
ชั่วโมงเซียน-"พระแม่ย่า"พระนางเสืองพระมารดาของพ่อขุนฯ
ในช่วงสัปดาห์วันแม่แห่งชาตินั้น มีการนำเสนอข่าวที่เกี่ยวกับสุภาพสตรีหลากหลายประเด็น ทั้งด้านดีและด้านลบ ส่วนในวงการพระเครื่องนั้น นอกจากพระเครื่องที่สร้างและอธิษฐานจิตโดยแม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม ซึ่งได้รับความนิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแล้ว ยังมีพระเครื
พระแม่ย่า เป็นรูปสลักหินชนวน สูงประมาณ ๑ เมตรเศษ ประทับยืน ทรงพระภูษา แต่ไม่ได้ทรงฉลองพระองค์ ทรงถนิมพิมพาภรณ์แบบนางกษัตริย์ ประวัติและที่มาอันแน่นอนของแม่ย่านั้น ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอนว่าเป็นใคร ผู้รู้บางท่านสันนิษฐานว่า อาจจะเป็นเทวรูปพระอุมาในยุคขอมเรืองอำนาจก่อนกรุงสุโขทัย
บางท่านก็ว่าน่าจะเป็น "พระนางเสือง" พระมารดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ส่วนเหตุที่เรียกว่า "แม่ย่า" นั้น เนื่องจากชาวเมืองสุโขทัยเชื่อกันว่า พระแม่ย่านี้คือพระนางเสือง พระมารดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ชาวเมืองเคารพสักการะ และถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ใครบนบานศาลกล่าวสิ่งใดมักจะได้สมปรารถนา จึงมีผู้ไปแก้บนที่ศาลเป็นประจำ
เดิมนั้นเทวรูปแม่ย่าประดิษฐานอยู่ ณ ถ้ำแม่ย่า ต.นางเชิงคีรี อ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย ห่างจากเมืองเก่าสุโขทัย ประมาณ ๗ กิโลเมตร ปัจจุบันองค์พระแม่ย่าถูกอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ ศาลพระแม่ย่า ณ บริเวณ ต.ธานี จ.สุโขทัย ทั้งนี้ ในราว พ.ศ.๒๔๕๗ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพยายามค้นหาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีในเขตเมืองเก่าสุโขทัย
เนื่องจากบรรยากาศทางด้านการศึกษาความเป็นมาของสยามประเทศในยุคนั้น ดำเนินไปอย่างคึกคัก เช่น มีการตั้ง "สมาคมสืบสวนของบุราณแห่งสยามประเทศ" ซึ่งต่อมาเรียกว่า "โบราณคดีสโมสร" ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การเสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือ และพระราชนิพนธ์หนังสือเรื่อง "เที่ยวเมืองพระร่วง" โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสยามมกุฎราชกุมาร และเป็นอุปนายกโบราณคดีสโมสรด้วย
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพยายามสืบสวนเรื่องราวของอาณาจักรสุโขทัย โดยเปรียบเทียบกับศิลาจารึกหลักต่างๆ โดยเฉพาะหลักที่ ๑ ซึ่งมีข้อความกล่าวถึงเทพารักษ์ประจำเมือง ซึ่งสถิตปกปักรักษาอยู่ ณ เขาหลวง ปรากฏชื่อในศิลาจารึกว่า "พระขพุงผี" ดังปรากฏความว่า
"เบื้องหัวนุอนเมืองสุโขทัยทนี้...มีพระขพุงผี เทพดาในเขาอันนั้น เป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยนี้แล้ ไหว้ดีพลีถูก เมืองนี้เที่ยง เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ดีพลีบ่ถูก ผีในเขาอั้นบ่คุ้มบ่เกรง..เมืองนี้หาย"
และในคราวที่ค้นหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเมืองนี้ ก็ได้พบเทวรูปเทวสตรีสลักจากหินชนวน อยู่ในลักษณะการยืนสูงราวหนึ่งเมตร ลักษณะคล้ายประติมากรรมพระแม่อุมาเทวี ทรงภูษานุ่งยาวเป็นริ้ว มิได้ทรงพัสตราภรณ์ ซึ่งสถานที่พบคือ บริเวณถ้ำพระแม่ย่า เขตตำบลนางเชิงคีรี เมืองสุโขทัย
พ.ศ.๒๔๕๘ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้โปรดให้เจ้าเมืองสุโขทัย พระยารามราชภักดี (ใหญ่ ศรลัมภ์) อัญเชิญรูปสลักนั้นมาประดิษฐานที่เค้าสนามหลวง หรือศาลากลาง
ต่อมาชาวสุโขทัยเชื่อว่า เทวสตรีดังกล่าวก็คือ "นางเสือง" ซึ่งเป็นพระราชมารดาของพ่อขุนบานเมือง และพ่อขุนรามคำแหง ทรงเป็นเอกอัครมเหสีของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ผู้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัย และทรงเป็นพระขนิษฐาของพ่อขุนผาเมืองแห่งราชวงศ์ศรีนาวนำถม ผู้ช่วยกันกับพระสหายกอบกู้บ้านเมืองให้พ้นจากอำนาจของขอมอีกด้วย ชาวสุโขทัยจึงอัญเชิญมาประดิษฐานเป็นมิ่งมงคลแก่เมืองและเรียกกันสืบต่อมาว่า "พระแม่ย่า" อันหมายถึงสตรีที่มีฐานะสูงสุด เป็นทั้งพระมารดา และพระอัยยิกาแห่งเมืองสุโขทัย
อย่างไรก็ตาม ในช่วง พ.ศ.๒๔๕๖ มีผู้พบพระเครื่องเนื้อดินผสมผงเกสร มีพุทธลักษณะงดงามคล้ายสตรีประทับนั่งสมาธิ (พระถัน หรือนม ใหญ่กว่าพระเครื่องปกติ) มีสันฐานพิมพ์เป็นสามเหลี่ยม ดูงดงาม บริเวณเขาพระแม่ย่า และยังพบอีกใน พ.ศ.๒๔๙๕ ก็ได้พบพระพิมพ์ดังกล่าวอีกที่วัดมหาธาตุ ประชาชนจึงเรียกกันติดปากสืบต่อมาว่า "พระแม่ย่า" ซึ่งแบ่งเป็นพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก
กิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่ย่าสุโขทัย เลื่องลือไปทั่ว ผู้ใดทุกข์ร้อนเจ็บท้องข้องใจ ก็พากันไปบนบานศาลกล่าว ก็จะประสบความสำเร็จ ดุจดั่งมารดาผู้คอยปกป้องคุ้มครองดูแลบุตร อันเป็นที่รัก โดยมิเคยรั้งรอ
ขณะเดียวกัน มีการจัดสร้างพระเครื่องพระแม่ย่าออกมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๐ จนถึงปัจจุบันหลายสิบรุ่น ส่วนการจัดงานประจำปีพระแม่ย่านั้น จ.สุโขทัย จะจัดในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี
พระนางปรัชญาปารมิตา
พระนารายณ์ทรงปืน บางครั้งมีผู้เรียกว่า "พระตรีกาย" เป็นพระพิมพ์ที่มีรูปลักษณ์เป็น "พระแผง" องค์ค่อนข้างเขื่อง ปรากฏทั้งเนื้อดินและเนื้อชิน และมีขึ้นมากมายหลายกรุ ลักษณะองค์พระจะมี "พระปางนาคปรก" เป็นประธาน ประกอบด้วย พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และพระนางปรัชญาปารมิตา ซึ่งเป็นองค์พระโพธิสัตว์ในคติพุทธศาสนา แบบมหายาน ซึ่งเผยแพร่เข้ามาพร้อมกับศิลปะเขมรแบบบายน
ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แห่งอังกอร์ธม ซึ่งทรงนับถือพุทธศาสนาแบบมหายาน ทั้งนี้ได้ ทรงโปรดให้สร้างขึ้นรวม ๒๓ องค์ และพระราชทานให้นำไปประดิษฐานไว้ทั่วปริมณฑลแห่งอำนาจของพระองค์ ซึ่งรวมทั้งเมืองละโว้ ที่รับอิทธิพลของเขมรบายนไว้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเรียกศิลปะเขมรในยุคดังกล่าว ในชื่อ "ศิลปะลพบุรี"
รูปเคารพที่อยู่เบื้องขวาขององค์ประธานนั้น มีลักษณะ ๔ กร ได้แก่ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งหมายถึง ผู้มองลงมาจากเบื้องบนด้วยความกรุณา หรือผู้เป็นใหญ่แห่งโลก ที่จุติจากพระธยานิพุทธเจ้า หรือพระอมิตพุทธ (ผู้มีแสงสว่างมิรู้จบ) ด้วยเหตุนี้ พระอวโลกิเตศวรจึงปรากฏรูปพระธยานิพุทธเจ้า ประทับนั่งสมาธิอยู่เหนือศิราภรณ์ (อาภรณ์ประดับเศียร) พระกรทั้ง ๔ ทรงถือ พวงประคำ คัมภีร์ ดอกบัว และหม้อน้ำมนต์ แต่ถ้าเป็นปาง ๒ กร จะทรงประทานพร และทรงถือดอกบัวสีชมพู เป็นเหตุให้ได้พระนามอีกอย่างหนึ่งว่า "ปัทมปาณี"
ส่วนรูปเคารพที่อยู่เบื้องซ้ายขององค์ประธานนั้น คือ พระนางปรัชญาปารมิตา (พระโพธิ์สัตว์ที่เกิดจากคำภีร์ปรัชญาปารมิตาสูตร) เทพีแห่งสติปัญญา และความเฉลียวฉลาด ในเทวาลัยที่มีอิทธิพลพุทธมหายาน มักสร้างรูปเคารพของพระนางไว้ในครรภคฤห์ และได้ชื่อว่าเป็นพุทธมารดาแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีวรกายสีขาว เศียรเดียว สองพระกร อาจพบในท่าแสดงธรรมเทศนา หรือถือบัวขาบสายเดียวทั้งสองพระหัตถ์ บางครั้งพบในปาง ๔ กรด้วย ถือกันว่า พระนางทรงเป็น "ศักติ" หรือ "ชายา" ของพระวัชรสัตว์ พระโพธิสัตว์ประจำองค์พระอาทิพุทธเจ้า
อ. ราม วัชรประดิษฐ์