จุดเริ่มต้นการสะสมพระเครื่อง "หลวงปู่ดู่"
“ต็อด” ปิติ ภิรมย์ภักดี นักธุรกิจทายาทรุ่นที่ 4 ของตระกูลภิรมย์ภักดี เล่าว่า ด้วยความที่เป็นเด็กผู้ชาย เรื่องพระเครื่อง-เครื่องรางก็จะอยู่ในสายเลือดมาตลอด ตอนเด็กๆ ปู่กับพ่อให้พระผมมาห้อยคอ ก็เป็นความชอบส่วนตัวที่อยากจะศึกษามาตลอด จึงเริ่มศึกษามาตั้งแต่เรียนจบจากอเมริกา ตอนนั้นอายุประมาณ 20-21 เริ่มค้นคว้าเรื่องวัตถุมงคล อย่างพระหลวงปู่ดู่ก็เป็นพระที่เรารู้จัก แต่ยังไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจังจนเมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว มีอยู่วันหนึ่งระหว่างที่ผมกำลังจะตื่นจากที่นอนก็ได้ยินเสียงแว่วๆว่า “ไม่เก็บพระชั้นบ้างเหรอ” หลังจากได้ยินเสียงวันนั้นผมก็เริ่มศึกษาพระเครื่องหลวงปู่ดู่ ผ่านไปอีกประมาณ 3-4 เดือน ผมก็เริ่มเห็นศิลปะและเกิดความเลื่อมใส ศรัทธาจากคำสอนของหลวงปู่ ตอนนั้นผมตัดสินใจว่าควรจะปรึกษาผู้รู้ เพื่อจะได้มีพระดีๆ เก็บไว้บูชา และมีแนวทางการเก็บรักษาที่ถูกต้อง ผมจึงใช้เวลาเสิร์จหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตกว่าครึ่งปี กว่าจะได้หลวงปู่ดู่ชุดแรกมาบูชา รวม 3 องค์ด้วยกัน คือ หลวงปู่ดู่พรหมใหญ่ แช่น้ำชา, หลวงปู่ดู่เศียรพรหมใหญ่ บล็อกดินเหนียว และหลวงปู่ดู่รุ่นเสด็จนิวัติพระนคร พระชุดนี้เป็นพระใหม่ที่มีความพิเศษและมีคุณค่าทางจิตใจต่อผม ซึ่งในชุดแรกนี้ได้มาจากคุณชัช ชัยมงคล ผู้ดูแลวัตถุมงคลในองค์หลวงปู่ดู่และเป็นกลุ่มที่ดูแลวัดสะแก ในนามกลุ่มไตรอุทิศซึ่งผมเชื่อและศรัทธาในแนวความคิดที่คล้ายๆ กับผม คือ อยากจะตอบแทน อยากจะส่งเสริม และพัฒนาวัตถุมงคลของหลวงปู่ พัฒนาวัดสะแก และชุมชนให้เข้มแข็งไปด้วยกัน
มีปาฎิหาริย์เกิดขึ้นบ้างหรือไม่
สำหรับตัวผมไม่มีตัวอย่างที่ชัดเจน แต่ผมเวลาเจอปัญหา จะได้ยินคำสอนของ "หลวงปู่ดู่" ตลอด อันนี้ผมอาจจะคิดไปเอง หรืออาจเป็นสิ่งที่สมองเราเป็นคนสั่ง หรือจะเป็นเสียงกระซิบจริงๆ ผมก็ไม่อาจยืนยันได้ แต่ผมมักจะได้รับคำแนะนำ คำสอนจากสิ่งที่เรากำลังเผชิญ ผมจะรู้สึกได้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในตัวเรา อย่างแรกเลยคือ สติสัมปชัญญะ จะรู้สึกได้เมื่อเกิดวิกฤต คือ เมื่อทุกคนมีความสุข เมื่อทุกคนอยู่ในสถานะที่ดี อยู่ในการงานที่ดี สิ่งเหล่านี้เป็นไปตามรูปแบบที่ควรจะเป็นเราจะไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อเราเกิดปัญหา เมื่อเจออุปสรรค สิ่งที่จะช่วยดึงตัวเองกลับมา และช่วยให้เราก้าวข้ามปัญหาไปได้ก็คือการมีสติ ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกได้
ได้อะไรจากคำสอนของ "หลวงปู่ดู่"
สิ่งที่ท่านหลวงปู่ท่านสอน คือ การคิดบวก การคิดดี การไม่ให้ร้ายคนอื่นและการลงมือปฏิบัติ หลายๆ ครั้งที่เราคิดดี แต่ถ้าเราไม่ลงมือปฎิบัติเราก็จะไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีให้คนอื่น การที่เราลงมือทำให้คนอื่นเห็น ทำให้เกิดสติปัญญา ผมว่ามีคนเห็นและมีคนอยากทำตาม หลวงปู่ท่านสอนหลายๆ อย่างให้เราไม่ยึดติด ไม่เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของวงโคจร แต่ให้เรารู้ตัวเราเองเพื่อที่จะทำตัวให้เป็นประโยชน์ เพิ่มศักยภาพ พัฒนาตัวเอง ซึ่งสุดท้ายก็คือคำสอนตามหลักพระศาสนาที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”
มีประโยคหนึ่งที่ลูกศิษย์หลวงปู่ดู้ทุกคนรู้ คือ “คนดีไม่ตีใคร” ถ้าเรามองจากมุมของตัวเรา ถ้าเราอยากเป็นคนดี เราอย่าไปให้ร้าย เราอย่าไปตีใคร ถ้าเรามองจากมุมคนอื่น คนที่เข้ามาทำร้ายเรา คำตอบมันก็อยู่ในนั้น “คนดีไม่ตีใคร” แล้วเขามาทำร้ายเรา แปลว่าเขาเป็นคนไม่ดี เท่านี้ก็จบ เราไม่ต้องไปคิดแค้น ท่องไว้ “คนดีไม่ตีใคร” ถ้าเราอยากเป็นคนไม่ดี เราก็ตีคืนเท่านั้น ผมว่าคำนี้มันชัดเจน ซึ่งคำสอนของหลวงปู่ดู่เป็นสิ่งที่ผมนำไปใช้แล้วเกิดประโยชน์กับตัวเอง จนทำให้ผมเลื่อมใส ศรัทธามากขึ้นทุกวัน จนถึงทุกวันนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง