
ร่วมบุญสร้าง 'พระมหาธาตุเจดีย์' กับ...หลวงปู่สุภา วัดสิลสุภาราม
พระมงคลวิสุทธิ (หลวงปู่สุภา กันตะสีโล) วัดสิลสุภาราม ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต เป็นศิษย์สายหลวงปู่สีทัตต์ ประเทศลาว และหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท
หลวงปู่สุภา ได้ธุดงค์แสวงหาวิชาอาคมจากครูบาอาจารย์ต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ มากมาย และได้สร้างวัดเพื่อสืบสานพุทธศาสนาถึง ๓๐ กว่าวัด
ปัจจุบัน หลวงปู่สุภา ได้ดำริสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ ๕ ชั้น โดยยอดเจดีย์ใช้ทองคำหนักประมาณ ๕ กิโลกรัม ส่วนพื้นที่ภายในพระมหาธาตุเจดีย์ ชั้นที่ ๑ เป็นสถานปฏิบัติธรรม สมาธิเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ชั้นที่ ๒ เป็นสถานที่จำวัดของหลวงปู่
ชั้นที่ ๓ เป็นสถานที่บรรจุอัฐิของหลวงปู่ ในกาลข้างหน้า เมื่อถึงวาระที่ท่านละสังขาร ชั้นที่ ๔ เป็นพิพิธภัณฑ์พระพุทธรูปต่างๆ ที่ญาติโยมศรัทธาถวายให้ ซึ่งประเมินค่ามิได้ ชั้นที่ ๕ เป็นที่บรรจุพระธาตุ ของล้ำค่าที่ท่านได้เก็บรักษาไว้
ผู้มีจิตศรัทธาร่วมสมทบทุนก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ สามารถบริจาคผ่านธนาคารกรุงไทย สาขาภูเก็ต บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ ๘๐๕-๐-๓๑๑๔๓-๐ บัญชี ชื่อบัญชี "พระมหาธาตุเจดีย์ วัดสีลสุภาราม"
ปัจจุบัน หลวงปู่สุภา อายุ ๑๑๕ ปี เดิมชื่อ "สุภา วงศ์ภาคำ" เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กันยายน ๒๔๓๘ ณ บ้านบ่อคำ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร โยมบิดาชื่อ ขุนพลภักดี ผู้ใหญ่บ้านคำบ่อ โยมมารดาชื่อ สอ วงศ์ภาคำ มีพี่น้องทั้งหมด ๘ คน
บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุ ๘ ขวบ ชีวิตในบรรพชิตของท่านเกินกว่ากึ่งหนึ่งใช้ไปกับการธุดงค์ และบำเพ็ญธรรมตามป่าเขาลำเนาไพร เป็นเวลากว่า ๔๕ ปี และเกือบทั้งหมดเป็นไปเพื่อปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง วิชาความรู้ในปฏิปทาจากประสบการณ์ของท่านมีมากมาย ทั้งทางโลก และทางธรรม
ในวัยหนุ่ม ท่านชอบเล่าเรียนศึกษา ได้ยินว่าที่ใดมีพระอาจารย์ผู้มีวิชาอาคม และวัตรปฏิบัติดี ท่านก็มักจะไปขอเล่าเรียนด้วย อาทิ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา หลวงพ่อทบ วัดชนแดน หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อโอภาสี ฯลฯ
ท่านออกธุดงค์จากภาคอีสาน สู่ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก จนมาถึง จ.ภูเก็ต
เนื่องจากในขณะที่หลวงปู่เจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในป่าในถ้ำบุหลันแดง เขาตะนาวศรี จ.กาญจนบุรี ได้มีเทพองค์หนึ่งมาบอกกับหลวงปู่ว่า ได้รับบัญชาจากเทพเบื้องสูงให้มาแจ้งกับหลวงปู่ว่า มีชนกลุ่มหนึ่งที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเลย มาเป็นพันๆ ปี มีแต่การกราบไหว้ผีสางนางไม้ วิญญาณต่างๆ ไม่มีผู้ใดที่สามารถเปลี่ยนจิตใจชนกลุ่มนี้ให้หันมานับถือศาสนาพุทธได้ มีแต่หลวงปู่รูปเดียวเท่านั้น ที่จะทำได้ จึงขอให้หลวงปู่เดินทางไปที่ จ.ภูเก็ต
หลวงปู่จึงได้เดินธุดงค์ตั้งแต่ปี ๒๕๐๐ ถึง จ.ภูเก็ต ปี ๒๕๐๑ จากนั้นท่านได้นำหลักธรรมคำสอน และวิธีการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า อบรมสั่งสอนแนะนำชมกลุ่มนั้น คือ "ชาวเล" หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า "กลุ่มชนไทยใหม่" อยู่ที่เกาะสิเหร่ ปัจจุบัน ชนกลุ่มนี้ได้หันมานับถือศาสนาพุทธอย่างมั่นคง
เนื่องจากการสร้าง "วัดเกาะสิเหร่" เป็นภาระที่หนักมาก และต้องหาทุนทรัพย์ ท่านจึงต้องเดินทางไปมาระหว่างกรุงเทพฯ และวัดเกาะสิเหร่ เป็นประจำ
ต่อมาหลวงปู่ได้พบกับฆราวาสจอมอาคม จากสำนักเขาอ้อ คือ อาจารย์ชุม ไชยคีรี และอาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร ซึ่งมีความศรัทธาในหลวงปู่มาก จึงให้การช่วยเหลือ โดยร่วมกันสร้างวัตถุมงคล "พระเสด็จกลับ" เพื่อนำปัจจัยสร้างวัดเกาะสิเหร่
ปัจจุบัน "พระเสด็จกลับ" เป็นที่นิยมของศิษยานุศิษย์อย่างกว้างขวาง และมีการเช่าบูชาในราคาแพง
เมื่อสร้างวัดเกาะสิเหร่สำเร็จแล้ว หลวงปู่สุภาได้ธุดงค์ขึ้นสู่ภาคเหนือ จนถึงค่ายทหารที่เขาค้อ สมัยที่ต้องต่อสู้กับพวก ผกค. หลวงปู่ได้พักอยู่ในค่ายทหาร เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ตลอดจนสร้างเครื่องรางของขลัง ให้แก่บรรดาทหารหาญ ไว้คุ้มครองภัยโดยทั่วกัน
หลังจากนั้น ท่านได้ธุดงค์กลับบ้านเกิดที่ จ.สกลนคร และออกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ จนกระทั่งกลับไปสู่ จ.ภูเก็ต อีกครั้งหนึ่ง บรรดาลูกศิษย์ที่เคยรู้จักกันมาก่อน จึงได้นิมนต์ขอให้หลวงปู่อยู่กับที่ โดยได้สร้างสำนักสงฆ์เทพขจรจิต (ตามชื่อเจ้าของที่ดิน) ขึ้นที่เขารัง เพื่อให้หลวงปู่ได้พำนักตลอดไป
หลวงปู่ได้พัฒนาสำนักสงฆ์ จนได้ยกฐานะขึ้นเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ
ต่อมา หลวงปู่ได้ดำริที่จะสร้างสถานปฏิบัติธรรม สำหรับแม่ชีที่มาบวชเรียน แต่สถานที่ที่เขารังคับแคบมาก จึงต้องหาสถานที่ตั้งวัดแห่งใหม่ บนเนื้อที่ ๓๘ ไร่ที่ ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต คือ วัดสิลสุภาราม (ได้รับพระราชทานชื่อวัดจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ)
ปัจจุบัน วัดสิลสุภาราม มีความเจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน โดยหลวงปู่ได้ทำหน้าที่สงเคราะห์ญาติโยมที่ได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าทางจิตใจ หรือแม้ผู้ที่ถูกคุณไสย ทั้งยังเป็นวิปัสสนาจารย์ อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ในการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ทั้งพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งมีอยู่มากมาย...ในทุกวันนี้
"บุญนำพา"