พระเครื่อง

พึ่งตนพึ่งธรรม - หมอทิพย์ ศรีไพศาล
"อยากให้คนได้ชิมธรรมะ"

พึ่งตนพึ่งธรรม - หมอทิพย์ ศรีไพศาล "อยากให้คนได้ชิมธรรมะ"

26 มิ.ย. 2553

ในวันที่คุณหมอลงตรวจคนไข้เด็กมะเร็งเม็ดเลือดขาว เราบอกช่างภาพไปว่า ขอรูปหมอกับเด็กๆ ที่มีผม เพราะอยากได้ภาพที่แตกต่างจากเด็กที่เคยออกรายการทีวีไปแล้ว

  คุณหมอทิพย์ หรือ ศ.เกียรติคุณพลโทหญิงทิพย์ ศรีไพศาล ประธานมูลนิธิกุมาร โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ส่งเสียงตามสายมาบอกว่า “ไม่มีหรอกค่ะ เพราะเด็กส่วนใหญ่รับเคมีบำบัด ผมจึงร่วง”

 แม้จะผ่านช่วงวัยเกษียณมานาน ๘ ปี คุณหมอวัย ๖๘ ปียังคงทำงานตามปกติ เป็นทั้งอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์ทหาร แพทย์ประจำบ้าน ออกตรวจคนไข้เด็กในบางวัน รวมถึงทำงานหลายมูลนิธิ นอกจากนี้ยังแบ่งเวลาปฏิบัติธรรม และวาดภาพ

 คุณหมอทิพย์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งในเด็ก และโลหิตวิทยา เป็นผู้บุกเบิกและก่อตั้งหน่วยโลหิตวิทยา กองกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และทำงานที่นั่นจนเกษียณอายุ เคยเป็นรองผู้อำนวยการวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า

 “ตอนเกษียณใหม่ๆ อยู่บ้านไม่กี่วันก็รู้สึกเบื่อ ชีวิตยังทำงานให้คนอื่นได้อีกเยอะ งานทุกวันนี้ที่สำเร็จเพราะหมอเอาใจใส่ ต้องเอาใจคนไข้มาใส่ใจเรา ถ้าเราสามารถทำให้ลูกเขาหายป่วยได้ ก็เป็นความภูมิใจ ชีวิตที่ผ่านมาใช้คุ้มค่าแล้ว มีงานกิจกรรมหลายมูลนิธิเกี่ยวกับคนไข้ที่ต้องช่วยทำ”

 นี่เป็นแค่บางเสี้ยวของชีวิตหมอทิพย์ เธอได้ชื่อว่าเป็นหมอที่อุทิศเพื่อการสอนอย่างเต็มที่ เพราะจริงจังกับการวินิจฉัยคนไข้ สิ่งสำคัญที่เธอบอกคือ กับคนไข้ผิดไม่ได้ นั่นหมายถึงชีวิต จึงไม่แปลกที่เธอได้รับรางวัลมากมาย อาทิ รางวัลอาจารย์พิเศษดีเด่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ (ปี ๒๕๕๐)

 หากจะเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับคนไข้ที่หมอทิพย์ช่วยเหลือคนไข้ ทั้งการรักษา ค่ารถ ค่ารักษาพยาบาลและการหาทุนเพื่อช่วยเหลือคนไข้ในการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดให้เด็กที่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งส่วนใหญ่ฐานะยากจน

 ล่าสุดคุณหมอเป็นประธานโครงการอุ่นรักไว้โอบโลก จัดแสดงภาพศิลปินระดับชาติ ๓๓ คนในวันที่ ๑-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ณ หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อหารายได้ช่วยเหลือเด็ก เพราะตัวคุณหมอเองก็ชอบวาดรูป

 ก่อนคุยเรื่องคนไข้ คุณหมอบอกว่า การวาดรูปทำให้ได้อยู่กับตัวเอง ตอนนี้ไปเรียนทุกวันอาทิตย์ สัปดาห์ละหนึ่งครั้งกับอาจารย์ผ่อง เซ่งกิ่ง วาดรูปดอกไม้ในสวนบ้าน คุณจริยา เจียมวิจิตร กัลยาณมิตรอีกคน

 ส่วนเรื่องคนไข้ คุณหมอเล่าถึงพ่อแม่คู่หนึ่งที่หิ้วลูกมาที่โรงพยาบาล และพบว่าเป็นทั้งมะเร็งเม็ดเลือดขาว หัดและดาวน์ซินโดรม แต่เป็นดาวน์ที่น่ารัก ก็รักษาช่วงแรกให้คงสภาพดีแต่ไม่ทุ่มเท พ่อแม่พยายามต่อสู้ทุกอย่างเพื่อลูก มานอนโรงพยาบาลช่วงหนึ่งแล้วกลับบ้าน และอยากพาลูกกลับมาอีก

 “พ่อแม่คู่นี้ฉลาดมากรู้ว่าหมอมาทำงานวันเสาร์อาทิตย์ และรู้ว่าห้องทำงานอยู่ตรงไหน บุกมาถึงตัวเลย หมอก็เลยมีเมตตาโดยไม่รู้ตัว รายนี้ตั้งใจจะรักษาแบบไม่เต็มที่กลายเป็นเต็มที่ เด็กคนนี้อยู่เกือบสองปี แล้วเสียชีวิตจากการติดเชื้อ” คุณหมอเล่าถึงเด็กที่ป่วยเป็นมะเร็งและมีอาการดาวน์ซินโดรมด้วย ซึ่งยากจะรักษาดูแล

 หากย้อนไปถึงความผูกพันกับคนไข้เด็ก คุณหมอบอกว่า ตอนแรกๆ ที่เป็นหมอจะชอบทำงานกับคนไข้เด็กมากกว่าผู้ใหญ่ รู้สึกมีความสุข เพราะเนื้อตัวเด็กๆ สัมผัสได้ง่าย

 แม้การรักษาโรคร้ายชนิดนี้ มีความหวังน้อยมากในการรักษาให้หาย คุณหมอจึงพยายามยื้อชีวิตช่วยเหลือเต็มที่ ถ้าไม่ไหวก็จะให้เป็นวาระสุดท้ายที่สงบของคนไข้

 “เด็กที่เป็นโรคนี้วัยกำลังน่ารัก เรารักษาด้วยเคมีบำบัดให้โรคสงบเหมือนเป็นน้ำทิพย์ชะโลมใจพ่อแม่ คนไข้เด็กโรคนี้น่าสงสาร เพราะต้องให้ยาผ่านการเจาะเส้นเลือด การวินิจฉัยเซลล์สำคัญมากในการเลือกยาให้ถูก ถ้าเลือกยาผิดก็ไม่หาย ซึ่งตรงนี้ต้องใส่ใจมาก หมอจะผิดไม่ได้”

 จึงไม่แปลกที่นักศึกษาแพทย์ทหารเกือบทุกรุ่นกลัวคุณหมอทิพย์มาก เพราะเธอจะใส่ใจการรักษาอย่างเต็มที่ เวลานักศึกษาแพทย์ให้ยาคนไข้ อาจารย์แพทย์คนนี้จึงต้องยืนคุม

 “ถ้าเป็นคนไข้ระยะสุดท้ายก็ต้องทำใจ หากพ่อแม่เด็กที่มาจากต่างจังหวัด คิดจะขายสวนมารักษาลูกก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เราก็แนะนำเพื่อให้เป็นวาระสุดท้ายที่สงบ” หมอทิพย์เล่าถึงพ่อแม่คนไข้ ซึ่งส่วนใหญ่ฐานะยากจน และในช่วงแรกยังไม่มีกองทุนช่วยเหลือคนไข้ บ่อยครั้งที่คุณหมอใช้เงินส่วนตัวเพื่อเป็นค่ารถพ่อแม่คนไข้นำเด็กกลับบ้าน

 หมอทิพย์บอกว่า สำหรับคนไข้ที่ไม่มีเงิน เราก็พยายามให้คนที่มีเงินมากกว่าช่วยบริจาคยา เพราะยาโรคมะเร็งแพงมากและเคยถูกขโมย

 “ตอนหมอเอายามาไว้หน้าเคาน์เตอร์ไม่ถึง 15 นาทีก็ถูกขโมยไปขาย หมอก็เลยเขียนกำกับไว้ว่า “ผู้ใดที่นำยานี้ไป จะต้องใช้ยานี้ในอนาคต” ปรากฏว่า ยาไม่หายแล้ว เพราะเมื่อก่อนแผนกเด็กอยู่ตึกสูติกรรม สภาพคล้ายสลัม ตอนนั้นโรงพยาบาลยังไม่สนับสนุนโรคเกี่ยวกับเด็ก”

 ส่วนในเรื่องปฏิบัติธรรม คุณหมอบอกว่า เห็นพี่สาวและน้องสาวเข้าคอร์สกับ คุณแม่สิริ กรินชัย แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เราก็คิดว่าน่าจะมีอะไรดี

 ปี 2542 คุณหมอจึงไปปฏิบัติธรรมด้วยความศรัทธาคำสอนพระพุทธเจ้า ปฏิบัติกับคุณแม่สิริ คุณหมอเล่าว่า ตอนกราบสามครั้ง คุณแม่บอกว่าให้กราบพระพุทธองค์ เพราะท่านแค่นำคำสอนมาเผยแพร่

 หลังจากปฏิบัติธรรม คุณหมอเห็นว่ามีประโยชน์มาก จึงอยากให้นักศึกษาแพทย์ทหารได้ปฏิบัติเพื่อเป็นพื้นฐานในการเป็นหมอที่มีจิตเมตตาคนไข้

 “ตอนนั้นคุณแม่สิริจัดคอร์สให้ แม้จะไม่มีงบประมาณ น้องสาวที่เคยปฏิบัติธรรมบริจาคให้ ๓ หมื่นบาท และคนอื่นๆ มาช่วยกันลงขัน ทั้งๆ ที่ไม่มีงบหลวง จากวันนั้นเป็นต้นมาก็จัดคอร์สปฏิบัติธรรมให้นักศึกษาแพทย์ทหาร ปีนี้เป็นปีที่ ๑๒ แล้ว”

 คุณหมอบอกว่า เพราะเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง มีความดุน้อยลง ลดความใจร้อน การปฏิบัติธรรมทำให้สงบลง ที่เคยคิดจะเอาผิดหรือเอาโทษใครจะผ่อนลง

 “ทำให้แก้ปัญหาได้ แต่ใช่ว่าจะทันอารมณ์ในทุกครั้ง ใจนุ่มขึ้น ไม่กระด้างเหมือนเดิม เมื่อก่อนลูกน้องมีปัญหาอะไรไม่เคยถาม ก็ใส่ใจมากมาย แต่สำหรับคนไข้เต็มที่อยู่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องความเป็นความตายจะมุ่งมั่นมาก”

 ปกติแล้วคุณหมอไม่ได้ปฏิบัติเข้มแต่รู้ว่าธรรมะเป็นของดี จึงอยากให้คนอื่นได้ชิม โดยส่วนตัวจะปฏิบัติด้วยการกำหนดอิริยาบถ แต่ก็ไม่ค่อยทันอารมณ์ “มีคนบอกว่าใจดีมากขึ้น เวลาสอนหนังสือจะให้ลูกศิษย์ประเมินอาจารย์ได้เต็มที่ ลูกศิษย์เขียนว่า อาจารย์ทิพย์เป็นยักษ์ตนหนึ่ง เราต้องเปิดใจรับ มีคนบอกว่า วิธีทำงานของเราไม่เหมือนคนไทย สามารถวิจารณ์ได้ เราจะไม่เอาเรื่องใคร“

 ความเป็นแพทย์ที่รับผิดชอบชีวิตคนไข้ คุณหมอทิพย์มักจะบอกว่า การวินิจฉัยผิดไม่ได้ จึงต้องเข้มกับนักศึกษาแพทย์

 การปฏิบัติธรรมในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา แม้หมอทิพย์จะบอกว่า ไม่ได้เข้มมาก แต่ก็นำมาใช้กับชีวิตได้ เมื่อ ๔ ปีที่แล้วช่วงที่หมอทิพย์ป่วยเป็นมะเร็ง เธอก็ไม่ได้หวั่นไหว กลัวตาย ที่สำคัญคือ ลูกศิษย์และแพทย์คอยดูรักษาอย่างใกล้ชิด

 “แรกๆ สงสัยว่าเป็นเนื้องอก แต่พอกินยาแก้อักเสบก็เหมือนเดิม ในที่สุดต้องส่องกล้องเอาก้อนเนื้อไปตรวจ ปรากฏว่าเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะแรกก็ผ่าตัดออกไป”

 แม้มะเร็งกระเพาะปัสสาวะจะรักษาหายแล้ว ตอนนั้นคุณหมอตรวจเมมโมแกรมที่เต้านมอีก ทั้งๆ ที่ไม่มีอาการและคลำไม่เจอก้อนเนื้อ จนหมอเอกซเรย์ตรวจพบก้อนเนื้อเล็กๆ ประมาณครึ่งเซนติเมตร  ต้องเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ

 เธอเล่าว่า ตอนนั้นรุ่นพี่หมอที่เป็นกัลยาณมิตรตามเข้าไปเฝ้าในห้อง เพื่อจะเอาชิ้นเนื้อไปให้ลูกศิษย์วินิจฉัยด้วยตัวเอง เพราะเขากลัวว่าจะมีคนลืมไปทิ้งที่ไหน เราประทับใจมาก

 “พอหมอดูชิ้นเนื้อครึ่งชั่วโมง ก็บอกว่าเป็นมะเร็ง ต้องเอาออกทั้งเต้านม ตอนนั้นแผลผ่าตัดใหญ่มาก เพราะต้องเอาต่อมน้ำเหลืองออกด้วย ทุกคนที่เป็นมะเร็ง ถ้าผ่าตัดตรงนี้จะเจ็บปวดมาก แต่หมอไม่เจ็บมาก”

 เธอเล่าบรรยากาศเพื่อนฝูงที่มาเยี่ยมคนไข้ว่า ตอนนั้นคนที่รู้ว่าเราเป็นมะเร็งมาเยี่ยมจะเศร้ามาก แต่โชคดีที่เราเป็นระยะแรก เราคิดว่าหายและไม่กลัว “ตอนนอนป่วยเหมือนรวมรุ่นเพื่อนตั้งแต่ประถม มัธยม มาเยี่ยมเรา นึกว่าเราจะจากไป แต่เรามีความสุขดี”

 หากถามว่า ถ้ามะเร็งกลับมาอีก คุณหมอจะทำอย่างไร เธอบอกว่า ยอมรับและดูแลมัน

 หมายเหตุ : ผู้ใดอยากร่วมบริจาคเพื่อชีวิตเด็กที่ป่วยด้วยโรคเลือดและมะเร็งเม็ดเลือดขาว เพื่อให้โอกาสแก่เด็กๆ ได้มีชีวิตต่อไป สอบถามได้ที่มูลนิธิกุมาร โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เบอร์ติดต่อโทร. ๐-๒๓๕๔-๗๗๙๙ และ ๐-๒๓๕๔-๗๘๒๐

เรื่อง : เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ
ภาพ : กุลพันธ์ ศิริพิมพ์อัมพร