พระเครื่อง

‘พระเทพโพธิวิเทศ (วีระยุทฺโธ)’กล่าวปาฐกถาธรรมที่กัมพูชา

‘พระเทพโพธิวิเทศ (วีระยุทฺโธ)’กล่าวปาฐกถาธรรมที่กัมพูชา

17 ก.ย. 2558

‘พระเทพโพธิวิเทศ (วีระยุทฺโธ)’กล่าวปาฐกถาธรรมที่กัมพูชา

             เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๘ เวลา ๑๓.๐๐ น. ที่โรงแรมโซฟิเทล อังกอร์ โภคีธรา กอล์ฟ แอนด์สปา รีสอร์ท จ.เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา พระเดชพระคุณ พระเทพโพธิวิเทศ (วีระยุทฺโธ) ผู้อำนวยการหลักสูตร สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย หัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล กล่าวปาฐกถาในงานเสวนา “พุทธพลิกสุวรรณภูมิ : สามัคคีธรรม แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ปฏิเวธธรรม นำสุวรรณภูมิเรืองรอง” โดยมีพระธรรมทูตจาก ๕ ประเทศ ไทย พม่า เวียดนาม กัมพูชา และลาว เข้าร่วมงานเสวนา จัดโดยสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย มูลนิธิวีระภุชงค์

             พระเดชพระคุณ พระเทพโพธิวิเทศ (วีระยุทฺโธ) กล่าวว่า พวกเราชาวโพธิทุกท่านล้วนแต่เป็นผู้ที่มีศรัทธา ศรัทธาที่ตั้งมั่นในบุคคลหนึ่ง ซึ่งเป็นบุคคลเอกของโลก คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงช่วยกันสานงานต่อจากพระหัตถ์ของพระบรมศาสดา อันเป็นผู้ก่อตั้งพระศาสนา ไม่ทิ้งพระศาสดาต้องอยู่เพียงลำพัง จึงให้การอุปถัมภ์พระสงฆ์ด้วยสติปัญญา โดยการหอบเอาพระสงฆ์จากสุวรรณภูมิไปเพิ่มศรัทธา เติมปัญญา ที่แดนพุทธภูมิ เสริมสร้างความแข็งแกร่ง ย้อนยุค ปลุกอุดมการณ์ ดูงานพระอริยสงฆ์ สานตรงต่อพุทธปณิธาน

             ทำให้พระสงฆ์ที่ไปศึกษาและปฏิบัติเชิงลึก ณ แดนพุทธภูมิ ได้ดวงตาเห็นธรรม ซึ่งการเห็นธรรม คือ การเห็นทุกอย่างเป็นธรรม เห็นทุกอย่างเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ และเห็นทุกอย่างเพื่อนำไปสู่ปัญญา เมื่อมีปัญญาแล้วก็นำปัญญานี้กลับมารับใช้พระศาสดา ผู้ก่อตั้งพระศาสนา

             การประชุมร่วมมือกันครั้งนี้ ๑.ต้องจับหลักคิดจากสิ่งที่ได้ (จินตามยปัญญา) ๒.ต้องจับหลักของการศึกษาเป็นสำคัญ (สุตมยปัญญา) ๓.นำสิ่งที่ได้อันเป็นปัญญาเพื่อไปพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อไป (ภาวนามยปัญญา)

             แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง จะมองเห็นได้ก็ด้วยความสามัคคี อันเป็นธรรมที่เกิดจากการศึกษา ต้องมองให้ถึงความเปลี่ยนแปลงว่า สิ่งใดเจริญ สิ่งนั้นต้องกลับมากับความเสื่อม เพียงอำนาจอย่างเดียวที่จะเอาชนะความเสื่อมได้ คือ อำนาจของพระธรรมจักร ซึ่งอำนาจของพระธรรมจักรนี้เองที่จะสามารถประคับประคองอาณาจักร ทำให้ศาสนจักรเสื่อมได้ช้าลง และพบกับความเจริญรุ่งเรืองได้มากที่สุด

             สิ่งที่จะทำให้เกิดสามัคคีได้อย่างแท้จริง คือ การหยุดสามัคคีเภท คือ ความแตกแยก โดยเฉพาะระหว่างพุทธกับพุทธด้วยกัน หยุดการทิ่มแทงกันเอง เรื่องนี้จำเป็นที่พระนักเผยแผ่ทุกรูปต้องทำการบ้านให้หนัก สิ่งที่โยมคาดหวังจะได้เห็นจากพระธรรมทูตเรา คือ ผลจากการปฏิบัติงานที่เรียกว่า ปฏิเวธ ว่าเรามีธรรมะ หรือมีเพียงแค่ทำท่า ซึ่งพวกเราก็ได้แสดงให้ญาติโยมได้เห็น และทำให้ชื่นใจแล้วว่า พวกเรามีธรรมะ คืนกลับสู่สังคมจริงๆ

             นักเผยแผ่ที่ดีต้องช่วยสังคมและนักเผยแผ่ที่ดี ต้องมีความสามารถในการใช้ความรู้ ต้องนำปัญญาไปดับปัญหา มิใช่นำปัญญาไปสร้างตัณหา นำความรู้ที่มีไปเอาเปรียบสังคม ถ้าพระธรรมทูตทำได้เช่นนี้ ความสุข สงบ สามัคคี ก็จะพึงมีในแดนสุวรรณภูมิ ในโลกนี้ได้อย่างน่าภูมิใจ

             (ขอขอบพระคุณ ภาพ/ข่าว จากวัดไทยพุทธคยา ๙๓๕ งานเผยแผ่พระธรรมทูตอินเดีย-เนปาล)


ศาสนกิจ‘พระสงฆ์ไทย’ในอินเดียแผ่เมตตาอุทิศบุญกุศลให้ชาวไทย

             เมื่อเวลา ๑๖.๒๐ น. ตามเวลาท้องถิ่นอินเดีย

             วันพระอุโบสถ วันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ ชึ่งเป็นอุโบสถที่ ๓ แห่งวสันตฤดู (ฤดูฝน) ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๘

             พระสงฆ์วัดไทยพุทธคยาและวัดต่างๆ รอบพุทธคยาเดินทางมาร่วมฟังพระปาฏิโมกข์ จำนวน ๑๑๕ รูป แสดงพระปาฏิโมกข์ พระมนตรี สุวโจ น.ธ. เอก อายุ ๓๕ ปี พรรษา ๑๓ หลังจากพระสงฆ์ร่วมฟังพระปาฏิโมกข์ ณ วัดไทยพุทธคยาแล้ว ได้เดินทางไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ สวดมนต์บทธัมมจักกัปปวัตนสูตร และร่วมกันแผ่เมตตาอุทิศบุญกุศลกลับไปให้ประชาชนชาวไทยทุกๆ ท่าน จงได้รับความสุขโดยทั่วถึงกัน

             (ขอขอบพระคุณ ภาพข่าวจากวัดไทยพุทธคยา ๙๓๕ งานเผยแผ่พระธรรมทูตอินเดีย-เนปาล)