พระเครื่อง

พ.อ.เฉลิมพร ขำเขียว 
แขวนพระธรรมของพุทธองค์ไว้ในหัวใจ ๒๔ ชม.

พ.อ.เฉลิมพร ขำเขียว แขวนพระธรรมของพุทธองค์ไว้ในหัวใจ ๒๔ ชม.

03 ก.ค. 2553

ภารกิจสร้างสันติสุขให้กลับคืนสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้คืองานที่ต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจ อย่างสุดกำลัง เพราะพื้นที่แห่งนี้มีปมปัญหาให้ผู้เกี่ยวข้องแก้ไขมากมายที่ก่อตัวเป็นเงื่อนไขตั้งแต่ยุคอดีตมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน ดังนั้นการแผ้วถางอุปสรรคเพื่อเดินไป

เฉกเช่น “พ.อ.เฉลิมพร ขำเขียว” ผบ.ทพ.๔๓ หรือ "ผู้การเขียว" นับเป็นทหารนายหนึ่งที่เจนจัดในสนามพื้นที่ชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะเมื่อครั้งปฏิบัติราชการในพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ในฐานะ ผบ.ฉก.๑๕  ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “พื้นที่สีแดง” ก็ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับ “จ่าเพียร”หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีต ผกก.สภ.บันนังสตา ร.ต.อ.ธรณิศ ศรีสุข หรือ “ผู้กองแคน” และ ร.ต.ต.กฤตติกุล บุญลือ หรือ "หมวดตี้" ชนิดเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

  แม้วันนี้ "ผู้การเขียว" จะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ อ.บันนังสตา อย่างอดีต เพราะต้องก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง ผบ.ทหารพราน ๔๓ รับผิดชอบจังหวัดปัตตานี แต่ไม่เคยละทิ้งความสัมพันธ์ที่ดีในพื้นที่ อ.บันนังสตา

 พ.อ.เฉลิมพร นับเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ซึ่งทุ่มเทแรงกายและแรงใจให้แก่ภารกิจในพื้นที่ชายแดนภาคใต้อย่างสุดกำลัง ชนิดที่ว่า ภรรยาล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ก็แทบจะไม่มีเวลาดูใจอย่างใกล้ชิด ประกอบกับช่วงเวลานั้น ลูกน้องถูกคนร้ายลอบสังหารและฆ่าตัดคออย่างโหดเหี้ยม ที่บ้านบือซู ต.กาโสด อ.บันนังสตา ในเช้าวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ดังนั้น เพื่อรักษาขวัญกำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ให้ระส่ำระสาย จึงไม่สามารถละทิ้งลูกน้องไปไหนได้เลย ในยามสถานการณ์กำลังอยู่ในห้วงหน้าสิ่วหน้าขวาน กระทั่งหญิงอันเป็นที่รักต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ก็เกือบจะไม่ได้เอ่ยคำร่ำลา

 เมื่อเวลาผ่านไป พ.อ.เฉลิมพรบอกตัวเองอย่างเข้มแข็งว่า ต้องยืนหยัดอยู่ต่อไปให้ได้ โดยยึดหลักคำพระที่ว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ทำให้เข้าใจ “สัจธรรม” ในชีวิตมากขึ้น เนื่องจากชีวิตยังมีหญิงอันเป็นที่รักอีกคนที่เป็นดั่ง “แก้วตาดวงใจ” นั่นคือลูกสาววัย ๔ ขวบ แสนน่ารัก พ.อ.เฉลิมพรบอกว่า "ทุกวันนี้ต้องใช้วิธีการโทรศัพท์พูดคุยตามประสาพ่อลูก หากมีเวลาว่างเพียงเล็กน้อยก็ต้องรีบกดเบอร์โทรหาลูกสาวที่อยู่กับแม่ของผมทันที เพราะเมื่อได้ยินเสียงเขา รู้สึกเป็นเหมือนน้ำเย็นที่ราดรดหัวใจให้พ่อเกิดความสดชื่นชุ่มฉ่ำ พร้อมที่จะลุยภารกิจคืนสันติสุขกลับสู่ปลายด้ามขวานชนิดไม่รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาทันที"

 สำหรับวิธีการลดความเครียดในการทำงานในพื้นที่ชายแดนภาคใต้นั้น ผู้การเขียวบอกว่า ทุกๆ วันสิ่งที่ขาดไม่ได้คือการไหว้พระและกราบขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งที่บ้านพัก ทุกครั้งที่ย่างก้าวไปปฏิบัติหน้าที่จะพึงระลึกอยู่เสมอว่าไปทำงาน คือการไปทำความดีและสิ่งที่ทำความดีคือการบรรเทาทุกข์ความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนที่อยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกัน ดังนั้น เมื่อคิดดีทำสิ่งที่ดีผลพวงเหล่านี้จะคอยแผ้วถางอุปสรรคและอันตรายไม่ให้มากล้ำกรายชีวิตเราได้

  เมื่อถามถึงเครื่องรางของขลังที่สร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน ผู้การเขียวกลับตอบสวนมาทันทีว่า ตลอดชีวิตรับราชการทหารไม่เคยนำพระมาคล้องคอ แต่จะแขวนไว้ในใจ เพราะเชื่อในคำสอน และยึดมั่นในแนวทางของพระพุทธเจ้าว่า ทำดีได้ดี และคนเราหากไม่ถึงที่ตายก็ไม่วายชีวาวอด และการที่ไม่ห้อยพระไม่ได้หมายถึงไม่นับถือศาสนา แต่จะใช้วิธีการเดินเข้าหาวัดทำบุญแทน โดยเฉพาะทำบุญกับวัดในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ที่แวะเวียนไปกราบนมัสการพระคุณเจ้ามาแล้วเกือบทุกวัด โดยได้รับของดีจากมือพระเกจิอาจารย์คนสำคัญมาก็ไม่น้อย และมีพระเครื่อง พระบูชาดีๆ เหมือนกับคนอื่นทั่วไป

 ทั้งนี้ ผู้การเขียวพูดไว้อย่างน่าคิดว่า "หลวงพ่อทวดรุ่นสำคัญๆ ผมก็มี แต่จะนิมนต์ไว้ในห้องพระที่บ้านและที่ทำงาน โดยจะกราบกรานเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตทุกวันก่อนจะไปปฏิบัติหน้าที่ โดยเชื่อว่าชีวิตมีธรรมนำหน้าแล้วแขวนคำสอนของพระพุทธองค์ไว้ในหัวใจ ไม่ว่าจะไปที่ไหนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคอยคุ้มครองดุจเงาตามตัว ยกเว้นชีวิตถึงเวลาดับสูญ คงไม่มีสิ่งใดมายับยั้งได้"

ประสบการณ์ปะทะเดือด
 สำหรับเหตุการณ์ที่ผู้การเขียวบอกว่าไม่เคยลืมเลย คือเมื่อครั้งผนึกกำลังกับ “จ่าเพียร” ออกปฏิ
บัติการเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๑ โดยได้สนธิกำลังพลเรือน ตำรวจ ทหาร เข้าปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายในพื้นที่ หมู่ ๓ บ้านบางลาง ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา โดยขณะเข้าปิดล้อมตรวจค้น กลุ่มกองกำลังติดอาวุธได้ใช้อาวุธสงครามระดมยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่จึงเกิดการปะทะกันนานหลายชั่วโมง

 หลังจากการปะทะยุติลง พบว่าฝ่ายกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายตรงข้ามเสียชีวิต ๖ ราย โดยหนึ่งในจำนวนนั้น คือ “กอเซ็ง อภิบาลแบ” เป็นน้องชายของ “มะแอ อภิบาลแบ” หัวหน้ากลุ่มคอมมานโดที่เคลื่อนไหวลอบก่อเหตุร้ายและซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ อ.บันนังสตา และ อ.กรงปินัง จ.ยะลา นั่นเอง นอกจากนี้ยังยึดอาวุธสงครามได้อีกจำนวนมาก 

 ส่วนอีกครั้งหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ ได้ร่วมกับ "จ่าเพียร" ปฏิบัติการปะทะเดือดสยบแนวร่วมกลุ่ม “นายมะซอบี ยะโก๊ะ” แกนนำในระดับสั่งการพร้อมพวกรวม ๔ ศพ และจับกุมผู้ก่อความไม่สงบได้อีก ๕ คน พร้อมยึดอาวุธได้จำนวนมาก โดยนายมะซอบีเป็นหนึ่งในทีมคนร้ายที่พัวพันคดียิง ร.ต.อ.ธรณิศ ศรีสุข หรือ “ผู้กองแคน” เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๐ รวมถึงเหตุการณ์ซุ่มยิง ร.ต.ต.กฤตติกุล บุญลือ หรือ "หมวดตี้" เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๒๑ แถมเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการก่อเหตุสะเทือนขวัญประชาชนทั้งฆ่า เผา ตอกตะปูบนร่างกายเหยื่อ รวมทั้งลอบยิงชาวบ้านและเจ้าหน้าที่รัฐหลายครั้ง

 "ประมาทเมื่อไรชีวิตก็ดับเมือนั้น เพราะทุกวินาทีที่เสียงปืนดังสนั่นอยู่เบื้องหน้าเรา ต้องเอาชีวิตให้รอด อีกทั้งภารกิจส่วนใหญ่ล้วนได้ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนดีมีฝีมืออย่างจ่าเพียร และเจ้าหน้าที่ท่านอื่นในการขจัดคนร้ายที่ก่อความรุนแรงสร้างความสูญเสียให้แก่ประชาชนนับครั้งไม่ถ้วน” พ.อ.เฉลิมพรกล่าวทิ้งท้าย

 "ชีวิตมีธรรมนำหน้าแล้วแขวนคำสอนของพระพุทธองค์ไว้ในหัวใจ ไม่ว่าจะไปที่ไหนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคอยคุ้มครองดุจเงาตามตัว ยกเว้นชีวิตถึงเวลาดับสูญ คงไม่มีสิ่งใดมายับยั้งได้"

เรื่อง- ภาพ... "สุพิชฌาย์ รัตนะ  สำนักข่าวเนชั่น"