
ธวัชชัย ขำชะยันจะ ผู้ไล่ล่าหาข้อพิสูจน์...'คนระลึกชาติ'
"เมื่อ ๑๐ กว่าปีที่แล้ว ผมมีคำถามในใจว่า คนเราตายแล้วเกิดใหม่ได้จริงหรือ เกิดเป็นอะไรได้บ้าง คนเราสามารถระลึกชาติได้จริงหรือ แล้วทำไมเราจึงระลึกชาติไม่ได้ ศาสนาพุทธที่เรานับถือกันอยู่ทุกวันนี้ สอนในสิ่งที่เป็นความจริงแค่ไหน พวกเราถูกพ่อแม่ปลูกฝัง จนเราคล
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ นายธวัชชัย ขำชะยันจะ ออกไล่ล่าหาข้อพิสูจน์..."คนระลึกชาติ" เพื่อตอบคำถามทุกข้อ ที่ฝังลึกอยูในใจ
นายธวัชชัย บอกว่า ใช้เวลากว่า ๑ ปี ในการศึกษาข้อมูลที่หอสมุดแห่งชาติ ศึกษาทุกศาสนาอย่างจริงจัง จากหนังสือ ตำรา คัมภีร์ต่างๆ ทั้งไบเบิล อัลกุรอาน พระไตรปิฎก ศาสนาเปรียบเทียบ และลัทธิความเชื่ออื่นๆ อีกมาก ตอนนั้นเรียกได้ว่า แทบจะกินนอนอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี เลยทีเดียว
นายธวัชชัย บอกอีกว่า เมื่อศึกษาไป ก็พบความแตกต่างว่า มีบางศาสนาสอนเรื่องการเกิดใหม่ และการเวียนว่ายตายเกิด เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) มีบางศาสนาสอนว่า จะมีการเกิดอีกเพียงครั้งเดียวในวันพิพากษา เช่น ศาสนาฮีบรู (ยูดาย, ยิว) ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม
และมีบางศาสนา บางลัทธิความเชื่อ ก็ไม่พูดถึงชีวิตหลังความตาย หรือการเกิดใหม่เลย เช่น ลัทธิขงจื้อ เป็นต้น
ในที่สุด ก็เริ่มมีความโน้มเอียงมาทางศาสนาที่เชื่อเรื่องการเกิดใหม่ และการเวียนว่ายตายเกิด เนื่องจากเคยได้ร่วมพิสูจน์เด็กชายวัย ๒ ขวบคนนั้น ด้วยตัวเองมาก่อนแล้ว จึงยากที่จะปฏิเสธเรื่องนี้ แต่เพื่อความมั่นใจ จึงเริ่มค้นหาผลการศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการเกิดใหม่ การระลึกชาติได้ การจำอดีตชาติได้ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ มีเวลาก็เข้าไปฟังการบรรยายของชมรมต่างๆ เช่น ชมรมกฎแห่งกรรม (ที่ราชนาวีสโมสร) ชมรมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย (ที่โรงแรมรอยัล สนามหลวง) และอีกหลายชมรม หลายวัด ทั้งที่สอนอภิธรรม ทั้งที่สอนวิชาสารพัด มีหลายคนที่รู้จริง เป็นของจริง แต่ก็มีไม่น้อยที่หลุดโลก
เมื่อได้ข้อมูลมากพอสมควรในระดับหนึ่งแล้ว จึงตัดสินใจลงภาคสนามที่ หมู่บ้านตะคร้อ ต.ตะคร้อ อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ โดยตั้งใจจะไปสอบถามรายละเอียด สอบพยานแวดล้อม และพยานบุคคลที่รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เอาให้ชัดๆ ไปเลย
ตอนนั้น ตั้งใจว่าจะไปสอบถามเรื่องของเด็กที่มาอ้างว่า เป็นน้าของตนเองมาเกิดใหม่อีกครั้ง โดยกลับไปยังบ้านเกิดที่บ้านตะคร้อ อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ แต่ไม่พบเด็กคนนั้นแล้ว เพราะตัวเขาและครอบครัวพากันย้ายไปทำงานอยู่ที่พัทยากันหมดแล้ว นานๆ งานบุญ หรือเทศกาลจึงจะกลับมาบ้านสักครั้ง
“เพื่อไม่ให้เสียเที่ยว ผมจึงถามแม่ของผมเองว่า มีใครในหมู่บ้านเราที่ระลึกชาติได้บ้าง แม่ผมก็บอกว่า มีอยู่รายหนึ่งระลึกชาติได้ และบอกว่าเป็นใครมาเกิด ผมก็ไปยังบ้านที่แม่ผมบอก นั่นเป็นรายแรก ก็สอบถามไปจนพบตัว เด็กที่เขาบอกว่า ระลึกชาติได้ เมื่อสอบถามสัมภาษณ์เรื่องราวของเด็กคนนั้น สอบถามญาติที่เป็นพยานรู้เห็นก็จะมีคนในหมู่ญาติๆ พี่น้องที่ผมไปสอบถาม ได้บอกว่า ยังมีเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ระลึกชาติได้รายอื่นอีก เมื่อผมไปสอบถามรายอื่นอีก ก็จะได้เบาะแสเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ” นายธวัชชัยกล่าว พร้อมกับบอกด้วยว่า
จากการลงพื้นที่ ยังได้พบเบาะแสเบื้องต้นว่า มีผู้จำอดีตชาติได้เป็นจำนวนมาก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รวมแล้วมากกว่า ๔๐ ราย
ซึ่งข้อมูลที่ได้ มีทั้งข้อมูลที่เปิดเผยโดยทั่วไป และไม่เปิดเผย เนื่องจากผู้จำอดีตชาติได้บางรายพูดถึงอดีตชาติที่เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม การกระทำผิดกฎหมาย หรือการกระทำที่ผิดศีลธรรม ซึ่งผู้ปกครองและผู้ใกล้ชิดเกรงว่า ถ้าเรื่องราวถูกเปิดเผยออกไป จะก่อให้เกิดความอับอาย เกิดความเสียหาย หรือเกิดอันตรายกับผู้ที่จำอดีตชาติได้ และครอบครัว
แต่ด้วยความไว้วางใจว่า เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน และเห็นแก่ประโยชน์ที่จะได้จากการเผยแพร่เรื่องราวเหล่านี้ ผู้ปกครองของเด็กที่จำอดีตชาติได้ จึงยอมเปิดเผยเรื่องราวด้วยความสมัครใจ
โดยได้เก็บข้อมูลตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ เพื่อสัมภาษณ์และเก็บข้อมูลจากผู้ที่จำอดีตชาติได้ คนใกล้ชิด พยานบุคคล และพยานหลักฐานแวดล้อม ที่เกี่ยวข้องต่างๆ จนได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง
และเมื่อนำกรณีศึกษาทั้งหมด มาวิเคราะห์ ก็พบรูปแบบความสัมพันธ์ที่น่าสนใจ ระหว่างอดีตชาติและปัจจุบันชาติ เกี่ยวกับ ความฝันบอกเหตุ การป้ายศพ ปาน รอยแผลเป็นที่มีมาตั้งแต่กำเนิด และลักษณะความผิดปกติที่สืบเนื่องจากอดีตชาติ
จากการรวบรวมข้อมูลเฉพาะในหมู่บ้านตะคร้อ มีผู้ที่ระลึกชาติได้มากกว่า ๔๐ คน มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ตอนนั้น สนใจที่จะสอบถามสัมภาษณ์เฉพาะเด็กที่ยังจำอดีตชาติได้ และรายที่มีพยานยืนยันชัดเจน คือ ขณะที่ไปสอบถามเขาก็ยังระลึกชาติได้ หรือมีพยานรู้เห็น และพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องยังมีชีวิตอยู่ก่อนมากกว่า ๑๐๐ คน
นอกจากนี้แล้ว นายธวัชชัยยังรวบรวมข้อมูลผู้ที่จำอดีตชาติได้ในประเทศไทย ที่ยังมีอยู่อีกมาก แต่ยังไม่เคยมีใครทำการศึกษาวิจัยในเชิงวิชาการเลย
ที่ผ่านมามี ศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ และผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่าน สนใจที่จะทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พวกเขามีงานประจำอยู่แล้ว มีเวลาน้อย และที่สำคัญคือ ยังไม่มีใครสนับสนุนให้ทุนในการทำศึกษาวิจัย ไม่มีสถาบันรองรับ ไม่มีเงินเดือนประจำ ไม่มีรายได้ในระดับสามารถที่จะลาออกจากงานประจำมาทำการศึกษาวิจัยเรื่องนี้อย่างจริงจัง เต็มเวลา
หากอนาคต มีผู้ที่พอมีเงิน และเห็นคุณค่าของการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ สนใจที่จะสนับสนุนทุนในการศึกษาวิจัย เพื่อประโยชน์กับลูกหลาน และมวลมนุษยชาติในกาลข้างหน้า
ทั้งนี้ นายธวัชชัย พูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า "สิ่งต่างๆ ดังกล่าว มีความสัมพันธ์กันระหว่างปัจจุบันชาติ อดีตชาติ อย่างเป็นรูปธรรม และมีเหตุมีผล รวมถึงการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อ และความเข้าใจในมุมมองของผู้ที่ได้ประสบเหตุการณ์ หรือผู้ที่ได้ทำการพิสูจน์ด้วยตัวเอง ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การหาคำตอบเรื่องคนจำอดีตชาติ อย่างน้อยก็ทำให้เกิดความเห็นความเชื่อ ที่ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ชีวิตภายหลังความตาย หรือชาติหน้านั้น มีอยู่ จะได้เริ่มวางแผนวางจุดมุ่งหมายในชีวิตได้อย่างถูกต้อง ไม่หลงทาง และใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ทำให้ผู้ที่กำลังคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วอยู่ ได้เกิดความละอาย และความเกรงกลัวต่อบาป หรือทำให้ผู้ที่กำลังท้อแท้ ในการทำความดีอยู่ ได้มีกำลังใจว่า ผลของการทำความดีของท่าน จะไม่เป็นหมัน ถึงแม้ว่า บางสิ่งจะยังไม่เห็นผลในชาตินี้ก็ตาม"
ตำหนิที่ติดมาแต่อดีตชาติ
จากการศึกษารวบรวมข้อมูลของคนระลึกชาติได้ นั้น สิ่งหนึ่งที่นายธวัชชัยพบของผู้ที่ระลึกชาติได้ คือ ตำหนิบนผิวหนัง ที่มีมาตั้งแต่แรกเกิดของคนเรานั้น ในทางการแพทย์พบว่า มีอยู่หลายลักษณะ แต่ที่จะกล่าวถึงในที่นี้ เป็นรอยตำหนิที่มีมาตั้งแต่แรกเกิด ที่มีลักษณะและตำแหน่งตรงกันกับบาดแผล และรอยลักษณะอื่นๆ ของผู้เสียชีวิต ที่ผู้จำอดีตชาติได้ยืนยันว่า เป็นตัวของเขาในอดีตชาติ (Birthmarks Corresponding to Wounds or Other Marks on Deceased Person)
โดยเฉพาะลักษณะรอยตำหนิที่พบในกรณีศึกษาผู้จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ รายในที่นี้ ได้แก่ รอยแผลเป็น ปาน หรือรอยผื่นแดง ตั้งแต่แรกเกิด ที่ตรงกันกับบาดแผล รอยป้ายศพ หรือรอยลักษณะอื่นๆ ของผู้เสียชีวิต ที่ผู้จำอดีตชาติได้ยืนยันว่า เป็นตัวของเขาในอดีตชาติ
รอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิด ที่ตรงกันกับบาดแผลของผู้เสียชีวิต (Scars Corresponding to Wounds on Deceased Persons) จากข้อมูลเรื่องราวของผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ ราย มีกรณีของเด็กที่จำอดีตชาติได้ ๔ ราย คือ รายของ นายเทเวศน์ เรียบสัมพันธ์ นายนพพร ใจเร็ว นางเสงี่ยม นันกลาง และ ด.ช.วัชระ ใจเร็ว ที่นอกจากพวกเขาจะพูด และแสดงออกถึงความทรงจำในอดีตชาติให้หลายๆ คนได้ประจักษ์แล้ว พวกเขายังมีรอยแผลเป็น ตั้งแต่แรกเกิด ตรงกันกับลักษณะและตำแหน่งบาดแผลของผู้เสียชีวิต ที่พวกเขายืนยันว่า เป็นตัวของเขาในอดีตชาติอีกด้วย
นอกจากนี้ที่สำคัญ คือ ไม่ใช่ตรงกันแค่เพียงแห่งเดียว ในที่นี้มี ๓ ราย ที่มีรอยแผลเป็น และลักษณะความผิดปกติอื่นๆ ตั้งแต่แรกเกิด ที่ตรงกันกับลักษณะ และตำแหน่งบาดแผลของผู้เสียชีวิต มากกว่า ๑ แห่ง คือ กรณีของ ด.ช.นพพร ที่มีรอยแผลเป็นที่ศีรษะด้านหลัง ๑ แห่ง มีติ่งเนื้อคล้ายเนื้องอกในปาก บริเวณกระพุ้งแก้มด้านขวา ๑ แห่ง และใบหูด้านขวา พับเข้าผิดปกติคล้ายกับใบหูขาด
กรณีของ นายเทเวศน์ ที่มีรอยแผลเป็นที่ศีรษะ ด้านหลัง ๑ แห่ง และที่ใต้ราวนมด้านขวา ๑ แห่ง
ลักษณะดังกล่าวนี้ จากการศึกษาพบว่า ไม่ได้มีเฉพาะกรณีศึกษาผู้จำอดีตชาติได้ในประเทศไทย ในศาสนาพุทธ หรือในประเทศที่มีความเชื่อในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้น
คณะที่ทำการศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้หลายคณะ ในหลายประเทศทั่วโลก ก็พบเด็กในศาสนา หรือในความเชื่ออื่นๆ ที่จำอดีตชาติได้ และมีรอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิด ตรงกันกับบาดแผลของผู้เสียชีวิตจำนวนมากเช่นกัน
บางกรณี มีหลักฐานทางนิติเวช หรือบันทึกทางการแพทย์ยืนยันความตรงกันอย่างชัดเจน ทำให้ในปัจจุบันนี้ คณะที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผู้ที่จำอดีตชาติได้ในหลายประเทศ กำลังให้ความสนใจที่จะศึกษาวิจัยเจาะลึกเกี่ยวกับกรณีของรอยตำหนิ ตั้งแต่แรกเกิด ลักษณะดังกล่าวนี้เป็นพิเศษ
รอยตำหนิและความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิดของผู้ที่จำอดีตชาติได้ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอดีตชาตินี้เอง ทำให้นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ สามารถทำการติดตามศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ ได้ตั้งแต่แรกเกิดแล้ว
โดยการสังเกตจากรอยแผลเป็นที่มีมาตั้งแต่แรกเกิดของเด็ก ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา พบว่า ผู้ที่มีแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิดเกือบทุกราย จะจำอดีตชาติได้ด้วย
มีบางรายเท่านั้น ที่ไม่มีข้อมูลเพียงพอ เนื่องจากเด็กที่จำอดีตชาติได้ เป็นเด็กที่ไม่ค่อยพูด จึงไม่ได้พูดอะไรให้ฟังมากพอที่จะสืบหาที่มาที่ไปของรอยแผลเป็นนั้นๆ ได้
"การหาคำตอบเรื่องคนจำอดีตชาติ อย่างน้อยก็ทำให้เกิดความเห็นความเชื่อที่ถูกต้องตามความเป็นจริงว่าชีวิตภายหลังความตายหรือชาติหน้านั้นมีอยู่ จะได้เริ่มวางแผนวางจุดมุ่งหมายในชีวิตได้อย่างถูกต้องไม่หลงทางและใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท..."
เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู"