เปิดประวัติ หลวงพ่อแบน ปาสาทิโก วัดเดิมบาง อำเภอเดิมบางนางบวช สุพรรณบุรี | คมชัดลึก

    หลวงพ่อแบน ปาสาทิโก  ท่านเกิดเมื่อปีพุทธศักราช 2416 ตรงกับวันศุกร์ เดือน 6 ปีระกา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5   ณ บ้านเดิมบาง โยมบิดาชื่อพ่อเงิน โยมมารดาชื่อแม่พุด ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอาศัยอยู่ทางด้านทิศเหนือของวัดเดิมบาง ท่านมีพี่น้องร่วมอุทร 7 คน เป็นชาย 4 คน หญิง 3 คน

         เมื่อท่านเจริญวัยได้22 ปี ในปีพุทธศักราช 2437 ท่านจึงได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดท่าช้าง อำเภอเดิมบางนางบวช โดยมีพระอาจารย์คง วัดท่าช้าง เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์แจ่ม วัดเดิมบาง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ปาสาทิโก”  จำพรรษาศึกษาในพระธรรมวินัยยังวัดเดิมบาง พื้นเพของท่าน และด้วยความที่ท่านเป็นผู้ใฝ่รู้ รักในการศึกษา ในปีพุทธศักราช 2438 ท่านจึงเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อเรียนหนังสือใหญ่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) จนจบอักขระสูตรสนธิ เป็นเวลา 4 พรรษา และเดินทางไปจำพรรษายังวัดในจังหวัดพิษณุโลกเป็นเวลา 8 พรรษา

            ในปีพุทธศักราช 2446 ท่านจึงได้เดินทางจากพิษณุโลก ตามคำกราบนิมนต์ของชาวบ้านเพื่อมาเป็นเจ้าอาวาส วัดปากน้ำ อำเภอเดิมบางนางบวช วัดในละแวกใกล้พื้นเพบ้านเกิดของท่าน เพื่อพัฒนาอารามเสนาสนะกุฏิศาลาการเปรียญ ให้มีความเรียบร้อยสวยงาม โดยท่านดำรงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปากน้ำเป็นเวลา 10 พรรษา

                ครั้นในปีพุทธศักราช 2456 ท่านพระครูสังวรศีลาจารย์ (แจ่ม) เจ้าอาวาสวัดเดิมบาง พระอาจารย์ของท่านนับแต่เมื่อครั้งบรรพชา อาพาธด้วยโรคอัมพฤกอัมพาต หลวงพ่อแบนจึงได้ไปมาหาสู่ดูแลอุปัฏฐากดูแลพระอาจารย์ของท่านที่วัดเดิมบางอยู่โดยประจำสม่ำเสมอ จนเมื่อล่วงเข้าเวลาได้ประมาณ 8 เดือน  

ย่างเข้าเดือน 7 ปีขาล พุทธศักราช 2457 พระครูสังวรศีลาจารย์ (แจ่ม) เจ้าอาวาสวัดเดิมบาง ท่านพิจารณาถึงสังขารและวัยของท่านที่ล่วงโรย มิอาจนำความเจริญต่อไปให้กับพระพุทธศาสนา ท่านเห็นถึงหลวงพ่อแบน ผู้เป็นอันเตวาสิกสามารถจะสืบถอดภาระหน้าที่แทนจากท่านสืบไป ซึ่งหลังจากหลวงพ่อแบนรับหน้าที่สมภารเจ้าอาวาสวัดเดิมบางได้ไม่นาน ท่านพระครูสังวรศีลาจารย์ (แจ่ม) ก็ถึงแก่กาลมรณภาพ

    นับต่อจากหลวงพ่อแบนได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเดิมบาง และเจ้าคณะตำบลเดิมบางตามมติของทางคณะสงฆ์ ท่านได้เป็นประธานและร่วมสมทบในการก่อสร้างเสนาสนะ ตลอดจนสาธารณะกุศลต่างๆอย่างมากมาย อาทิ วัดท่าเตียน (พ.ศ. 2464) วัดน้ำพุ (พ.ศ.2468) วัดเขาใหญ่ (พ.ศ.2470) วัดปากน้ำ (พ.ศ.246) วัดสามเอก (พ.ศ.2462) วัดท่าทอง (พ.ศ.2469)  อันเป็นการสร้างสมความดีบารมีแห่งท่านตลอดมา จนพุทธศักราช ๒๔๗๐ ได้มีการแต่งตั้งเจ้าคณะแขวงเดิมบาง ของท่านพระครูศิลกิติ (กริด อินทโชติ) วัดท่าช้าง ขึ้นรั้งเจ้าคณะแขวงเดิมบาง เพื่อปกครองดูแลคณะสงฆ์ฝั่งทิศเหนือของจังหวัดสุพรรณบุรี พระครูศิลกิติ (หลวงพ่อกริด) จึงได้แต่งตั้งหลวงพ่อแบน เป็นพระสมุห์ของท่านในคราวนั้นที่ พระสมุห์แบน ปาสาทิโก

หลวงพ่อแบนท่านเป็นผู้สมถะมักน้อย รูปร่างบาง ค่อนข้างเล็ก ผิวขาวเหลือง รักการปฏิบัติสันโดษ มีความกตัญญูในครูอาจารย์ เป็นที่ยิ่ง ทำให้ท่านเป็นผู้มีบุญบารมีสูง ในยุคสมัยของหลวงพ่อแบนสหธรรมมิกองค์หนึ่งผู้มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งอำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท คือหลวงพ่อโต วัดวิหารทอง ซึ่งไม่เคยลงให้ใคร ไม่นิมนต์ใคร แต่ทุกครั้งที่มีงานฝังลูกนิมิตในแถบสรรคบุรี หลวงพ่อโต วัดวิหารทอง ท่านต้องนิมนต์หลวงพ่อแบนไปทุกครั้ง มีเรื่องสืบกันมาว่า หากเวลาใดเมื่อหลวงพ่อแบนและหลวงพ่อโต ไปสวดชยันโตลูกนิมิตครั้งคราวใด เมื่อสวดครบจบบท ลูกนิมิตนั้นจะกลิ้งลงหลุมได้เองโดยมิต้องพลักรึชักลูกนิมิตนั้น

     ด้านวัตถุมงคลของหลวงพ่อแบน ท่านเคยสร้างและมอบให้ศิษย์ ซึ่งพบปรากฏว่ามีน้อยกว่าน้อยยิ่งนัก คือ ตะกรุด ผ้าขอด 5 ขอด 7 ขอด ขอดด้วยผ้าสีแดง เชือกคาดเอวหัวเป็นลูกตะกร้อ 9 โดยการขอดผ้าขอดของหลวงพ่อแบนจะขอดเป็นเงื่อนพิรอด ใช้คาดเอวก็มี ใช้ผูกแขนก็มี  ซึ่งวิชาขอดผ้าขอดของหลวงพ่อแบนนี้ หาได้เสื่อมสูญไปปรากฏว่ามีผู้สืบต่อและมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักต่อมาคือ หลวงพ่อกวย ชุตินธโร วัดโฆสิตารามนั่นเอง

     
        และนอกจากผ้าขอดอันเป็นตำนานลือเลื่องแล้ว อีกหนึ่งของขลังที่เป็นที่ประจักษ์ว่าโดดเด่นยิ่งทั้งด้านเมตตา ค้าขาย กันฟ้ากันไฟ ของหลวงพ่อแบนคือผ้ายันต์ โดยในผ้านั้นปรากฏรูปหงษ์ตัวเดียว หรือหงษ์เดี่ยวเมื่อซึ่งในกาลต่อมาก็ปรากฏว่าผ้าหงษ์นี้มีศิษย์ท่านเป็นผู้สืบทอดสร้างตำนานมหากาพย์แห่งผ้ายันต์หงษ์ อันโด่งดังทะลุฟ้าล่ำลือไปทั้งประเทศ เป็นที่เสาะแสวงหา ในนามแห่ง พระครูสุวรรณวุฒาจารย์ หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ สืบมา

พระสมุห์แบน หรือหลวงพ่อแบนปาสาทิโก ท่านปฏิบัติตนสมดั่งเป็นพุทธบุตรผู้สืบต่อพระพุทธศาสนา ด้วยความมุ่งมั่นเสียสละจวบจนท่านถึงแกกาลมรณภาพเมื่อวันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ.2481 รวมสิริอายุ 66 ปี พรรษาที่ 44