
พระยอดขุนพล กรุวัดราชบูรณะ อยุธยา
กรุงศรีอยุธยา เป็นเมืองราชธานี และเป็นที่ยอมรับของนักประวัติศาสตร์ในระดับสากลว่า เป็นเมืองราชธานีอย่างเป็นทางการของชนชาติไทย ซึ่งมีความต่อเนื่องเห็นภาพที่ชัดเจนที่สามารถพิสูจน์ได้จนถึงปัจจุบัน
ส่วนราชวงศ์ที่มีส่วนร่วมในการสถาปนาอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาแห่งนี้คือ ราชวงศ์อู่ทอง และ ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
สำหรับราชวงศ์สุดท้าย ที่มีอำนาจในการปกครองกรุงศรีอยุธยา คือ ราชวงศ์สุโขทัย ซึ่งมีประวัติความเป็นมาจาก ราชวงศ์พระร่วง เดิม อันเป็นราชวงศ์หลักที่มีความสัมพันธ์สืบต่อมาถึงราชวงศ์อื่นๆ จนถึงวาระสุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา
หากมีการศึกษาถึงรายละเอียด กรุงศรีอยุธยามีกษัตริย์ปกครองทั้งสิ้น ๓๔ พระองค์ ประกอบด้วย ๕ ราชวงศ์หลัก และหากนับรวมเอาหลักฐาน "คำให้การของชาวกรุงเก่า" ที่ระบุไว้ว่า กรุงศรีอยุธยามีรากเหง้าสืบต่อมาจาก “กรุงอโยธยาศรีรามเทพนคร” ซึ่งขณะนั้นมี เมืองลพบุรี เป็นเมืองลูกหลวง ต่อมาเมื่อกรุงอโยธยาถูกภัยธรรมชาติคุกคาม (โรคห่า) ทำให้ พระเจ้าอู่ทอง กษัตริย์ลำดับที่ ๑๘ ของอโยธยาศรีรามเทพนคร จำเป็นต้องย้ายเมืองราชธานีมาอยู่ที่ กรุงศรีอยุธยา พระองค์จึงนับเป็นปฐมกษัตริย์ของอาณาจักรนี้เป็นต้นมา โดยมีราชวงศ์ต่างๆ ผลัดกันขึ้นมามีอำนาจในการปกครองอาณาจักรแห่งนี้ รวมระยะเวลาทั้งสมัยที่ครองราชย์ ๔๑๗ ปี ตามลำดับดังนี้
๑.ราชวงศ์อู่ทอง มีกษัตริย์ปกครองทั้งสิ้น ๓ พระองค์ รวมระยะเวลาครองราชย์ ๔๑ ปี
(สมเด็จพระราเมศวร ทรงครองราชย์แบ่งเวลาเป็น 2 ช่วง ช่วงที่ ๑ เป็นเวลา ๑ ปี พ.ศ.๑๙๑๒-๑๙๑๓ ช่วงที่ ๒เป็นเวลา ๗ ปี พ.ศ.๑๙๓๑-๑๙๓๘)
๒.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ มีกษัตริย์ปกครองทั้งสิ้น ๑๔ พระองค์ รวมระยะครองราชย์ ๑๗๘ ปี
๓.ราชวงศ์สุโขทัย มีกษัตริย์ปกครองทั้งสิ้น ๗ พระองค์ รวมระยะครองราชย์ ๖๐ ปี
๔.ราชวงศ์ปราสาททอง มีกษัตริย์ปกครองทั้งสิ้น ๔ พระองค์ รวมระยะครองราชย์ ๕๙ ปี
๕.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง มีกษัตริย์ปกครองทั้งสิ้น ๖ พระองค์ รวมระยะครองราชย์ ๗๙ ปี
ดังนั้น กรุงศรีอยุธยา ที่ผ่านมา จึงถือเป็นเมืองแห่งการทำสงครามมาโดยตลอด แต่งานด้าน ศิลปวัฒนธรรม และด้าน พุทธศาสนา ก็มีความเจริญรุ่งเรือง มาตลอดยุคสมัยเช่นกัน ทั้งในช่วงแห่งการทำศึกสงครามกับพม่าตลอดมา
ฉะนั้น พระเครื่องที่สร้างในยุคนั้น จึงเน้นพุทธคุณทางด้านแคล้วคลาด และคงกระพันชาตรี เป็นหลักใหญ่ เพื่อให้เหล่าบรรดาทหารหาญ และแม่ทัพนายกองได้ไว้ใช้ติดตัวในยามทำสงคราม
สาเหตุดังกล่าวนี้ จึงทำให้มีพระเครื่องพิมพ์หนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยนั้น จัดอยู่ในชุดตระกูล “พระยอดขุนพล ของกรุงศรีอยุธยา” ที่มีชื่อเสียงลือลั่นมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาจน ถึงปัจจุบันนี้
นั่นก็คือ พระยอดขุนพล กรุวัดราชบูรณะ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งสร้างด้วย เนื้อชินเงิน อย่างเดียว
พุทธลักษณ์ เป็นพระปางมารวิชัย ประทับอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว มีฐานบัวรองรับองค์พระ
ท่านอาจารย์สมเกียรติ โล่ห์เพชรัตน์ ได้บรรยายถึงเรื่อง พระปางซุ้มเรือนแก้ว ว่าเป็นปางหนึ่งที่อยู่ในพระพิมพ์ตระกูล พระยอดขุนพล ความหมายของปางนี้ คือ
"เป็นปางพระพุทธรูปแบบทรงประทับนั่งขัดสมาธิ อยู่ในซุ้มเรือนแก้ว ทรงอยู่ในท่าของปางสมาธิ หรือปางมารวิชัย แต่จะมีแท่นและซุ้มเรือนแก้วอยู่ด้านหลัง หรือรอบพระกาย ตามพุทธตำนานกล่าวไว้ว่า หลังจากพระองค์เสร็จจากการเดินจงกรมแก้วแล้ว ทรงกลับมาประทับนั่งในซุ้มเรือนแก้วที่เทวดาเนรมิตรถวาย ทรงพิจารณาธรรมอยู่ในเรือนแก้วถึง 7 วัน แต่ก็มีบางตำนานกล่าวว่า การสร้างพระพุทธรูปพร้อมกับซุ้มเรือนแก้ว หมายถึง เป็นการยกย่องพระองค์ให้เป็นถึงองค์จักรวาลทิน ผู้ครอบครองอาณาเขตแห่งจักรวาล”
พระยอดขุนพล กรุวัดราชบูรณะ เป็นพระเครื่องที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดย พระเจ้าสามพระยา สร้างล้อแบบพระลพบุรี จัดเป็นพระเครื่องที่มีพุทธลักษณะวิจิตรงดงามอลังการ และสมบูรณ์มาก แสดงให้เห็นถึงความสามารถของช่างว่ายอดเยี่ยมด้วยพุทธศิลปะ และสูงส่งด้วยจินตนาการ พระแทบทุกองค์จะเป็นพระผิวปรอทขาว
ด้านพุทธคุณนั้น เป็นพระที่ยอมรับว่ายอดเยี่ยมทางแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ขนาดขององค์พระค่อนข้างเขื่อง คือมีฐานกว้างประมาณ ๓.๕ ซม. สูงประมาณ ๕ ซม.
สนนราคาเช่าหา สภาพสวยๆ ราคาหลักแสนขึ้นไป ปัจจุบันในท้องตลาดของแท้พบเห็นน้อยมาก ส่วนมากจะเป็นพระฝีมือ หรือพระปลอมเป็นส่วนใหญ่
สำหรับ พระยอดขุนพล กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองลพบุรี อันเป็นต้นแบบของ พระยอดขุนพล นั้น มีเอกลักษณ์ที่สำคัญ คือ ซุ้มเรือนแก้ว และ ฐานบัวเล็บช้าง นับเป็นพระยอดขุนพลอีกพิมพ์หนึ่งที่มีความงดงามอลังการเช่นกัน
พระยอดขุนพล กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองลพบุรี มีทั้งเนื้อชินเงิน และเนื้อชินตะกั่วสนิมแดง เป็นพระประทับนั่ง ปางมารวิชัยอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว ใต้ฐานประทับอยู่บนบัวเล็บช้าง ศิลปะสกุลช่างขอม ในยุคลพบุรี องค์พระจึงมีความขึงขัง และอลังการเป็นอย่างยิ่ง ตามแบบฉบับของเมืองนักรบแต่โบราณกาล
ด้านพุทธคุณ ถือได้ว่า พระยอดขุนพล ลพบุรี เป็นพระสุดยอดทางด้านคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด มหาอุด สมกับความหายากของพระที่มีอายุร่วม ๘๐๐ ปี
ขนาดองค์พระกว้างประมาณ ๒.๗ ซม. สูงประมาณ ๔.๕ ซม. ราคาเช่าหาหลักแสนขึ้นไป
ในวงการพระเครื่อง ได้ให้ความหมายของคำว่า พระยอดขุนพล ไว้ว่า จะต้องสมบูรณ์แบบครบทั้ง ๔ ประการ คือ ๑.องค์พระจะต้องสวมมงกุฎแบบเทริดขนนก ๒.ประทับนั่งอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว ๓.เป็นพระนั่งปางมารวิชัย เท่านั้น และ ๔.ประทับอยู่บนฐานกลีบบัวเล็บช้าง
พระยอดขุนพล จึงจัดได้ว่า เป็นพระที่ค่อนข้างจะหายาก วงการพระเรียกว่า แบบเต็มฟอร์มครบสูตร จึงมีราคาสูงกว่าพระพิมพ์อื่นๆ อีกหลายพิมพ์ที่ไม่ครบสมบูรณ์ ซึ่งมีรูปทรงลักษณะเหมือนกันทุกอย่าง แต่ขาดเพียง ซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พระร่วงนั่งเทริดขนนก พระพิมพ์นี้ แตกกรุออกมาหลายจังหวัดของเมืองไทย
ความงดงามอลังการของ พระร่วงนั่งเทริดขนนก จึงย่อมมีน้อยกว่า พระยอดขุนพล อย่างแน่นอน
"ชาติ วิศิษฏ์สรอรรถ"