พระเครื่อง

ธรรมะจาก 
อ.ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน

ธรรมะจาก อ.ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน

16 ธ.ค. 2552

คนที่เข้าใจธรรม และ เข้าถึงธรรม นั้น จะพูดเหมือนกันว่า มีความสุขกับการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งในกรณีของคนเป็นแม่บ้าน ก็ต้องพูดว่า มีความสุขกับการดูแลลูก และทำงานบ้าน ซักผ้า ตากผ้า รีดผ้า ทำอาหาร ฯลฯ

   คนส่วนมากไปตั้งค่า หรือสร้างจินตภาพของคนที่เข้าถึงธรรมไว้สูงเกินไป แม้ครูบาอาจารย์เน้นแล้วเน้นอีกว่า นิพพานเป็นเรื่องธรรมดา คนก็ไม่เข้าใจว่า มันธรรมดาอย่างไร

 และเป็นเพราะวัฒนธรรมทางศาสนาเรามีรูปแบบของพระสงฆ์องค์เจ้า มีเครื่องแบบของพระพุทธเจ้าที่ดูศักดิ์สิทธิ์ และครูบาอาจารย์ที่เข้าถึงธรรมที่เป็นพระ และจำเป็นต้องวางตัวแตกต่างจากคนธรรมดาสามัญ ทำให้ชาวบ้านทั่วไป อดไม่ได้ที่จะสร้างจินตนาการที่หรูหราของคนที่เข้าถึงธรรมแล้ว  จึงมักคิดอย่างสุดโต่ง ไปด้านใดด้านหนึ่ง

 คือ ถ้าไม่ติดในความมี ความเป็น ก็จะไปติดในความไม่มี ไม่เป็น คือคิดว่า คนเข้าถึงธรรมต้องมีลักษณะอย่างนี้ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ (ตามจินตนาการของตัวเอง) คือ ต้องบวช ต้องใส่เครื่องแบบของนักบวชเท่านั้น

 หรือหากเห็นฆราวาสที่ (อวดอุตริ) ว่าเข้าถึงธรรม ก็คิดว่า ต้องไม่มี ไม่เป็นอย่างนี้ คือ ต้องไม่แต่งตัว ต้องไม่แต่งหน้า ต้องไม่อยู่กับครอบครัว 

 ซึ่งความคิด (ตามจินตนาการ) เหล่านี้ ล้วนเป็นการคิดแบบสุดโต่ง คือ คิดแบบติดในความมี ความเป็น กับติดในความไม่มี ไม่เป็น ซึ่งไม่เป็นไปตามทางสายกลางทั้งสิ้น ล้วนไปติดที่ "เจอรี่" ซึ่งถูกหลอกทั้งนั้น

 การเข้าถึงธรรมจริงๆ คือ ความสามารถที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตประจำวันอย่างมีสติสัมปชัญญะ หรือสามารถพาตัวใจกลับบ้าน ในทุกขณะที่กำลังหายใจ และทำกิจกรรมต่างๆ ของชีวิตอยู่
 
 ชีวิตเช่นนี้ คือ การปฏิบัติตามทางสายกลางอย่างแท้จริง ทางสายกลาง คือ ทางแห่งวิปัสสนา ทางแห่งสติ หรือทางที่พาตัวใจกลับบ้าน ซึ่งไม่ได้หมายความว่า จะต้องละทิ้งทุกอย่างของโลกสมมติ ยังคงเคารพกฎเกณฑ์ที่อยู่ในกรอบของศีลธรรม ความถูกต้อง และมารยาทของโลกสมมติอยู่ เหมือนที่ "น้องเม" พูดในเมลหนึ่งว่า  

 กรณีของเม ถ้าไปวัด ก็ถือศีลแปดเคร่งไปเลย แต่วันปกติยังแต่งหน้าแต่งตัวค่ะ เพราะยังต้องอยู่กับโลก สังคมที่เป็นโลกสมมติ

 เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างไป คือ เวลาแต่ง ก็รู้ว่าเครื่องสำอางนี่เป็นเพียงเครื่องฉาบทา ที่ใช้ตกแต่ง หรือปกปิดพรางตา เพียงผิวหนังที่เป็นหุ้มร่างกายอยู่โดยรอบ

 เสื้อผ้าทั้งหลาย ใช้เพื่อประโยชน์ในการยังชีพ แต่จะเลือกใส่ตัวไหน เมก็ยังคงเลือกใส่ตามกาลเทศะบ้าง ตามอารมณ์บ้างอยู่

 บางทีการแต่งหน้า/เสื้อผ้า ก็ปรับความรู้สึกได้...เมมองเป็นศิลปะ  เพียงต้องรู้ว่า อย่าหลงกับมันนัก เพราะของจริง ก็แค่ผิวหนังเปลือยๆ

 แล้วสักวัน มันก็จะร่วงโรยไปตามเวลา เพียงแต่ตอนนี้ เรายังอยู่ในช่วงขาขึ้น-peak-อีกไม่นาน เราก็จะเห็นขาลงของมัน...ต้องเตือนใจตัวเองว่า อย่าเผลอหลงเพลิดเพลิน ว่ามันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป

 จริงๆ แล้ว ก่อนนี้ ช่วงที่เบื่อๆ ก็ไม่อยากทำอะไรกับตัวเอง ครีมบำรุงยังไม่อยากแตะ คือ เบื่อไปทุกอย่าง ถึงขั้นหงุดหงิดรำคาญตัวเอง

 สุดท้าย ก็ต้องกลับมาทำ เพราะร่างกายนี้ เราเข้ามาอาศัยแล้ว แม้จะรู้ว่า เป็นของชั่วคราว แต่ตราบใดที่ยังต้องอาศัย ก็ต้องดูแลบ้านให้แข็งแรง สะอาด น่ามอง 

 ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป เราจะทำอะไรก็ได้ แต่อย่าให้กิเลสเป็นเข็มทิศ ให้ใช้สติปัญญาพิจารณา

 หรืออธิบายง่ายๆ ได้ว่า เมื่อเราจะทำอะไรตามมารยาทของสังคมโลกสมมติแล้วไซร้ ในขณะที่เราแต่งตัว แต่งหน้า ก็ทำอย่างมีสติ หรือพาตัวใจกลับบ้านไปด้วย จึงไม่ใช่เป็นการแต่งตัวแบบเป็นทาสของกิเลส แต่ทำเพราะความเหมาะสมของการเข้าสังคม จะทำให้ปัญหาน้อยลง คนไม่มาจุ๊กจิ๊กกับเรามากจนเกินไป

 ถูกอย่างที่ "หนูเม" พูด คนที่เข้าถึงธรรมแล้ว จะเบื่อเรื่องแต่งตัวเอง แต่ก็ยังจำเป็นต้องแต่ง เพื่อเคารพต่อมารยาทของสังคม 

 ฉะนั้น คนที่ยังติดใน "ความมี ความเป็น" กับ "ความไม่มี ไม่เป็น" จะเข้าใจคนที่อ้างว่า รู้ธรรมะ แต่ยังคงแต่งหน้าแต่งตัวอยู่ผิดได้ เพราะไปติดว่า คนเข้าถึงธรรมต้องไม่ทำอย่างนี้ แต่ต้องเป็นแบบนี้  คือ ไม่แต่งตัวแต่งหน้าเลย

 ให้ดีก็ต้องโกนหัวบวช เพื่อพิสูจน์ให้คนรู้ว่า "ฉันไม่เอาอะไรเลย" โดยดูจากรูปแบบภายนอกของตน ซึ่งยังไม่ถูกอยู่ดี ยังถูกวัฒนธรรมทางศาสนา และ "เจอรี่" ครอบอยู่ ไม่ควรตัดสินคนจากรูปแบบ โดยเฉพาะจากการเห็นเพียงครั้งคราว เพราะเราไม่สามารถไปเฝ้าดูคนเข้าถึงธรรมได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงได้ จึงย่อมไม่รู้ว่า เขาติดการแต่งตัวแต่งหน้าจริงหรือเปล่า อยู่บ้านอาจเป็นยายเพิ้งก็ได้

 ฉะนั้น ไม่ควรไปตัดสินเนื้อหาหนังสือจากปกของหนังสือถ่ายเดียว คนที่ตัดสินคนจากรูปแบบภายนอกเช่นนี้ ยังมีระดับปัญญา ที่ไม่ได้พัฒนามากนัก ยังเป็นชั้นอนุบาลอยู่

 คนที่เข้าถึงธรรมที่แท้จริง ก็ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรให้ใครรู้หรอก แค่ตัวเองรับประกันตัวเองได้เท่านั้น ก็เพียงพอแล้ว หากไม่ได้มีของจริงอยู่ในตัว วันเวลาเท่านั้นแหละ ที่จะเปิดเผยความกลวงของตนเองออกมา

 แต่ก็อยากสรุปว่า คนเข้าถึงธรรมที่แท้จริงนั้น จะมีความพอใจกับงานในชีวิตประจำวันกันทั้งนั้น ซึ่งคนธรรมดาเดินถนนทั่วไป ก็สามารถสัมผัสกับความรู้สึกธรรมดาเช่นนี้ได้ทั้งนั้น เพียงแต่ต้องมาศึกษาธรรม ให้มีสัมมาทิฏฐิอย่างแท้จริงก่อน เมื่อเข้าสู่ภาคปฏิบัติ ก็จะสัมผัสกับความธรรมดาที่ตนเองได้มีอยู่ก่อนหน้าแล้ว

 การไปนิพพาน (เมืองธรรมดา) จึงไม่ใช่เป็นเรื่องยาก ด้วยสาเหตุนี้ จึงอยากบอกคนที่ยังติดใน "ความมีความเป็น" กับ "ความไม่มีไม่เป็น" ว่า อย่าไปทำเรื่องง่าย ให้เป็นเรื่องยาก การไปนิพพานไม่ใช่เรื่องยาก และคนเดินถนนทั่วไป โดยเฉพาะแม่บ้านทั้งหลาย ก็ยังสามารถไปนิพพานได้ ในขณะที่ยังใช้ชีวิตประจำวันดูแลครอบครัวของตนเองอยู่

 ไม่จำเป็นต้องเข้าวัด และบวชเท่านั้น
0 อ.ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน 0

 วันศุกร์ที่ ๑๘ ธันวาคมนี้ ขอเชิญร่วมงานเปิดตัวหนังสือ "เส้นปกติของชีวิต" โดย อ.ศุภวรรณ กรีน ที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ อาคารจตุรัสจามจุรี ชั้น ๔ เวลา ๑๔.๐๐-๑๕.๓๐ น. (ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ)
 และร่วมฟังการเสวนาเรื่อง วิเคราะห์การล่มสลายของเศรษฐกิจทุนนิยม สู่การดำเนินชีวิตบน "เส้นปกติที่แท้จริง" จากมุมมองของพุทธศาสนา โดย อ.ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน (ผู้เขียนหนังสือเรื่อง "ไอน์สไตน์ถาม พระพุทธเจ้าตอบ" และชุดการ์ตูนธรรมะ ปฏิบัติการไล่หนูออกจากบ้าน เล่ม ๑-๓)
 ผู้ร่วมเสวนา คุณล้วนชาย ว่องวานิช ประธานกรรมการบริหาร จีรัง เฮลธ์ วิลเลจ ดำเนินรายการโดย คุณเฉลิมพร ตันติกาญจนากุล พิธีกรมันนี่ แชนแนล สอบถามได้ที่โทร.๐-๒๒๑๘-๙๘๙๓-๕, ๐-๒๒๕๕-๔๔๓๓ หรือที่ www.chulabook.com หรือที่ อ.ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน (http://www.supawangreen.in.th) โทร.๐๘-๙๐๑๙-๕๖๕๖