หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง กับ การสร้างพระสมเด็จ

นอกเหนือจากกรุงศรีอยุธยา หรือ เมืองอยุธยา นั้นครูบาอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านไสยเวทย์และเข้มขลังขมังเวทย์ในพื้นที่ภาคกลางยังมีอีกจำนวนหลายรูปด้วยกัน

และมีพระภิกษุรูปหนึ่ง ที่ได้รับความศรัทธาจากคนพื้นที่และทั่วไทย นั่นก็คือหลวงพ่อแพแห่งวัดพิกุลทอง

สำหรับในการสร้างวัตถุมงคลของ หลวงพ่อแพ นั้นท่านได้จัดสร้างวัตถุมงคลและเครื่องรางไว้จำนวนมาก แต่ที่เห็นจะเด็ดที่สุดในบรรดาวัตถุมงคลของท่าน นั้นก็คือ พระสมเด็จเนื่องด้วยส่วนตัวของ หลวงพ่อแพ ท่านมีความเคารพนับถือในสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี อย่างมาก ท่านจึงได้ยึดถือ การปฏิบัติในการสร้างพระเครื่องในรูปแบบ พระสมเด็จ ไว้จำนวนไม่ต่ำกว่า 300 รุ่น และพระสมเด็จที่ท่านสร้างไว้ที่เด่นที่สุดนั่นก็คือสมเด็จแพพันจัดสร้างเมื่อปีพ.ศ.2510

คำถามต่อมา คือ ทำไม หลววพ่อแพ ถึงนิยมสร้างพระเครื่อง เป็น พระสมเด็จ แบบพระสมเด็จ วัดระฆังฯ สาเหตุ ที่มาที่ไปนั้น ก็ต้องไล่ย้อนหาดู ในประวัติและตำนานของ หลวงพ่อแพ ซึ่งเมีเรื่องราวเล่าขานว่า ตัว หลวงพ่อแพ นั้น ท่านมีความเคารพ และยึดถือปฏิปทาของสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี แห่ง วัดระฆัง ทุก ๆอย่าง ดำเนินตาม สมเด็จโต ทั้งสิ้น ถึงขนาด มีเรื่องเล่าไว้ว่า หลวงพ่อแพ อธิษฐานจิตว่า หากมีบุญของให้ได้สมเด็จวัดระฆังมาอยู่กับตัว จากนั้นท่านฝันว่าเห็นแสงสีขาว พุ่งไปทางใต้ จนได้มีโยมคนหนึ่ง อยู่ทางกรุงเทพฯ เลื่อมใส หลวงพ่อแพ และมอบพระสมเด็จให้ท่านไว้บูชา  จนมีเหตุในคราวหนึ่งรับกิจนิมนต์ไปต่างที่แล้วถูกขโมยย่าม พระสมเด็จหายไป แม้จะจับขโมยได้ แต่พระสมเด็จถูกนำไปขายเสีย

หลวงพ่อแพ มีความเสียดายพระสมเด็จองค์นั้นมา จนไม่สามารถทำอะไรได้ จนวันหนึ่ง ท่านได้รับนิมิตร ว่าให้ระวังจะเป็นบ้า แล้วก็เห็นเป็นภาพสมเด็จโต มาสั่งสอนให้ละให้วาง เมื่อออกจากนิมตร ท่านจึงปล่อยวาง พระสมเด็จองค์นั้น และคิดเห็นว่า ตัวท่านเองก็สามารถที่จะสร้างพระสมเด้จไว้บูชาได้ จึงได้เริ่มต้นการสร้างพระสมเด้จนับแต่นั้นมา และกลายมาเป็นหนึ่งในวัตถุมงคลเด่นของท่าน ที่ผุ้นิยมสะสมพระเครื่องให้ความนิยม 

หลวงพ่อแพ เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2448 ณ บ้านสวนกล้วย ตำบลพิกุลทอง อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี เป็นบุตรของนายเทียนและนางหน่าย ใจมั่นคง เมื่ออายุได้ 8 เดือน มารดาถึงแก่กรรม นายบุญและนางเพียร ขำวิบูลย์ จึงรับ หลวงพ่อแพ ไปเป็นบุตรบุญธรรม เมื่ออายุได้ 11 ปี หลวงพ่อแพ มาศึกษาอักษรขอมกับพระอาจารย์สมที่วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ

จนอายุ 16 ปี หลวงพ่อแพ จึงกลับสิงห์บุรีเพื่อบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดพิกุลทอง แล้วกลับมาศึกษาพระปริยัติธรรมต่อที่วัดชนะสงคราม จนสอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค แต่ตาอักเสบเนื่องจากหักโหมดูหนังสือ หลวงพ่อแพ จึงหันไปศึกษากรรมฐานที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร

หลวงพ่อแพ อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2469 โดยมีพระมงคลทิพมุนี (มุ้ย ปณฑิโต) เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสิทธิเดช วัดชนะสงคราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และเจ้าอธิการอ่อน วัดจำปาทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "เขมงฺกโร" แล้วกลับไปจำพรรษาที่วัดชนะสงคราม

พ.ศ. 2474 หลวงพ่อแพ รับนิมนต์จากชาวบ้านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดพิกุลทองแทนเจ้าอาวาสรูปเดิมที่ลาสิกขา ระหว่างดำรงตำแหน่ง หลวงพ่อแพ มีชื่อเสียงจากการสร้างพระเครื่องหลายรุ่น และได้พัฒนาวัดและบำเพ็ญสาธารณประโยชน์หลายประการ เช่น สร้างโรงพยาบาล สถานีตำรวจ สถานีอนามัย โรงเรียน สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นต้น

หลวงพ่อแพ มรณภาพเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 สิริอายุได้ 94 ปี 40 วัน