พระเครื่อง

เสด็จพ่อ ร.๕ 
เรื่องของ...พลังศรัทธาและค่านิยม

เสด็จพ่อ ร.๕ เรื่องของ...พลังศรัทธาและค่านิยม

23 ต.ค. 2552

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงสร้างและสถาปนาพระอารามหลายแห่ง เช่น ทรงสร้างวัดราชบพิตร วัดเทพศิรินทร์ และวัดเบญจมบพิตร เป็นต้น นอกจากนี้ยังทรงสร้างพระบาลีไตรปิฎก เป็นภาษาไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ เป็นครั้งแรก ขณะเดียวกันได้จัดให้มีการสอบไ

 แม้พระองค์ท่านเสด็จสวรรคตจะล่วงเลยมา ๑๐๐ ปี (เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๓) แต่บารมีและพลังศรัทธาของพสกนิการชาวไทยที่มีต่อพระองค์ท่านมิได้ลดลงแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันพระองค์ท่านยังแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้ผู้ที่นับถือประจักษ์ต่อสายตาต่างๆ นานา ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หน่วยงานราชการ ภาคเอกชน รวมทั้งวัดต่างๆ ได้จัดสร้างพระบรมรูปของพระองค์ท่านเพื่อให้พสกนิการชาวไทยไว้สักการบูชา

 อ.ราม วัชรประดิษฐ์ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร บอกว่า คติเรื่องความเชื่อในอำนาจตามธรรมชาติและอำนาจเหนือธรรมชาติผูกพันกับสังคมไทยมาช้านาน อยู่บนพื้นฐานความเชื่อในเรื่องผีก่อนพัฒนามาเป็นเทพเจ้าเมื่อรับอิทธิพลของศาสนาฮินดูหรือพราหมณ์ และพุทธศาสนาบางนิกาย ผีในความเชื่อของสังคมไทยโบราณแบ่งเป็น-ผีวีรบุรุษ คือ ผู้กล้า เจ้าเมือง ผู้ปกครอง กษัตริย์ที่ในขณะมีชีวีตประกอบภารกิจอันทรงคุณค่า และคุ้มครองป้องกันภัยประชาชน-ผีบรรพบุรุษ คือ ผีที่เป็นโคตร ตระกูล หรือผูกพันเป็นเครือญาติ ผีอารักษ์ คือ ผีที่คอยคุ้มครองป้องกันภัย เช่น เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทาง พระภูมิ ผีบ้านผีเรือน และผีร้าย คือผีที่คอยให้โทษจ้องทำร้ายผู้คน ลักษณะของความเชื่อเกี่ยวกับ ร.๕ ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่พระองค์ทรงเป็นวีรบุรุษผู้กล้า

 ส่วนคติที่เชื่อว่ากษัตริย์เป็นเทพเจ้าสยามได้รับจากคติฮินดูโดยผ่านทางขอมตั้งแต่ต้นอยุธยาเรื่อยมา โดยเชื่อว่ากษัตริย์เป็นสมมติเทพ หรือเทวราชา หมายถึง ไม่ใช่คนธรรมดา หากแต่เป็นองค์อวตารจากทวยเทพ ในความเชื่อแบบฮินดู กษัตริย์เริ่มแสดงว่าพระองค์ คือ เทพ ไม่ใช่ บริวารของเทพ แต่เพียงอย่างเดียวโดยปรากฏตั้งแต่สมัยพระเจ้ายโศวรมันที่ ๑ ผู้สร้าง "ยโศธรปุระ" อันเป็นต้นกำเนิดของยุคทางประวัติศาสตร์ขอม "Pre Angkorian Period" หรือ "เขมรสมัยเมืองพระนคร" โดยรวมร่างพระองค์กับเทพเจ้าคือพรศิวะเรียกว่า "ยโศธเรศวร" (ยโสวรมัน บวก อิศวร)

 ดังนั้นจึงพบศิวลึงค์จำหลักรูป พระเจ้ายโศวรมันที่ ๑ ไว้ที่ปลายลึงค์ด้วย คติการรวมร่างกษัตริย์กับเทพเจ้านี้ ได้รับการยอมรับในสยามเรื่อยมา ทำให้กษัตริย์มีฐานะเป็นเทพ ตั้งแต่ยังทรงพระชนม์อยู่ และเมื่อสิ้นพระชนม์ก็เสด็จกลับไปยังเขาพระสุเมรุอันเป็นแกนกลางของจักรวาลดำรงฐานะเป็นองค์เทพอย่างสมบูรณ์ตลอดไป

  อ.ราม ยังบอกด้วยว่า คติความเชื่อที่ ร.๕ มีลักษณะเป็นเทพในหัวใจชาวไทยนั้น เกิดจากองค์ประกอบหลายประการ เช่น พระองค์ทรงเป็นองค์กษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถ ปกป้องบ้านเมืองพสกนิการจากการคุกคามของตะวันตก ปฏิรูปการปกครองประเทศและรวมสยามให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมทั้งปลดปล่อยทาสให้เป็นไทย จนได้รับพระราชสมัญญานามว่า "สมเด็จพระปิยมหาราช" แปลว่า "พระราชาอันเป็นที่รักแห่งราษฎร" สาเหตุต่างๆ เหล่านี้ ทำให้พระองค์มีลักษณะเป็น "บุคลาธิษฐาน" หรือบุคคลในจินตนาการหรือบุคคลในมโนคติแห่งการอธิษฐานเพื่อขอพรให้พระบารมีแห่งพระองค์ได้ปกป้องคุ้มครองและอำนวยชัย จนพระองค์มีฐานะเป็นเทพในหัวใจของชาวไทยทั้งมวลในที่สุด

 อย่างไรก็ตามการ จัดสร้างพระบรมรูป ร.๕ เพื่อเป็นที่สักการบูชาส่วนใหญ่ที่พบทรงม้า ประทับยืน และครึ่งพระองค์ แต่ที่แปลกตาและไม่ค่อยบพเห็นคือ พระบรมรูป ร.๕ ลักษณะฉลองพระองค์ทรงเครื่องแบบเทวดา ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพลับพลาจัตุรมุข ของวัดปราโมทย์ หมู่ ๒ ต.บ้านปราโมทย์ อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี  พระราชธิดาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๖) เสด็จมาเททองหล่อ เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๑๓ ในสมัยที่พระครูปราโมทย์สมุทรคุณ หรือ หลวงพ่อสุยเป็นเจ้าอาวาส

  พระครูปลัดปริยัติวรวัฒน์ หรือหลวงพ่อเลิศ เจ้าอาวาสวัดปราโมทย์ บอกว่า พลังศรัทธาของพสกนิกรชาวไทยที่เดินทางมาไว้สักการบูชาและขอพรพระบรมรูป ร.๕ ที่วัดไม่แตกต่างจากพระบรมรูป ร.๕ ที่ประดิษฐานตามหน่วยงานต่างๆ ซึ่งจากการสอบถามผู้ที่เดินทางมาสักการะพบว่า ขอให้พระองค์ท่านช่วยทุกๆ เรื่อง หรือที่เรียกว่าของ ๑๐๘ นั้นแหละ ที่พบบ่อย เช่น ขอให้ขายที่ดินได้ ใครที่กำลังสอบก็ขอให้สอบเข้ารับราชการ ส่วนข้าราชการก็ขอให้ได้เลื่อนตำแหน่ง หรือย้ายไปหน่วยงานที่ดีขึ้น เป็นต้น จะสำเร็จไม่สำเร็จก็ตาม ผู้ศรัทธาจึงนำสิ่งของต่างๆ ไปบนบานศาลกล่าว เช่น ๑.น้ำมะพร้าวอ่อน ๒.กล้วยน้ำว้า ๓.ทองหยิบ ๔.ทองหยอด ๕.บรั่นดี  ๖.ซิการ์ ๗.ข้าวคลุกกะปิ และ ๘.ดอกกุหลาบสีชมพู

ค่านิยมมากปลอมมาก
 นายอรรถวัติ ศิริสิทธิธงไชย หรือ "บอย ท่าพระจันทร์" ผู้เชี่ยวชาญเหรียญพระคณาจารย์ของสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย บอกว่า เหรียญ ร.๕ ถือเป็นเหรียญยอดนิยมที่สุด ในบรรดาเหรียญที่ระลึกของบูรพมหากษัตริยาธิราชในอดีต โดยเฉพาะเหรียญที่ระลึกปราบฮ่อ" ถือเป็นเหรียญยอดนิยมที่สุดในบรรดาเหรียญที่ระลึกของ ร.๕ ด้วยความนิยมของเหรียญรุ่นดังกล่าวจึงมีการทำออกมาปลอมขายจำนวนมากเช่นกัน แต่ปัจจุบันเหลือประมาณ ๒-๒.๕ แสนบาทเท่านั้น ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพของเหรียญนั้นๆ

  นอกจากนี้แล้วเหรียญ ร.๕ ทุกรุ่นที่เป็นเนื้อทองคำก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เช่น เหรียญรัชมังคลาเนื้อทองคำ ค่านิยมไม่กว่า ๓ ล้านบาท เหรียญทรงม้า เนื้อบรอนซ์ ค่านิยมไม่ต่ำกว่า ๒ แสนบาท เหรียญหมูเนื้อเงินลงยา ไม่ต่ำว่า ๒ แสนบาท เหรียญครุฑรัชมงคล ร.ศ.๑๒๖ เนื้อทองคำค่านิยม ๕-๖ แสนบาท เหรียญเสมอ ร.๒ ร.ศ.๑๒๒ หรือ พ.ศ.๒๔๔๗ ค่านิยม ๕-๖ แสนบาท เหรียญรัชมังคลาภิเษก ร.ศ.๑๒๗ ค่านิยม ค่านิยมไม่ต่ำกว่า ๓ ล้านบาท ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพของเหรียญนั้นๆ ด้วย

 "เหรียญ ร.๕ ถือเป็นเหรียญที่ศึกษาค่อนข้างยาก เหตุที่ทำให้เหรียญ ร.๕ ค่านิยมลดลง เนื่องจากมีการทำปลอมออกมาใกล้เคียงกับของแท้มาก มีการทำปลอมหลากหลายฝีมือ ทั้งปลอมใหม่ปลอมเก่า ที่ฝีมือปลอมจัดๆ ก็มี การเช่าซื้อเหรียญ ร.๕ ที่เป็นของแท้ ต้องปรึกษาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญจริงๆ ที่ปลอมยอดนิยมมากที่สุดต้องยกให้เหรียญปราบฮ่อ เหรียญช้างสามเศียร ส่วนรุ่นอื่นๆ ก็มีปลอมไม่แพ้กัน โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่าระยะหนึ่งเหรียญ ร.๕ จะมีค่านิยมสูงและเป็นที่ต้องการของคนสะสมมากยิ่งขึ้น" บอย ท่าพระจันทร์ กล่าว

 "ผู้ที่เดินทางมาสักการะพบว่า ขอให้พระองค์ท่านช่วยทุกๆ เรื่อง หรือที่เรียกว่าขอ ๑๐๘ นั่นแหละ ที่พบบ่อย เช่น ขอให้ขายที่ดินได้ ขอให้ได้เลื่อนตำแหน่ง"

เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู"