พระเครื่อง

แปลงพลังโกรธเป็นกวี

แปลงพลังโกรธเป็นกวี

10 ส.ค. 2553

มันเริ่มมาจากครั้งแรกที่ผมพบประโยคนี้ "เหตุสมควรโกรธ ไม่มีในโลก" จาก พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

 ฟังๆ ดู ก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยากนะ แต่ในชีวิตจริงๆ ไฉน จึงทำได้ไม่ง่ายเลย ?

 ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า ท่ามกลางมหานครเมืองฟ้าอมร ที่คนทั้งโลกเรียกว่า “กรุงเทพฯ” ผู้คนล้วนเร่งรีบถีบตัวเองเข้าสู่การจราจรที่หฤโหด เพื่อแข่งกับเวลา วิถีการขับรถของคนกรุง จึงบีบรัดฟัดเหวี่ยงเสียเหลือเกิน ควานหาน้ำใจกันแทบไม่มี เส้นอารมณ์ที่เปราะบาง อันทำให้ใครต่อใครหลายคน บันดาลโทสะกันได้โดยไม่ยากเย็นนัก โดยเฉพาะคนที่ “สติ” ไม่แข็งพอ ยังไม่ทันจะถึงที่ทำงานตอน ๘ โมงเช้า ก็อาจโกรธไปหลายหนแล้วด้วยซ้ำไป

 บนถนนกรุงเทพฯ นั้น มีแต่คนใหญ่ๆ โตๆ ทั้งนั้น สถิติอย่างไม่เป็นทางการบอกว่า มากกว่า ๒๐% มีพกปืนกันมาในรถด้วย ข่าวเร็วๆ นี้ ก็มีผู้ยิ่งใหญ่ ๒ คน คนหนึ่งเป็นนายตำรวจระดับผู้พัน อีกคนหนึ่งเป็นเสี่ยรับซื้อขยะ ขับรถปาดหน้ากันไปมา สุดท้ายก็ซัดกระสุนใส่กัน ด้วยความโกรธเพียงตัวเดียว คนหนึ่งต้องไปนอนในคุก ส่วนอีกคนหนึ่งต้องตาย!

 ผู้เขียนเองยังเคยถูกวัยรุ่นขับรถตามมาเทียบ แล้วเจ้าเด็กหนุ่มนั้นก็ลดกระจกลง พร้อมตะโกนแจก “ของลับ” ดังลั่นถนน ใส่ผู้เขียนตั้งแต่ยังไม่ ๗ โมงเช้า ต่อหน้าต่อตาเด็กอายุ ๑๐ ขวบ ลูกชายผม โดยที่เรายังไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำว่า ไปขับปาดหน้าเขาตอนไหน ไม่รู้ว่าเรื่องไร้สาระพลันนี้ สมควรที่เราจะต้องไปเอามาบิวท์ ให้เป็นอารมณ์โกรธหรือไม่?

 กับเรื่องที่เป็นสาระมากกว่านี้ ต่างๆ มากมายในเมืองไทย ที่พร้อมจะเป็นมูลเหตุแห่งการสร้างความกดดัน แล้วพัฒนาเป็นความโกรธได้ทุกเมื่อ เช่น เจ้านายที่ไม่เข้าใจเรา ลูกน้องที่ชอบอู้งาน คุณสมบัติและจิตสำนึกอันห่วยแตกของนักการเมืองบ้านเรา ที่มักจะคิดถึงแต่ประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง ความแตกแยกกันในสังคมที่ไม่มีข้อยุติ ตำรวจจราจรที่จ้องจะรีดไถพวกคุณด้วยช่องกฎหมาย (ถามพวกขี่มอเตอร์ไซค์ เขารู้ดี) เจ้าหน้าที่สรรพากรผู้หวังดี เห็นบริษัทคุณขาดทุนติดต่อกันมาหลายปี แวะมาทักทายด้วยความห่วงใย เมื่อไหร่จะมีกำไรมาให้ขูดรีดภาษีซะที ถนนไม่ได้มาตรฐาน เป็นหลุมเป็นบ่อมากมาย สร้างไม่เสร็จกันเสียที สวัสดิการและความปลอดภัยของคนกรุงเทพฯ ที่มิอาจฝากไว้กับตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้เลย ทั้งๆ ที่เราเสียภาษีกันเดือนละเป็นหมื่น ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่อาจพัฒนาไปสู่ความโกรธได้ทุกเมื่อ

 เพราะฉะนั้นประโยคที่ว่า เหตุสมควรโกรธ ไม่มีในโลก ในทางปฏิบัติ จึงทำได้ยากมาก โดยเฉพาะสำหรับปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ... แต่หากลองพิจารณาในอีกมิติหนึ่งบ้างล่ะ คือแทนที่จะต้องโกรธ แต่เรารู้ตัวทัน “สติ” มาเตือนว่าตอนนี้โกรธแล้วนะ ก่อนที่จะแสดงพลังแห่งความโกรธนั้นไปในทางลบ เช่น ทำลายข้าวของ หรือชกต่อยกัน ก็ให้รีบแปลงพลังงานความโกรธนั้นให้เป็นพลังขับเคลื่อนสร้างสรรค์อย่างหนึ่งอย่างใดเสียดีกว่า เพราะว่าความโกรธนั้นมีพลังงานสูงมาก อานุภาพทำลายล้างอาจมากกว่าคลื่นสึนามิถึง ๑๘ เท่าตัว!

 How to?
 ตัวอย่างง่ายๆ ในหนังจีนโบราณสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจางซานฟง (ฤทธิ์หมัดสะท้านบู๊ลิ้ม) หรือ ฮุ้นปวยเอี้ยง (กระบี่ไร้เทียมทาน) ผมเห็นเวลาพระเอกโกรธมากๆ หรือเสียใจมากๆ มักจะรีบวิ่งออกไปในที่กว้างๆ ทางยาวๆ คือเอาพลังโกรธ ไปใช้ในการวิ่งทางไกล วิ่งไป ร้องไห้ไปจนกว่าจะหมดแรง ก็หมดโกรธไปด้วยเช่นกัน เป็นต้น หลังจากหนัง ๒ เรื่องนี้โด่งดัง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระเอกหนังจีน  ๖ ใน ๑๐ เรื่อง ก็จะวิ่งสลายความโกรธแบบเดียวกันหมดซะงั้น

 ตัวอย่างคลาสสิกอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ “โจสิต” ซึ่งผมชอบมาก ดึงมาจาก “สามก๊ก” ขอโอกาสนำมาเล่าสนับสนุนความคิดของผู้เขียน ให้ผู้อ่านได้พิจารณา

 ในเรื่องราวตอนหนึ่งของพงศาวดาร “สามก๊ก” หลังจากที่เจ้าก๊กใหญ่เรืองอำนาจ นาม “โจโฉ” ได้เสียชีวิตไปแล้ว ตำแหน่ง “วุยอ๋อง” จึงตกเป็นของโจผี บุตรคนโตของโจโฉ และพระเจ้าเหี้ยนเต้ ทรงครองราชย์ต่อจากนั้นมา

 “โจผี” เหิมเกริมด้วยการปราบดาภิเษกหัวเมืองต่างๆ อย่างบ้าอำนาจ ข้ามหน้าข้ามตาพระเจ้าเหี้ยนเต้ อย่างไม่สนใจใคร และยังมีอกุศลจิตยิ่งกว่านั้น คือคิดที่จะกำจัดน้องในสายเลือดทั้งสอง คือ “โจสิต” และ “โจหิม” ด้วยคิดไปเองว่า น้องทั้งสองไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อตนเอง

 ขณะนั้น โจหิม ครองเมืองเซียวหวยอยู่ ทั้งๆ ที่ทราบข่าวการตายของบิดา แต่ไม่กล้าไปเคารพศพ เพราะรู้ว่าพี่ชาย (โจผี) จ้องจะกำจัดตนอยู่ แม้กระนั้นก็ตาม เมื่อกองทหารของโจผี บุกประชิดเมืองเซียวหวย โจหิมจึงตัดสินใจผูกคอตาย!

 จากนั้น โจผี ก็ส่งทูตไปเจรจากับโจสิต น้องอีกคนหนึ่งซึ่งครองเมืองลิมฉีอยู่ ด้วยเหตุที่ทูตของโจผี ทำตัวกร่าง ไม่สุภาพต่อพระอนุชา จึงถูกทหารของโจสิตไล่ตีกลับออกมา สร้างความฉุนเฉียวให้โจผีเป็นอันมาก จึงส่งทหารเอกให้ไปคุมตัวโจสิตและลูกเมียมา ขณะที่โจสิตกำลังเมามายอยู่

 เมื่อมารดาทราบข่าวความอำมหิตของบุตรชายคนโต จึงร้องไห้อ้อนวอนให้โจผี ไว้ชีวิตน้องชายตัวเอง ซ้ำอธิบายแทนน้องว่า โจสิต ผู้นี้มีแต่อารมณ์กวี หาใช่คู่แข่งของเจ้าไม่ ถ้าอยากได้ชีวิตน้อง ก็ให้เอาชีวิตของแม่ไปแทนดีกว่า

 โจผี จึงยอมแม่ แต่ก็ยังไม่วางใจ (ได้สันดานมาจากพ่อโจโฉอย่างไม่ผิดเพี้ยนเลย ฆ่าคนผิด ดีกว่าปล่อยคนไป) หาอุบายจะกำจัดโจสิตให้ได้ โดยการเรียกน้องให้มาพบในจวนของตัวเอง ออกคำสั่งให้แต่งกวีขึ้นมาบทหนึ่ง ให้เสร็จภายใน ๗ ก้าวเดิน โดยต้องมีเนื้อหาพรรณนาถึงความสัมพันธ์ในหมู่พี่น้อง จะเปรียบเทียบประการใดก็ได้ แต่ห้ามระบุชื่อ และห้ามไม่ให้มีคำว่าพี่น้องเลย หาไม่แล้วจะถูกตัดหัวทันที โดยทหารเอก!

 ท่านผู้อ่านลองคิดดูนะครับ ด้วยสภาวะที่กดดัน บีบคั้นจิตใจเช่นนั้น ด้วยบรรยากาศแห่งศาลเตี้ย หามีความยุติธรรมไม่ ทั้งๆ ที่โจสิตไม่เคยคิดกบฏแต่อย่างใด กลับถูกสร้างแรงกดดันด้วยคมดาบของทหารเอก ผู้หมายจะเอาชีวิตตัวเอง ทั้งๆ ที่คนออกคำสั่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองเช่นนี้ ... มีใครบ้างไม่โกรธ???

 ปราชญ์ผู้มีอารมณ์สุนทรีย์ ถ้าเป็นสมัยนี้เรียก “ติสต์” แทนที่จะบุ่มบ่าม ระเบิดความโกรธออกไปด้วยการทำอะไรโง่ๆ สักอย่าง แล้วก็ต้องจบด้วยคมดาบที่ฟาดฟันลงที่คอเขา โจสิตกลับอดกลั้นอดทนไว้เต็มพิกัด แล้วเดินไป ๒ ก้าว โดยยังมิได้ร่ายกลอนออกจากปากแม้แต่คำเดียว พาให้ทหารเอกย่ามใจ ชักคมดาบออกจากฝักเตรียมสังหาร!

 ด้วยอัจฉริยภาพทางกวีที่ไม่เป็นรองใคร กลอนสดๆ ที่ถูกผลักดันจากความโกรธขึ้ง เคืองแค้นในจิตใจ ก็ออกจากปากของโจสิต อย่างงดงามและกินใจ ถูกต้องตามกติกา จบลงใน ๕ ก้าวที่เหลือนั้น ...
 เถาถั่ว เผาต้นถั่ว
 ในหม้อถั่ว ถั่วลุกไหม้
 ก่อนเคย ร่วมรากไซร้
 เหตุไฉน เร่งเผาผลาญฯ

  โจผีได้ยิน ก็หวนรำลึกถึงอดีตวัยเยาว์ จึงละเว้นโทษตายใหห้โจสิต และปล่อยบุตรภรรยาเป็นอิสระ เพียงเนรเทศให้ออกจากเมืองหลวงไป

  เป็นอันว่าการแปลงพลังโกรธเป็นกวีของโจสิตในครั้งนี้ ช่วยนำพาชีวิตเขาและครอบครัว ผ่านพ้นวิกฤติมาได้อย่างฉิวเฉียดจริงๆ ซ้ำยังฝากอุทาหรณ์สอนใจให้โจผี พี่ชายจอมบ้าอำนาจและขี้ระแวง ให้ฉุกคิดถึงสายสัมพันธ์พี่น้องได้อย่างเด็ดขาด

 ใครทำได้อย่าง “โจสิต” ผู้นี้ เรื่องที่สมควรต้องโกรธใดๆ ในโลก ก็ไม่น่าจะมี หรือมีก็มี “สติ” รับมือได้อย่างชาญฉลาด สามารถพลิกนำพลังโกรธ เอามาใช้ในทางสร้างสรรค์ได้ในที่สุด

 เหตุแห่งความโกรธ ไม่มีในโลก
  เหตุที่สมควรจะฆ่าตัวตาย ก็ไม่มี
  ทั้งคนที่คู่ควรจะต้องทำอย่างนั้นๆ ก็หามีไม่
  ก็เพราะ ... ไร้ซึ่ง ตัวกูของกู นั่นเองฯ
  สวัสดีวันพระครับ

"พิสุทธิ์ เกรียงบูรพา"