมิได้เป็นไปดั่งที่คาดหวังไว้นั้นเกิดขึ้นได้เสมอ ในหลายๆ เวลา หลายๆ สถานที่ และมันเกิดกับทุกคน ไม่ละเว้นใครหน้าไหนทั้งสิ้น
โปรดอย่าได้คิดว่ามีแต่เราเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ทุกข์เลยครับ และโปรดอย่าได้เขลา เหมาเอาเองว่า “ทุกข์” นั้นเพิ่งจะเกิดกับฉันในวันนี้ ... แท้ที่จริง “ทุกข์” นั้นมีอยู่คู่โลกมานานแล้ว มีมาก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะบังเกิดในโลกนี้ด้วยซ้ำ
อย่างท่านอิกคิว เริ่มต้นเกิดมาก็ไม่มีพ่อแล้ว (จริงๆ มีอยู่แต่ด้วยเหตุผลทางการเมืองและความปลอดภัย จำต้องปกปิดไว้) ท่านได้ใช้ชีวิตเป็นเด็กเล่นสนุกสนานอยู่แค่ ๖ ปี ท่านแม่ก็จับไปบวชเป็นเณรตั้งแต่อายุ ๖ ขวบ จนเติบใหญ่เป็นพระเซนและได้บรรลุธรรมเมื่อตอนอายุ ๒๗ ปี
พระอิกคิวเพิ่งจะมาได้เจอหน้าพ่อแท้ๆ ของตัวเองครั้งแรกในชีวิต ก็เมื่อตอนอายุ ๓๔ และครั้งที่สองในอีก ๕ ปีถัดมา ซึ่งเป็นครั้งที่ท่านพ่อ มามอบจานฝนหมึกอย่างดีให้เป็นรางวัลติดกัณฑ์เทศน์ แล้วท่านพ่อของอิกคิวก็ตายในฤดูใบไม้ร่วงในปีเดียวกันนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ ท่านอิกคิวจึงเก็บจานฝนหมึกชิ้นนี้ไว้อย่างดีจนถึงยามชรา กล่าวกันว่า มันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ท่านอิกคิวหวงแหนที่สุด แม้เมื่อท่านมรณภาพตอนอายุได้ ๘๗ ปี จานฝนหมึกล้ำค่าชิ้นนี้ก็ถูกเก็บไว้อย่างดีในพิพิธภัณฑ์ ก็เพราะมันเป็นหลักฐานชั้นดีที่ระบุชัดว่า ท่านยังมีพ่อมีแม่อยู่ร่วมสมัยกันเหมือนอย่างคนอื่นเขา และพิสูจน์ได้ว่าตัวท่านนั้นมีตัวตนจริงๆ อยู่บนโลกอันโหดร้ายใบนี้ ผู้เขียนวิจารณ์ตามหลักฐานคำพูดของท่านอิกคิว ที่ว่า …
“ในขณะที่เรายังดำรงชีวิตอยู่นี้ ความตายย่อมพรากผู้คนจากเราไปได้ทั้งนั้น ในที่สุดเราก็เหลืออยู่ตัวคนเดียว เราไม่ควรร่ำร้องโวยวาย ชีวิตที่ได้รับมานี้ จะขออยู่ต่อไปด้วยหัวใจเซน”
อิกคิวซังตระหนักถึง “ความทุกข์” ที่มาพร้อมกับโลกใบนี้อย่างดี ด้วยนิพพิทาญาณ (*) อันแก่กล้า ท่านจึงประพันธ์เป็นกลอนบทหนึ่งที่ว่า ...
“เมื่อมาถึงที่นี่
ก็รู้ว่าบ้านนี้มีทุกข์
เหมือนทุกหนทุกแห่ง
แต่เมื่อสงบใจอาศัยอยู่
ก็รู้ว่าอยู่สบายดี”
อันปราชญ์ชาวพุทธ ประจักษ์แจ้งจากใจจริงทุกคนแล้วว่า “โลกคือทุกข์ ทุกข์คือโลก” แม้มหาปราชญ์ชาวจีนหลายร้อยคน ร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์แห่งมวลมนุษยชาติ เพื่อถวายแด่องค์จักรพรรดิ (หากเป็นสมัยนี้ ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นการทำวิทยานิพนธ์) แทนที่จะเขียนป็นอักษรบนกระดาษหลายร้อยหลายพันหน้า พวกเขาเหล่านั้นกลับสรุปเป็นตัวอักษรเพียง ๖ คำ ซึ่งมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ที่เคยเกิดมาบนโลกแห่งนี้ ทั้งที่จะเกิดมาในอนาคต มิอาจหนีพ้นจากนิยามทั้ง ๖ คำนี้ได้เลย คำทั้ง ๖ ถูกเขียนไว้ว่า …
“คนเกิด คนทุกข์ คนตาย”
เห็นไหมล่ะครับ พระที่มีไอคิวสูงๆ อย่างท่านอิกคิว ยังต้องผ่านการเผชิญหน้าต่อความทุกข์มาอย่างแสนสาหัส แต่ด้วยอัจฉริยภาพของท่าน ท่านกลับฉลาดที่ใช้มันไปในทางสร้างสรรค์ เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส เปลี่ยน “ความทุกข์” ในชีวิตจริงที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้เป็นแรงขับแห่งการ “บรรลุธรรม” ในที่สุด
ถ้าผมขอโอกาสยืมสำนวน ท่านพุทธทาสภิกขุ มาใช้ ก็ต้องนี่เลย
“หาสุข ได้จากทุกข์”
อย่างที่ท่านอิกคิวปิ๊งนั่นเองครับ คำว่า “สุข” ของท่านพุทธทาสในที่นี้เป็นเพียงคำสมมติเท่านั้นเอง, นัยแท้จริงที่ท่านต้องการจะสื่อก็คือ “ดับทุกข์” มากกว่า, คือคนเรานั้นจะต้องประจักษ์ รับรู้พิษสงที่แท้จริงของ “ทุกข์” นั้นด้วยตัวเองเสียก่อน จึงจะเข้าใจ จึงจะเข็ดขยาด และอยากจะดับทุกข์ บางคนเห็นทุกข์น้อยๆ ก็อาจยังประมาท ผัดผ่อนการปฏิบัติธรรมไปก่อน หรือไม่ดิ้นรนที่จะดับทุกข์ให้สำเร็จเสร็จๆ ไป พวกเขาจึงยังทุกข์ใจอยู่เป็นนิจศีล ต่อเมื่อเห็นคลื่นทุกข์ลูกใหญ่ซัดกระหน่ำโครมเบ้อเริ่ม เต็มๆ ราวกับคลื่นสึนามิถาโถมสู่จิตเรา เมื่อนั้นถ้าไม่บ้าเสียก่อน ก็จะฮึกเหิม อยากจะดับทุกข์ให้สิ้นซากไปเลยด้วยตัวเอง
เมื่อนั้นเอง “ฉันทะ” อันเป็นบาทฐานแรกแห่งองค์อิทธิบาท ๔ เพิ่งจะเกิด จึงขับดันให้เดินตามรอยบาทพระศาสดา พระอรหันตสาวกทั้งหลาย หมายมั่นเพียงเพื่อจะดับกิเลส อันเป็นมูลเหตุแห่งทุกข์ ให้ขาดสะบั้นไป จนเมื่อดับทุกข์สิ้นเชิงได้จริง ก็คือการเข้าสู่สภาวะนิพพาน อันเป็นบรมสุข
เซน จากท่านอิกคิว จึงเอื้อให้พลิก “จิต” มาด้วยแนวคิดนี้ เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นท่านอย่าได้เสียกำลังใจเลยครับ เวลามีทุกข์มากๆ ให้พิจารณาว่า “ความทุกข์” เหล่านั้นมาสอนสัจธรรมให้เห็น ความทุกข์เหล่านั้นยังมาสะกิดเตือนตัวเราเองว่าอย่าประมาท ให้รีบเร่งปฏิบัติธรรม หรืออย่างน้อยก็ให้ทำทาน-ศีล-ภาวนา หมั่นๆ ไว้ ซึ่งดีไม่ดี ผมว่าบางที ยังดีกว่าบางคนที่เขาพบเจอแต่ความสุข โลกียสุข สุขทางวัตถุ สุขจากกามอันจอมปลอม หลอกให้เขาชะล่าใจ หลงมัวเมาจมปรักอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบจักสิ้นนี้ ดังกลอนที่ผมเคยเขียนไว้
“ทุกข์ใจ” อาจได้เห็น “นิพพาน” ไว
“สุข” นั้นไซร้ ชักจูงให้ ห่างไกลธรรม
ก่อเหตุประมาท อาจพลาดถลำ
ให้ตกต่ำชั้น ผันพาจิต สู่อบาย
“ทุกข์ใจ” ช่วยให้เรียนรู้ “สัจธรรม”
“สุข” สิกรรม ทำให้ “หลง” ว่าสุขใจ
แท้จริง “สุข” ก็คือ “ทุกข์จางๆ” ไซร้
โธ่ หลอกเราได้ สนิทใจ ไม่ทันระวังฯ
เซน ของอิกคิว ก็ผ่านไปแล้ว สำนวนธรรมของท่านพุทธทาส ก็ดังก้องอยู่ในจิต เหมือนท่านเพิ่งประกาศธรรมไปเมื่อวานนี้เอง ...
หากฝนจะตกก็ตกเถิด
หากลมจะพัดก็พัดเถิด
หากยังมีสิ่งนี้ๆ เกิด สิ่งนี้ๆ ก็ย่อมบังเกิด
เมื่อดับสิ่งนี้ๆ แล้ว สิ่งนี้ๆ ก็จะดับไปเอง
ฉันจะยังคงมุ่ง หาสุขจากทุกข์ต่อไป
ตราบจนกว่าจะหาทุกข์ไม่เจอแล้ว!
Footnote(*): นิพพิทาญาณ คือการรู้แจ้งแห่งความเบื่อหน่ายคลายอยากจากสิ่งปรุงแต่งได้ทั้งปวง
"พิสุทธิ์ เกรียงบูรพา"