พระเครื่อง

"ยิงเป้าปาโป่ง" 
หลวงพ่อเก็บค่าทำบุญ-ตำรวจเก็บค่าทำทาน

"ยิงเป้าปาโป่ง" หลวงพ่อเก็บค่าทำบุญ-ตำรวจเก็บค่าทำทาน

17 ก.พ. 2553

"งานวัด" เป็นงานบุญอย่างหนึ่งที่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันวัดมักจัดให้คล้องกับช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น เทศกาลตรุษจีน ก็จะมีงานปิดทองฝังลูกนิมิต จากนั้นก็เป็นเทศกาลสงกรานต์ วัดก็จะจัดงานปิดทองไหว้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ทั้งนี้ จะลากยาวไปถึงเข้าพรรษา กระทั่งออกพร

  "ภาพยนตร์ ดนตรี ลิเก ชิงช้า ม้าหมุน และสวนสนุกเคลื่อนที่" เป็นความบันเทิงพื้นฐานทั่วๆ ไป ที่วัดต้องจัดให้มี รายได้หลักของวัดอย่างหนึ่ง คือ การเปิดให้จองจำหน่ายสินค้า แต่สิ่งที่จะต้องจับตามอง คือ งานวัดแทบทุกแห่ง จะมีการจัดให้มีการละเล่นต่างๆ เพื่อเป็นการจูงใจนักแสวงบุญหรือนักท่องเที่ยว เล่นการพนัน ยิงเป้าและปาโป่ง การพนันชั้นปฐม ที่พระ  กรรมการวัด และตำรวจ รวมหัวกันมอมเมาประชาชน โดยอาศัยโอกาสที่ทางวัดได้จัดงานขึ้นเป็นข้ออ้างว่า เป็นการช่วยเหลือทางวัดได้รับผลประโยชน์ ในการเก็บเงินค่าที่เข้าวัด ซึ่งถ้ามองภาพรวมแล้ว เป็นเรื่องสนุกสนาน แต่แท้จริงแล้ว มีมูลเหตุจูงใจ คือเงินรางวัล ตามที่ผู้จัดให้มีการเล่นนั้น จะพลิกแพลงไปในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้ลูกค้ามาใช้บริการ" 

 ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม นักกฎหมายอิสระ อธิบายให้ฟังว่า ลักษณะการยิงเป้า เป็นการพนันขันต่อ ซึ่งเอาทรัพย์สินกัน ประชาชนอาจจะแปลกใจว่า เหตุใดจึงเข้าลักษณะการพนัน ซึ่งการยิงเป้าเป็นการพนันประเภท (ข)  แต่การปาโป่ง แม้เจตนารมณ์ของกฎหมายมิได้บัญญัติบทวิเคราะห์ศัพท์ไว้โดยเฉพาะ แต่เมื่อมีการโฆษณาเพื่อหลีกเลี่ยงบทบัญญัติของกฎหมาย โดยใช้กลอุบายล่อว่า มีเงินรางวัล โดยมีมูลเหตุจูงใจว่า เสียเงินเพียงนิดเดียว หากได้รางวัลก็จะได้เงินมากกว่า ทำให้ผู้เข้าเล่นตามโฆษณาเกิดความโลภ ต้องเสียเงิน เพราะเหตุดังกล่าวไปอย่างน่าเสียดาย ต้องด้วยความหมายตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘ มาตรา ๑๒ ได้บัญญัติว่า

  "ผู้ใดจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณา หรือชักชวนโดยทางตรง หรือทางอ้อม ให้ผู้อื่นเข้าเล่น หรือเข้าพนันในการเล่น ซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน หรือรับอนุญาตแล้ว แต่เล่นพลิกแพลง หรือผู้ใดเข้าเล่น หรือเข้าพนันในการเล่น อันขัดต่อบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎกระทรวงนั้น"

 ลักษณะยิงเป้าปาลูกโป่ง เป็นการพนันประเภท (ข) มีโทษจำคุกตั้งแต่ ๓ เดือนขึ้นไป จนถึง ๓ ปี ปรับตั้งแต่ ๕๐๐ บาทขึ้นไป จนถึง ๕,๐๐๐ บาท  จึงเป็นช่องว่างของกฎหมาย ที่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บส่วย ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทางวัดจะอ้างว่า ความไม่รู้กฎหมายยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ เพื่อปฏิเสธความรับผิดนั้น หาได้ไม่ ซึ่งอดีตพระอาจารย์นักเทศน์ชื่อดัง หลวงพ่อพยอม กัลยาโน ออกมาแสดงความคิดเห็นในทำนองเดียวกันว่า "การพนันเป็นอบายมุขอย่างหนึ่งที่ควรขจัด" 

 นอกจากนี้ รศ.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานกรรมการและผู้อำนวยการโครงการปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาพัฒนาธรรมาภิบาล มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม อดีตรองประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวถึงผลการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในการปราบบ่อนการพนัน ที่ผ่านมาจากการประเมินผลเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถปราบปรามการพนันฟุตบอลได้ เพราะผู้จัดให้มีการเล่น หรือเจ้ามือการพนันรายใหญ่ ส่วนใหญ่ไม่ถูกจับ เนื่องจากคนกลุ่มนี้อุปถัมภ์ตำรวจอยู่ นักพนันที่ถูกจับส่วนใหญ่เป็นพวกปลาซิวปลาสร้อย 

 ดังนั้น การปราบปรามการพนันของตำรวจ เป็นเพียงการสร้างภาพลักษณ์ และทำเป็นพิธีกรรมของตำรวจมากกว่า

 แต่ต้องยอมรับว่า การทำธุรกิจของวัด ที่ให้เช่าที่ แม้จะทำถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็เป็นเรื่องยาก เพราะตำรวจเข้าไปมีผลประโยชน์เกี่ยวกับการเก็บส่วย แม้เจ้าอาวาสวัดจะเป็นนักบวช และอยู่ในศีลธรรมในหลักพุทธศาสนาก็ตาม เมื่อมีการให้เช่าที่วัด เพื่อพลิกแพลงเป็นการพนัน แม้เจ้าอาวาสวัดจะรู้ ก็ไม่สามารถบอกเลิกได้ เพราะทำแล้วตำรวจจะสูญเสียผลประโยชน์มากกว่า 

  "หากวัดกับตำรวจร่วมมือกันทำผิดศีลธรรม และไปเอื้อประโยชน์ให้ตำรวจ ในการมีผลประโยชน์มากมายในวัด อีกหน่อยนักการพนันก็จะเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ในวัด โดยทางวัดได้สมคบกันให้มีการเล่นพนัน  แน่นอนที่สุด ประชาชนก็จะถูกมอมเมาในลักษณะนี้ตลอดไป อันเป็นผลกระทบต่อสังคม ทำให้เกิดเป็นปัญหาแก่สังคม เม็ดเงินผิดกฎหมายถูกนำไปสร้างปัญหาอื่น เป็นการสร้างอิทธิพลของคนบางกลุ่ม หาเงินผิดกฎหมายด้านอื่นๆ อย่ามองว่า การยิงเป้าปาโป่งเป็นความบันเทิงสนุกสนาน เป็นการพักผ่อน เพราะการพนันนั้น มีทั้งด้านลบและด้านบวก การไปควบคุมแบบเก่าๆ อย่าให้มุมศาสนาต้องมัวหมองในเรื่องผิดกฎหมายเลยครับ ศีลธรรมจะเสื่อมโทรมลง หากวัดร่วมมือกับทางตำรวจ มอมเมาประชาชน และมีอบายมุขต่างๆ ในวัด" ดร.สุกิจ กล่าว

 พร้อมกันนี้ ดร.สุกิจ พูดไว้อย่างน่าคิดว่า "ผมไม่ทราบว่า ท่านนายกรัฐมนตรีมีจุดยืนเหมือนผมหรือเปล่าครับว่า การเล่นการพนันในวัดในรูปแบบต่างๆ เป็นการเอาปัญหาสังคมมาสร้างภาพ ผมว่าจะทำให้สังคมเลวร้ายลง ต้องลงมือปฏิรูปทั้งระบบ ให้เกิดการปราบปรามอย่างจริงจัง ทำให้ประชาชนมีความสุข พระต้องดูแลสั่งสอน ไม่ใช่ชี้ทางสวรรค์นรกนะครับ  หรือความละอายต่อบาป (หิริและโอตัปปะ) ยังไม่มี แล้วจะสอนให้สาธุชนบำเพ็ญภาวนา ให้ถือศีลได้อย่างไร อย่าเห็นแก่ผลประโยชน์มากกว่าความเดือดร้อนของประชาชนเลยครับ"

  "หากวัดกับตำรวจร่วมมือกันทำผิดศีลธรรม และไปเอื้อประโยชน์ให้ตำรวจในการมีผลประโยชน์มากมายในวัด อีกหน่อยนักการพนันก็จะเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ในวัด โดยทางวัดได้สมคบกันให้มีการเล่นพนัน แน่นอนที่สุด ประชาชนก็จะถูกมอมเมาในลักษณะนี้ตลอดไป" 

เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู"