พระเครื่อง

"หมอบี" ทักน่ากลัวจริงหรือ ไขความจริงเรื่องงมงายตามไสตล์ "ทูตสื่อวิญญาณ"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

สัมภาษณ์พิเศษ เจาะลึกเรื่องราวของ "หมอบี" กับภารกิจ "ทูตสื่อวิญญาณ" การดึงคนจากความงมงายในสิ่งลี้ลับ สู่ความ "งมงายสไตล์หมอบี" ดึงผู้ที่อยู่ในความมืดดำ สู่เส้นทางสว่าง ด้วยสติและปัญญา

หากจะเอ่ยชื่อผู้ที่อยู่ในวงการเรื่องราวลี้ลับ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งประเทศ อันดับต้นคงหนีไม่พ้นชื่อของ นายเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล หรือ "หมอบี" ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงและประสบการณ์การปราบผี หรือสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นมาแล้วทั่วโลก 

วันนี้คมชัดลึกออนไลน์ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ "หมอบี" กันแบบเปิดอกคุยถึงที่มาที่ไปของการเป็น "ทูตสื่อวิญญาณ" ประสบการณ์ในการช่วยเหลือผู้ที่ต้องการคำตอบในเรื่องราวความลี้ลับ รวมไปถึงการเข้ามาช่วยเหลือ พระราชวิสุทธิประชานาถ หรือ "หลวงพ่ออลงกต" เจ้าอาวาส "วัดพระบาทน้ำพุ" และความเชื่อความ "งมงายไสตล์หมอบี" ไปพร้อมๆกัน

เสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล หมอบีทูตสื่อวิญญาณ

 

ที่มาของคำว่า "ทูตสื่อวิญญาณ" คืออะไร ?

หมอบี : จุดเริ่มต้นของการเป็น "ทูตสื่อวิญญาณ" มาจากพี่คนหนึ่งตั้งชื่อให้ ซึ่งไม่ได้มีอะไรที่พิสดาร แต่จุดเริ่มต้นของการเข้ามาเป็นที่รู้จักในนามของ "ทูตสื่อวิญญาณ" มาจากการที่อยู่กับ "หลวงพ่ออลงกต" มาก่อน ผ่านมาสักระยะหนึ่งมีพี่ท่านหนึ่ง ในวงการที่ทำเรื่องเกี่ยวกับผี วิญญาณ มาขอถ่ายทำรายการที่ "วัดพระบาทน้ำพุ" หลังจากถ่ายทำรายการเสร็จในครั้งนั้น ก็ได้มีการจัดงานที่มูลนิธิบ้านอารีย์ จึงได้เชิญพี่ท่านดังกล่าวมาร่วมงาน และเพื่อนที่อยู่ในงานนั้นได้บอกกับพี่ท่านนั้นว่า คน ๆ นี้มีความสามารถในการสื่อสารกับวิญญาณได้ พี่เขาจึงลองของ โดยการชวนไปถ่ายรายการไลฟ์สดเกี่ยวกับวิญญาณ ที่จังหวัดนครราชสีมาก็เลยไปกับเขา ตั้งแต่นั้นก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในมุมมืดๆก่อน

แต่เดิม "หมอบี" มีชื่อเสียงมาอยู่แล้ว ?

หมอบี : ก็ไม่ถึงขนาดมีชื่อเสียงครับ แต่เป็นที่รู้จักของคนในวงนึงแล้วมีการบอกต่อๆกันไปประมาณนั้นมากกว่า

"หมอบี" มีชื่อในด้านอะไร ?

หมอบี : ก็ประมาณว่าถ้าใครมีปัญหา ในเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องลึกลับ ซึ่งบางทีเขาหาคำตอบไม่ได้เขาอยากให้ไปช่วยเหลือ หาทางออกไม่ได้เขาก็จะมาจ้างเรา

"หมอบี" ทำตรงนี้มานานหรือยัง ?

หมอบี : นานครับ จริง ๆ ถ้าเริ่มแต่แรกเลย ก็ตั้งแต่ประมาณมัธยมปลาย ราว ม. 5 - ม.6 อายุราว ๆ 17-18 ปี ในตอนนั้น จากนั้นก็ทำมานานจนเริ่มมีคนรู้จักบ้าง

"หมอบี" เห็นผีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?

หมอบี : เท่าที่รู้ คุณพ่อคุณแม่เล่าให้ฟังตั้งแต่สมัยเด็กเวลามีงานไหว้เจ้าต่งๆ ก็มักจะมาเล่าให้แม่ฟังว่าเห็น แต่ก็จำไม่ได้แม่ก็จะมาเล่าให้ฟังก็ตั้งแต่เด็ก ๆ

"หมอบี" เคยกลัวผีมั้ย?

หมอบี : ไม่กลัวครับ ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ทั้งที่ไม่มีของดีอะไรนะครับ แต่แค่ไม่กลัวเฉยๆ

"หมอบี" มีโอกาสได้ช่วยเหลือเคสเกี่ยวกับเรื่องราวลี้ลับมามากมาย สิ่งที่ได้จากการช่วยเหลือเคสคืออะไร ?

หมอบี : เห็นความปกติธรรมชาติของมนุษย์ ที่มีความทุกข์ในรูปแบบต่างๆ การพลัดพรากสูญเสียการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แต่บางทีใจมนุษย์ไม่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ก็มีการต่อต้านหรือพยายามจะทำอะไรบางอย่างที่ให้มันได้ดั่งใจ ตามที่ใจคิด ซึ่งบางทีมันไม่ใช่ ซึ่งมันก็เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง

สำหรับ "หมอบี" คิดว่าเคสที่มีโอกาสได้ไปช่วยเหลือ เคสแบบไหนที่รู้สึกว่าเหนื่อยมากที่สุด ?

หมอบี : เหนื่อยกับคนครับ เพราะทุกครั้งที่เขาขอให้ไปช่วยเหลือ เวลาผมช่วยผมก็จะช่วยอย่างเต็มที่ เท่าที่กำลังเราจะทำได้แต่เรา ไม่สามารถให้สูตรสำเร็จ หรือพิธีกรรมอะไรบางอย่าง ที่มันเปรี้ยงแล้วจบเลยใช่เลย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ มันคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคคล ซึ่งบางครั้งเขาไม่ฟัง พอไม่ฟังแล้วยังจะทำสิ่ง ๆ นั้นอย่างนั้นอยู่ แต่ต้องการให้ผมเดินเข้าไปแล้วเสกให้หายเลย ซึ่งผมทำให้ไม่ได้ แรกๆก็มีความพยายามที่จะช่วยอย่างถึงที่สุด แต่หลัง ๆ ก็รู้สึกว่าช่างมัน ถ้าเขาไม่ก็คือไม่

เคสที่ไปช่วยไหนที่ "หมอบี" ประทับใจที่สุด?

หมอบี : คือจริง ๆ แต่ละเคสมันก็มีความประทับใจที่แตกต่างกันไป ซึ่งจริง ๆ ผมก็อาจจะจำไม่ได้ แต่มีอยู่เคสนึงที่เมื่อพูดถึง หรือมีคนถามถึงแล้วมักจะนึกถึงอยู่บ่อย ๆ ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นเคสที่ประทับใจที่สุดได้หรือไม่ แต่มันจำได้ ซึ่งก็คือเคสที่ได้มีโอกาสไปในบ้านหลังหนึ่ง ที่แม่ของเจ้าของเคสมีความเชื่อในลัทธิแปลก ๆ ลัทธิหนึ่งซึ่งบังเอิญว่าผมรู้จัก แล้วได้ไปคุยกับคุณแม่ของเจ้าของเคส โดยที่ทั้งเทปนั้นไม่มีอะไรเลย มีเพียงการพูดคุยกับคุณแม่เจ้าของเคสเท่านั้น และคิดว่าเคสนี้คงเป็นเคสที่น่าเบื่อน่าดูสำหรับคนที่กำลังชม ซึ่งหลังจากจบเคสแล้วก็คิดว่าคงไม่ได้อะไร และคิดว่าคงไม่เกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นเจ้าของเคสติดต่อกลับมาเพื่อขอบคุณ เขาได้แม่คนเดิมที่เป็นคนปกติกลับมาแล้ว ซึ่งคุณแม่คงได้ไปเห็นคอมเม้นต์ ที่ด่าแม่ของเจ้าของเคสเยอะไปหมด แล้วคงไปสะกิดใจของคนเป็นแม่ ก็เลยคิดได้ ตอนแรกผมคิดว่าเขาคงจะเกลียดเราด้วยซ้ำ แต่มันคงไปสะกิดต่อมอะไรของเขาสักอย่าง ทำให้คุณแม่ของเจ้าของเคสได้ไปลาออกจากลัทธินั้นทันที และเจ้าของเคสก็ได้คุณแม่คนปกติกลับมา ได้ครอบครัวกลับคืนมา ทำให้คนในครอบครัวเขารู้สึกแฮปปี้มาก ผมว่ามุมแบบนี้ อาจจะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้หลังจากเคสนั้น ผมรู้สึกว่า ไม่ได้ต้องการให้ใครมาเชื่อในเรื่องอะไรพวกนี้เพราะมันไม่ได้สำคัญเลย แต่ถ้ามันเปลี่ยนอะไรใครได้บ้างช่วยเหลือใครได้บ้าง มันก็น่าจะดี

ที่ผ่านมา "หมอบี" ช่วยเหลือเคส จนประสบความสำเร็จมาแล้วคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้เท่าไหร่ ?

หมอบี : เออ ผมก็ไม่เคยคิด แต่ว่ามันก็อาจจะเป็นกำลังใจเล็ก ๆ แล้วกัน ที่มัน รู้สึกว่าหลาย ๆคน บางทีก็คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราด้วย คนรอบข้างเราด้วย จากที่เคยเชื่ออะไรแปลก ๆ หรือว่ามีชีวิตที่แย่แล้วดีขึ้น ในสิ่งที่เขาทำเองนะ ผมไม่ได้ทำอะไร สิ่งที่เขาทำตัวเขาเอง เขาดีขึ้นเขามีทิศทางที่มันถูกต้องมากขึ้น มีสัมมาทิฏฐิมากขึ้น แค่นี้ผมก็ชื่นใจแล้วครับ

"หมอบี" ไม่ใช่หมอดู ไม่ใช่นักทำนาย ?

หมอบี : ผมไม่ใช่หมอดูครับ เพราะฉะนั้นผมจะไม่ได้มาแบบว่าคนนี้ต้องเป็นอย่างนั้นคนนั้นต้องมาเป็นอย่างนี้ ช่วงเวลานี้ต้องเป็นแบบนั้นไม่ใช่ เราแค่พูดตามหลักเหตุและปัจจัย ตามที่มาที่ไปและข้อมูลที่เราได้มาอย่างถูกต้อง แค่นั้นแหละครับ

ตัว "หมอบี" ไม่มีคาถา ไม่มีวิชา ไม่มีของดี แล้วในการช่วยเหลือเคสแต่ละเคสช่วยเหลืออย่างไร ?

หมอบี : ก็ไปดูก่อนว่ามันเกิดจากอะไร คนส่วนใหญ่เมื่อคิดอะไรไม่ออกก็จะอคติไปก่อนว่าเป็นเรื่องของผี เรื่องลึกลับเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ต่าง ๆ นานา แล้วแต่เขาจะคิดไปเรื่อย เราก็ต้องดูก่อนว่าจริงหรือเปล่าซึ่งหลัก ๆ แล้วประมาณ 99% มักจะไม่จริง มันเป็นแค่พฤติกรรมของคนปัจจุบัน เรื่องราวของคนปัจจุบันนี่แหละ เรื่องการเปลี่ยนแปลง โรคภัยไข้เจ็บ เรื่องความสูญเสีย การเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่เขาอาจจะไปโทษเรื่องที่มองไม่เห็นอะไรพวกนั้น ซึ่งถ้าเป็นเรื่องพวกนั้น ผมก็จะพยายามพูดคุย ให้ความไว้วางใจ คือรักและเมตตาเขาจริง ๆอยากช่วยเขาจริง ๆ ก็ได้บ้างไม่ได้บ้างก็แล้วแต่ส่วนเรื่องที่มัน มีมูลเหตุของความลึกลับจริงๆ ก็แก้ แต่เราแก้ด้วยหลักเหตุและปัจจัย ตามธรรมชาติเราไม่มีพิธีกรรม ไม่มีวัตถุสิ่งของไม่มีคาถาอาคม เราไม่ได้เป็นคนมีวิชาแบบเสกอะไรแบบนี้ผมไม่มีครับ

ทุกเคสที่ไป "หมอบี" ช่วยเหมือนแอบมีการสอนธรรมะให้กับเคสที่เราไปช่วยและผู้ที่ชมไลฟ์สดเราทุกครั้ง?

หมอบี : จริง ๆ ผมไม่ได้สอน ผมสอนใครไม่ได้หรอก แต่ว่าเอามาเล่าให้ฟัง ถึงหลักการและเรื่องจริง ว่าพอมันเกิดขึ้นเราก็แค่หาสาเหตุแล้วก็แก้มันโดยธรรมชาติ ผมว่าถ้าคนเข้าใจได้ มีสติรู้ ว่าอะไรคืออะไร มันก็แก้ได้ ผมเพียงแค่ชี้ทางให้เขาเห็นเฉย ๆ ว่า มันทำได้นะมันแก้จริง ๆ ก็แก้ได้นะไม่ต้องไป มัวโทษหรือไปขอร้องวิงวอน หรือขออะไรแบบนั้นแค่นั้นก็โอเค

แล้วจุดเริ่มต้น ในการเข้ามาช่วย "หลวงพ่ออลงกต" ของ "หมอบี" คืออะไร?

หมอบี : เริ่มต้นจากมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งชวนไปไหว้หลวงพ่อตามปกติ เหมือนชวนกันไปทำบุญทั่วไป แต่คุณอาที่ชวนไปรู้จักกับ "หลวงพ่ออลงกต" จึงได้มีโอกาสเข้าไปกราบหลวงพ่อในกุฏิและได้มีการพูดคุยกัน หลวงพ่อก็ชวนมาทำงานซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าชวนจริงหรือเล่น ผ่านไป 1 อาทิตย์ ก็เลยตัดสินใจลองดู ซึ่งก็เป็นการลองที่ยาวนาน ตอนนี้ก็ช่วยเหลือ "หลวงพ่ออลงกต" มา 9 ปีแล้วครับ

"หมอบี" ช่วยเหลืองานหลวงพ่ออลงกตเรื่องอะไรบ้าง ?

หมอบี : หลัก ๆ เลยผมต้องบอกว่า ผมไม่ใช่คนของวัด ผมไม่ได้ทำงานในนามของวัด ไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่อะไรเลยใน "วัดพระบาทน้ำพุ" หลวงพ่อท่านมีนโยบายในการช่วยเหลือคนเยอะมาก ๆ ทั้งคนและไม่คน รวมไปถึงสัตว์ เวลาท่านคิดอะไรท่านก็จะบอกเรา ซึ่งผมเองก็จะพยายามสนองท่านให้ได้มากที่สุด ก็ทุกเรื่อง เช่น ถ้าเป็นเรื่องที่คนรู้จักกันอยู่แล้วก็คือเรื่องเอดส์ ซึ่งก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง เพราะผลกระทบของเอดส์มีมากมาย เด็กกำพร้า ผู้สูงอายุ ลามไปถึงหมา แมวก็มี ช่วงโควิดที่ผ่านมาก็ช่วยเยอะ น้ำท่วม คือทุกอย่างอะไรที่มันสามารถช่วยเหลือกันได้ เราก็ช่วยหมดด้วยเราพยายามสรรหาบริบทที่ให้เข้ากับยุคสมัย ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ ผมว่าช่วยปกติคนก็ช่วยเหลือเยอะ แต่จะทำอย่างไรให้เป็นที่รับรู้และคนในสังคมยุคนี้ get และโอเค

ในทุกครั้งที่ "หมอบี" ติดตาม "หลวงพ่ออลงกต" ไปในทุกๆที่มีคนมาขอความช่วยเหลือเยอะไหม?

หมอบี : มีครับมี คือช่วยไว้ก่อนช่วยมากช่วยน้อย ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งจะช่วยอย่างไร ผมก็ไม่รู้ว่าผมดูเป็นไอดอลหรืออย่างไร ทำไปทำมาอยู่กับหลวงพ่อไปเรื่อยๆก็เริ่มเดินตามแนวทางของท่าน ก็เป็นสไตล์เดียวกัน

ในหน้างานหากมีคนมาขอความช่วยเหลือจาก "หมอบี" จะช่วยทันทีหรือไม่?

หมอบี : ถ้าช่วยได้ก็ช่วยเลย คือถ้ามีจังหวะเวลาโอกาสถ้าช่วยได้ก็ช่วยเลย แต่บางทีมันเยอะมากมันก็ไม่ไหวหรือบางทีเวลามันไม่พอ ก็อาจจะไม่ได้ช่วย

การช่วยเหลือคนมาก ๆ ส่งผลกับ "หมอบี" อย่างไรบ้าง ?

หมอบี : มันเหนื่อยครับ แล้วเราเป็นฆราวาสไม่ใช่พระ พระยังมีพื้นที่ช่องว่างระหว่างฆราวาสกับพระ ที่ทำให้คนมีความเกรงแต่ผมเป็นคนปกติ ซึ่งบางคนที่เข้ามาก็พูดจาไม่ดีกับเราบางคนก็บังคับ ส่วนตัวผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรเพียงแต่ สิ่งนั้นทำให้เราไม่มี Space ระหว่างกันมาก คนก็จะเข้ามากันอย่างเต็มที่เลย

การช่วยเหลือเคสที่ผ่านมามี feedback กลับมากับตัว "หมอบี" อย่างไรบ้าง ?

หมอบี : มันก็มีทั้งดีและไม่ดี ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมาก ผมแค่ตั้งเป้าเอาไว้ว่าสิ่งที่เราทำมันเกิดประโยชน์ สิ่งที่เราทำแล้วมันได้ประโยชน์ เราก็ทำเท่าที่เราทำไหวทำไปเรื่อยๆ แต่ก็กลายเป็นว่าเรากลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ ที่ไปไหนมาไหนก็มีคนเข้ามานู้นนี่นั่นอยู่ตลอดเวลา

มีแบบมาแปลกๆบ้างไหม?

หมอบี : มีครับมีแบบที่เข้ามาแบบแปลกๆพิสดารเยอะแยะ

มีมาให้ "หมอบี" ทักบ้างมั้ย ?

หมอบี : มีครับ คือส่วนมากถ้าคนเดินมาแล้วบอกผมว่าทักหน่อย ผมก็จะไม่ทัก ก็จะอธิบายว่าตามปกติแล้วผมจะไม่ทักอะไรที่มันซี้ซั้ว ยิ่งถ้ามาบังคับ เราก็จะไม่สนใจ บางคนมาถึงก็พูดเลยว่าเรารู้เรื่องของเขาหมดแล้วซึ่งในความเป็นจริงผมไม่รู้จะไปรู้เรื่องของเขาได้อย่างไร คือเขาคิดว่าผมจะต้องรู้เรื่องของเขาทั้งหมดซึ่ง ผมไม่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน อยู่แล้ว

"หมอบี" รู้สึกกดดันกับความคาดหวังของคนหรือไม่ ?

หมอบี : ก็ไม่ครับก็พยายามถ้ามันเลี่ยงได้ก็เลี่ยง

มีกรณีที่เข้ามาแล้วรู้สึกว่าจำเป็นต้องช่วยเลยมากน้อยแค่ไหน?

หมอบี : ก็มีครับ แต่ก็ไม่ได้เยอะถ้าหน้างานบางทีก็มีซักเคส 2 เคส ที่อาจจะต้องมีอะไรช่วยเหลือเขานิดนึง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไร ส่วนมากจะเป็นเรื่องของความทุกข์ทั่วไปของคน

คำถามที่ถูกถามมากที่สุดเวลาที่มีคนเจอ "หมอบี" คืออะไร

หมอบี : มีเยอะครับคำถามหลัก ๆ เลยบางทีก็ถามมากว้าง ๆ เช่น ตอนนี้รู้สึกแย่จังทำยังไงดีหรือ ทำไมทำอะไรแล้วไม่เจริญ พ่อแม่ที่เสียชีวิตไปดีไหม ต้องการอะไรหรือเปล่า ไปดีหรือยัง ตายแล้วไปไหน ซึ่งก็จะเป็นคำถามประมาณนี้ บางคนก็ถามเรื่องโดนของไหม เยอะมากครับคือมันสลับซับซ้อนมาก

แล้วเคสที่เกิดจากเรื่องลี้ลับจริง ๆ มีมากน้อยแค่ไหน?

หมอบี : น้อยครับซึ่งถือว่าน้อยมาก บางทีก็ไม่มีเลยในหน้างานแต่ละครั้ง

สิ่งที่ "หมอบี" พยายามสื่อให้คนเลิกเชื่อในสิ่งลี้ลับ แล้วมีคนเชื่อและทำตามรู้สึกอย่างไร?

หมอบี : อันนี้เป็นสิ่งที่ดีครับ เป็นเรื่องที่แฮปปี้มาก ถ้าคนๆนั้นทำได้ มันก็มีหลายคนที่เขาตั้งใจฟังเราจริงๆ ฟังในสิ่งที่เราต้องการสื่อสารจริงๆ บางคนก็เลิกถามไปเลยเหมือนแบบ เขาเอาสิ่งที่เราพูดบอกไปปรับใช้ในชีวิตจริง แล้วมันได้คำตอบจริง ๆ เขาก็เลิกถาม เลิกยุ่งกับเรื่องพวกนั้นอีกเลยแล้วก็ใช้ชีวิต เป็นสุขมากขึ้นซึ่งอันนี้โอเค แต่อาจจะน้อยหน่อยเท่านั้นเอง

 




ติดตามข่าวสาร คมชัดลึก อื่นๆ ได้ที่
Facebook - https://www.facebook.com/komchadluek
Twitter - https://twitter.com/Kom_chad_luek

LineToday -https://today.line.me/th/v2/publisher/100057

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ