พระเครื่อง

หลวงพ่อเลิศวัดปราโมทย์พระเกจิอาจารย์ที่เป็น'เจ้าคณะอำเภอ'

หลวงพ่อเลิศวัดปราโมทย์พระเกจิอาจารย์ที่เป็น'เจ้าคณะอำเภอ'

24 พ.ย. 2558

หลวงพ่อเลิศวัดปราโมทย์พระเกจิอาจารย์ที่เป็น'เจ้าคณะอำเภอ' : เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู

             วัดปราโมทย์ อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม เขตติดต่อกับ อ.วัดเพลง จ.ราชบุรี โดยมี พระศรีอาริยเมตไตรย หรือ หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่มีอายุกว่า ๑๘๐ ปี ปัจจุบันมีพระครูปลัดปริยัตวรวัฒน์ หรือที่เราเรียกท่านจนติดปากว่า หลวงพ่อเลิศ เป็นเจ้าอาวาส นอกจากนี้แล้วท่านยังได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอบางคนทีอีกด้วย

              ทุกวันนี้ถึงแม้ว่าหลวงพ่อเลิศจะมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะอำเภอ แต่ท่านก็ยังปฏิบัติตนเหมือนเดิม นอนดึกตื่นเช้าเพื่อปฏิบัติกิจของสงฆ์ ตรวจตราบริเวณวัด ปัดกวาดใบไม้เพื่อความสะอาดตาแก่ผู้พบเห็น ทำวัตรเช้า-เย็นเป็นกิจวัตร เช่นเดียวกับพระลูกวัดรูปอื่นๆ รวมทั้งจัดทำพิธี “ลอยเคราะห์ตัดกรรมรับโชค” ให้แก่ญาติโยมที่เดินทางไปถึงวัดจะกี่คนก็ตาม ถือว่าเป็นเจ้าคณะอำเภอต้นแบบของวงการปกครองคณะสงฆ์

             หลวงพ่อเลิศเป็นพระไม่หยุดนิ่งในการ “พัฒนาวัด พัฒนาคน และพัฒนาโรงเรียน” มีมุมมองที่กว้างไกล ส่งผลให้วัดปราโมทย์มีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นตามลำดับ เป็นวัดที่สวยงาม จัดระเบียบวัดได้ดีมาก จากสิ่งก่อสร้างภายในบริเวณวัด แสดงให้เห็นว่าปัจจัยทุกบาททุกสตางค์ที่พุทธศาสนิกชนทำบุญให้แก่วัดนั้น ได้ถ่ายทอดลงสู่สิ่งก่อสร้าง ที่แลเป็นประจักษ์สายตาแก่ผู้มาชมและผู้บำเพ็ญกุศลทั่ว

             สำหรับวิธีดึงคนเข้าวัด สร้างความศรัทธา รวมทั้งเผยแผ่ธรรมของพระพุทธเจ้าของพระแต่ละรูปนั้น หลวงพ่อเลิศ บอกว่า ไม่เหมือนกัน บางวัดใช้ศาสนสถาน ใช้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ใช้วัตถุมงคล บางรูปใช้การสงเคราะห์ รวมกิจกรรมทางศาสนาอื่น สุดแล้วแต่พระรูปใดจะถนัดทางใด เมื่อคนเข้าวัดพระต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนได้ธรรมะติดตัวกลับไปด้วย

             อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ได้รับการตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอว่า หลวงพ่อเลิศได้ตั้งปณิธานไว้มุ่งเน้นพัฒนาวัด ๒๓ แห่งในอำเภอ ให้สอดคล้องกับคำว่า “บวร” ซึ่งเกิดจากการนำอักษร ๓ ตัว ซึ่งล้วนมีความหมายในตัวเอง เป็นความหมายที่ผูกพัน และคุ้นเคยตลอดมา เริ่มจาก ๑.บ ใบไม้ แทนความหมายด้วยคำว่า “บ้าน” ๒. ว แหวน แทนความหมายด้วยคำว่า “วัด” และ ๔. ร เรือ แทนความหมายด้วยคำว่า “โรงเรียน” ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างบ้าน วัด และโรงเรียน ผูกพันกันมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว

             เมื่อได้รับแต่ตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอ หลวงพ่อเลิศได้ส่งเสริมให้มีการสอบนักธรรม ธรรมศึกษา และสอบพระนวกะ โดยจัดให้วัดปราโมทย์เป็นสนามสอบ และโครงการหนึ่งที่ท่านกำลังดำเนินการก่อสร้าง คือ อาคารหอประชุม เพื่อใช้เป็นสนามสอบธรรม สถานที่อบรมพระเณร ร่วมใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับประชาชน โดยก่อนหน้านี้ได้สร้างอาคารทรงไทยเพื่อทำเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นโดยเฉพาะประวัติของวัดเมื่อครั้งยังชื่อ “วัดโรงหวี” ด้วยงบประมาณกว่า ๑๐ ล้านบาท


ทำบุญกับพระอรหันต์ที่บ้านก่อน
            

             “พิธีตัดผมลอยเคราะห์รับโชค” ที่จัดโดยหลวงพ่อเลิศนั้น เป็นพิธีกรรมหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากพุทธศาสนิกชนอย่างล้นหลาม ในวันธรรมดาผู้เดินทางไปร่วมพิธีอาจจะอยู่ในหลักร้อย แต่ถ้าเป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์ อาจจะเป็นพันคน โดยท่านจะทำพิธีกรรมเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น วันพฤหัสบดี-อาทิตย์ มี ๓ รอบ คือ เวลา ๐๗.๐๐ น. ๐๙.๐๐น. และ ๑๑.๐๐ น. ส่วนวันจันทร์-พุธ มี ๒ รอบ คือ เวลา ๐๗.๐๐ น. และ  ๐๙.๐๐ น.

             ระหว่างพิธีกรรมตัดผมลอยเคราะห์ หลวงพ่อเลิศจะเทศน์สั้นๆ ประมาณ ๓-๕ นาที คนตั้งใจฟังอย่างเงียบกริบ เพราะอยู่ระหว่างในพิธีกรรม เท่ากับได้รับธรรมะไปเต็มๆ ธรรมสั้นๆ ง่ายๆ คนจำได้และนำไปปฏิบัติ ถือว่าพระประสบความสำเร็จในการเทศน์ และจะสำเร็จยิ่งขึ้นก็ต่อเมื่อญาติโยมนำไปปฏิบัติ โดยเฉพาะ “พระคุณพ่อแม่ และความกตัญญูต่อผู้มีอุปการคุณ”

             ทั้งนี้ จะบอกทุกครั้งว่า ทางพระพุทธศาสนาถือว่าแม่เป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ปฏิบัติตนเสมอเหมือนกับพระอรหันต์ กล่าวคือ พระอรหันต์คือผู้ที่หนีไกลพ้นจากกิเลส คือ ความเกลียด ความโกรธ ความโลภ ความหลง แม่ทุกคนในโลกนี้ก็ไม่มีพฤติกรรมร้ายๆ กับลูกไม่ว่าจะเป็นความเกลียด ความโกรธ ความโลภ ความหลง กิเลสเหล่านี้มนุษย์หลายคนละได้ยาก แต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ละ และห่างไกลได้ ดังนั้นแม่จึงมีฐานะเทียบเท่าพระอรหันต์ในทางพระพุทธศาสนา กล่าวคือ เป็นผู้สูงส่งเทียบชั้นได้กับพระอริยบุคคล

             แม่ถือว่าเป็นบูรพาจารย์ (ครูคนแรก) ของลูก เพราะเป็นผู้หญิงคนแรกที่สอนให้ยืน ฝึกหัดให้นั่ง ฝึกให้กลืนข้าว ทั้งยังสอนให้เรียกชื่อญาติก่อนที่ครูคนอื่นในโรงเรียนจะสอนให้ ดังนั้นเมื่อมองจากพฤติกรรมที่แสดงออกกับลูก “แม่” จึงถือว่าเป็นพระอรหันต์ในบ้านได้ แม่เป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกที่มนุษย์ทุกคนเมื่อแรกเกิด จะต้องอยู่ในอ้อมอกและดื่มน้ำนมจากอก เพราะฉะนั้น แม่จึงเป็นคนสำคัญกับชีวิตมนุษย์ทุกคน

             “อย่ามาทำบุญถวายสังฆทานให้อาตมา หากยังคงปล่อยให้พ่อแม่อดอยาก อย่ามาทำบุญสร้างวัดปราโมทย์หากสร้างบ้านให้พ่อแม่ไม่ดี ต่อให้ญาติโยมเดินสายไหว้พระทุกวัดทั่วประเทศ ขอพรจากพระทุกรูป ไม่สำคัญเท่ากับบุญที่ได้จากการทำบุญและขอพรจากพ่อแม่ สมญาของพ่อแม่นั้น กล่าวกันว่าท่านเป็นทั้งพรหมของลูก เทวดาคนแรกของลูก ครูคนแรกของลูก และเป็นพระอรหันต์ของลูก” หลวงพ่อเลิศกล่าว

มหามงคลแห่ง... “นะโมตัสสะฯ ”

             ระหว่าง "พิธีตัดผมลอยเคราะห์รับโชค" อย่างไรก็ตาม หากใครได้ไปทำมากกว่า ๒ ครั้ง สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากการประกอบพิธีของพระและวัดทั่วๆ ไป คือ "ระหว่างที่ผู้ร่วมฟังบทสดมนต์ท่องคาถาของหลวงพ่อเลิศอย่างตั้งใจนั้น ท่านจะอธิบายความสำคัญของคาถาที่บริกรรมเสกให้ญาติโยมอย่างน้อย ๑ บท

             คาถาบทหนึ่งที่หลวงพ่อเลิศมักบอกให้ผู้มาร่วมพิธีลอยเคราะห์ตัดกรรมรับโชค คือ “คาถาคารวะพระพุทธเจ้า” หรือ “คำบูชาพระบรมศาสดา” ที่ว่า “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ” โดยให้สวดก่อนนอน ๓ จบ จะมีพุทธคุณ คือ ๑.ทำให้หลับลึก หลับสนิท ๒.ผีไม่อำ และ ๓.หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นระหว่างหลับ เช่น ไฟไหม้ โจรปล้น จะมีคนมาปลุก

             “นะโม” แปลว่า พระผู้มีพระภาคทรงเป็นใหญ่กว่ามนุษย์ เทพยดา พรหม มาร ยักษ์ และสัตว์ทั้งปวง

             “ตัสสะ” แปลว่า ขอบูชา ขอนอบน้อม ขอนมัสการ

             “ภะคะวะโต” แปลว่า พระผู้มีพระภาคทรงเป็นผู้จำแนกธรรมอันยิ่ง อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า

             “อะระหะโต” แปลว่า อรหันต์ เป็นผู้ไกลจากกิเลส ไกลจากเครื่องข้องทั้งปวง

              “สัมมาสัมพุทธัสสะ” แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยพระองค์เอง ทรงรู้ดี รู้จริง รู้ยิ่งกว่าผู้รู้อื่นใด

              “คาถาคารวะพระพุทธเจ้า” เป็นพระคาถามีปรากฏอยู่ในคาถามงคลร้อยแปด ที่พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายพิจารณาเห็นว่า อักษรทั้ง ๕ บทนี้ แต่ละบท ล้วนเป็นคำกล่าวนมัสการทั้งสิ้น จึงได้ประมวลเข้าไว้เป็นบทเดียวกัน รวมเป็นบทเดียวว่า “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ” แปลโดยรวมว่า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง