พระเครื่อง

พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศเชียงใหม่
ขอเชิญร่วมพิธี 'คเนศจตุรถี'

พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศเชียงใหม่ ขอเชิญร่วมพิธี 'คเนศจตุรถี'

03 ก.ย. 2553

พิธีคเนศจตุรถี (ganesh ghaturthi) หรือ วินายักจตุรถี (vinayak ghaturthi) นับเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่อีกพิธีหนึ่งของชาวอินเดีย โดยเฉพาะที่รัฐมหาราช อันมี เมืองปูเน่ เป็นเมืองสำคัญในการประกอบพิธีนี้ ซึ่งจะตรงกับวันขึ้น ๔ ค่ำ เดือนภัทรบท (ประมาณเดือน ๑๐ ของไทย ช

 พิธีกรรมนี้ ชาวฮินดูได้ปฏิบัติกันมาแต่โบราณกาล โดยบางขั้นตอนได้ปรับแต่งให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะที่ จ.เชียงใหม่ อ.ปัณฑร ทีรคานนท์ ผู้บริหารพิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศเชียงใหม่ ได้ประยุกต์พิธีกรรมให้สอดคล้องกับประเพณีล้านนา โดยคงไว้ซึ่งเนื้อหา และข้อมูลไว้อย่างครบบริบูรณ์ เพื่อเป็นความรู้ทางการศึกษา อ.ปัณฑร จะอธิบายขั้นตอนต่างๆ โดยสังเขป ในระหว่างการประกอบพิธี

 ในเทศกาลนี้ จะมีการประกอบพิธีบูชาบวงสรวงองค์พระพิฆเนศ ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนภัทรบท (เดือน ๑๐ ของแต่ละปี) โดยเริ่มจากการอัญเชิญพราหมณ์ประกอบพิธีสักการบูชารูปเคารพองค์พระพิฆเนศ ซึ่งปั้นด้วยดินเผา โดยชาวบ้านจะนำรูปเคารพพระพิฆเนศดินเผา ไปเข้าร่วมพิธีด้วยก็ได้

 พราหมณ์ผู้ทำหน้าที่จะนำสวดคาถาสรรเสริญองค์พระพิฆเนศ และท่องพระนามทั้ง ๑๐๘ ของพระองค์  เครื่องบวงสรวงในพิธีนี้ โดยมากจะเป็นขนมและผลไม้ต่างๆ นม และที่ขาดไม่ได้ คือ ขนมลาดูป รวมทั้ง อ้อย กล้วย มะพร้าวอ่อน มะม่วง นมเปรี้ยว ซึ่งเป็นของโปรดขององค์พระพิฆเนศ

 ส่วนดอกไม้ จะเลือกดอกไม้ที่มีสีสดจัดจ้านมากๆ เช่น ดอกดาวเรืองสีเหลืองสด ดอกไม้สีแดง ดอกไม้สีแสด เมื่อประกอบพิธีเสร็จแล้ว ผู้ร่วมพิธีจะนำเอารูปปั้นดินเผาขององค์พระพิฆเนศไปจุ่มลงในแม่น้ำใกล้บ้าน เพื่อเป็นสิริมงคล จะได้เกิดความสมบูรณ์พูนสุขตลอดไป

 ในช่วงเทศกาลคเนศจตุรถี ผู้เฒ่าผู้แก่จะสั่งห้ามไม่ให้ลูกหลานแหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์ เพราะพระพิฆเนศได้สาปแช่งเอาไว้ว่า ใครที่มองพระจันทร์ ในวันทำพิธีสักการบูชาพระองค์ ขอให้ผู้นั้นเป็นคนจัณฑาล ซึ่งเป็นวรรณะชั้นต่ำที่สุดของชาวฮินดู ที่น่ารังเกียจเดียดฉันท์ นับเป็นการสาปแช่งที่รุนแรงมาก

 เรื่องนี้มีสาเหตุเล่าสืบต่อกันมาว่า ครั้งหนึ่ง พระพิฆเนศทรงเสวยขนมลาดูปมากจนเต็มท้อง และทรงประทับนั่งอยู่บนหลัง หนู อันเป็นพาหนะประจำพระองค์ ในขณะเสด็จระหว่างทาง มีงูเห่าเลื้อยผ่านหน้า เป็นเหตุให้หนูเกิดตกใจ หยุดชะงักด้วยความหวาดกลัว พระพิฆเนศจึงพลัดตกจากหลังหนู ทำให้ท้องของพระองค์ปริแตกออก จนขนมลาดูปทะลักออกมา พระพิฆเนศจึงได้เก็บขนมลาดูปยัดกลับเข้าไปในท้องใหม่ และจับงูเห่ามาพันไว้ที่พุงของพระองค์

 ในช่วงเวลานั้น พระจันทร์ได้เสด็จผ่านเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี จนเกิดความรู้สึกขบขัน จึงหัวเราะออกมาเสียงดังสนั่น ทำให้พระพิฆเนศโมโหมาก จึงดึงเอางาข้างหนึ่งขว้างไล่พระจันทร์ งาของพระพิฆเนศจึงฝังติดแน่นอยู่ที่พระจันทร์ เป็นเหตุให้ทั้งโลกและสวรรค์มืดลงทันที

 ทำให้โลกและสวรรค์ ได้รับความเดือดร้อน บรรดาเทพเทวาทั้งปวง จึงได้ขอร้องให้พระอินทร์ช่วยจัดการเจรจากับพระพิฆเนศ เพื่อช่วยเหลือพระจันทร์ พระอินทร์จึงไปพบกับพระพิฆเนศ พร้อมกับบรรดาเทพเทวาทั้งหลาย ช่วยกันวิงวอนขอร้องให้พระพิฆเนศคลายโกรธ ให้อภัยพระจันทร์ ผู้เป็นเทพแห่งแสงสว่าง

 ในที่สุด พระพิฆเนศก็ใจอ่อน ยอมดึงเอางาออกจากพระจันทร์ แต่ยังคาดโทษทัณฑ์ไว้อีกเล็กน้อย คือ พระจันทร์จะต้องคำสาปของพระพิฆเนศต่อไป แม้ว่าจะดึงเอางาออกมาแล้วก็ตาม คือ พระจันทร์จะต้องเว้าๆ แหว่งๆ ไม่สว่างไสวเต็มดวงทุกคืนไป ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ และแรม ๑ ค่ำ เท่านั้น ที่จะส่องสว่างเต็มดวง หลังจากช่วงนั้น พระจันทร์จะค่อยๆ แหว่งเว้าไปจนเหลือเป็นเสี้ยวเล็กลงเรื่อยๆ และมืดหายไป แล้วจึงจะค่อยๆ คืนรูปทีละเล็กละน้อย เป็นรูปเสี้ยวเว้าแหว่งเรื่อยมา จนกระทั่งเต็มดวงอีกครั้ง ในคืนขึ้น ๑๕ ค่ำ และแรม ๑ ค่ำ

 วันคเณศจตุรถี ในปีนี้ เริ่มต้นตั้งแต่ วันเสาร์ที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๓ พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศเชียงใหม่ จะจัดพิธีตั้งแต่เช้าตรู่ ผู้ศรัทธาสนใจขอเชิญร่วมพิธีนี้ได้โดยทั่วกัน ติดต่อสอบถามได้ที่ พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ ถนนเชียงใหม่-ฮอด (อินทนนท์) หลัก กม.๓๕ ต.ยางคราม กิ่ง อ.ดอยหล่อ (เขตติดต่อ อ.สันป่าตอง) จ.เชียงใหม่ โทร.๐-๕๓๒๖-๙๑๐๑, ๐๘-๙๘๕๕-๕๘๕๒, ๐๘-๙๔๓๐-๔๐๕๐ หรือที่ www.ganeshmuseum.com
โอม ศรี คเณ ศา ยะ นะ มะ ฮา

0 บุญนำพา 0