พระเครื่อง

ธรรมะหักมุม
พระครูสังฆกิจพิมล

ธรรมะหักมุม พระครูสังฆกิจพิมล

22 ก.ค. 2552

“ปัจจุบันคนหันเข้าสู่ธรรมะมากขึ้น แต่ไม่อาจสยบกระแสวัตถุนิยม ไม่ต้องดูอื่นไกล การสอบเข้าเรียนมัธยมหนึ่ง ขณะที่มือหนึ่งของเด็กจับสลาก อีกมือกำพระเครื่อง เพราะมนุษย์มีความกลัว พอแก้ปัญหาไม่ได้ ก็คิดว่าต้องทำบุญเมือง ทำบุญประเทศ นั่นไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเ

 เรื่องเล่าของนาย 'สิริมงคล' ที่ถูกประหารชีวิต หรือ น.ส. 'งามเนตร' ที่ไม่พึงพอใจในตัวเอง เป็นเพราะการคิดและการกระทำของพวกเขา ผลลัพธ์จึงออกมาไม่สวยหรูเหมือนชื่อ...ซึ่งเป็นแค่เปลือกนอก

 นี่คือ ส่วนหนึ่งของธรรมะประยุกต์จาก พระครูสังฆกิจพิมล (สุรศักดิ์ สุรญาโณ) พระนักเทศน์วัดชลประทานรังสฤษฏ์ ชวนให้คิด ระหว่างการสนทนาธรรม

 “ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ให้สนุกกับการทำงาน” พระครูสังฆกิจพิมล ซึ่งบวชเรียนมานานกว่า ๒๐ พรรษา บอกถึงการทำงาน

 ปกติแล้ว ท่านเป็นคนรักการอ่านและเขียน ชอบงานออกแบบ และกราฟฟิกดีไซน์ เมื่อบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ จึงมีภารกิจทั้งการทำหนังสือ รวบรวมซีดีเทปธรรมะ  และดูแลห้องสมุดศาลาจำปีรัตน์

 โดยเฉพาะ การเทศน์ ท่านพยายามหาลูกเล่นจากข่าวสารรอบตัว และรอบโลก มาผนวกกับธรรมะ สอนคนให้เข้าใจง่ายๆ

 ท่านไขข้อสงสัยเรื่อง ’ชื่อ’ ว่า นาย 'สิริมงคล' เคยเป็นข่าวเมื่อปี ๒๕๔๙ มีอาชีพขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง แต่ทำผิดข่มขืนนักเรียนมัธยมปีที่ ๔ แล้วฆ่า จึงถูกตัดสินประหารชีวิต

 “นั่นเป็นผลของกรรม คือ การกระทำ เพราะฉะนั้น อย่าไปโทษเรื่องชื่อ" พระครูเล่าและวกมาถึง น.ส.'งามเนตร'  ชื่อก็งาม แต่เธอชอบบ่นกับเพื่อนๆ ว่า “ไม่ว่าฉันจะทำอะไร   ไม่มีใครเห็นความงามเลย” จึงเปลี่ยนชื่อเป็น อภิญญา ปัจจุบันไม่ทราบว่า โชคดีหรือยัง

 หากโยงเรื่องธรรมะกับการตั้งชื่อ พระครูสังฆกิจพิมล ชวนคิดต่อว่า บางคนมีชื่อไพเราะมาก แต่ชีวิตไม่ดี เพราะการกระทำ ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้ เป็นเรื่องสนุก ที่จะนำมาเล่าสู่กันฟัง

 อย่างข่าวในอเมริกา แม่บ่นลูก ลูกก็เลยฆ่าแม่ แล้วเอาไปซ่อน พอพ่อกลับมาก็โกหกว่า ขโมยขึ้นบ้าน แล้วฆ่าแม่

 "คนที่ทำกรรม ไม่จำเป็นต้องฆ่าแม่อย่างนี้หรอก แค่ทำให้พ่อแม่เสียใจ ร้อนใจ ก็ไม่ดีแล้ว นั่นเป็นการฆ่าพ่อฆ่าแม่ทางจิตใจ”

 เพราะมีพื้นฐานรักการอ่าน ช่างคิดและช่างจดจำ ตั้งแต่เด็ก พระครูจึงมีเรื่องเล่ามากมาย ไว้เทศน์ให้คนต่างรุ่นต่างวัยฟัง แม้กระทั่งเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ ก็นำมาสอนคนได้  ถ้าลิงฝึกหัดให้เล่นละคร หรือเก็บมะพร้าวได้ คนก็ฝึกให้ดีได้ โดยไม่อายลิง

 พระครูเล่าถึงความผูกพันกับหนังสือว่า ที่บ้านจะมีหนังสือเยอะมาก ก่อนบวชมีโอกาสได้อ่านและค้นคว้าหนังสือเหล่านี้ ปัจจุบัน ธีรภาพ โลหิตกุล (น้องชาย) ก็ได้ใช้ประโยชน์จากตู้หนังสือ เพื่อใช้เขียนสารคดี

 “ก่อนบวช ชีวิตก็ไม่ได้วิ่งตามกระแสเหมือนคนทั่วไป ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ แต่ไม่เคยเสียเพื่อน เพราะได้แบบอย่างมาจากโยมพ่อ สาเหตุที่บวชยาวนาน เพราะวัดแห่งนี้เน้นเรื่องการเผยแผ่ธรรมะ มีงานให้ทำ เราก็สนุกกับงาน  และสมัยนี้ การเทศน์ต้องประยุกต์ให้ทันสมัย งานศพจะฝึกนักเทศน์ได้เยอะ ให้คิดว่า มนุษย์เป็นแค่แขกที่มาเยือนโลกใบนี้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ ไม่เกินร้อยปีก็ต้องแยกย้ายจากไป ไม่สำคัญว่า เราอยู่ถึงร้อยปี แต่สำคัญที่การใช้ชีวิต เพราะคนเราเลือกเกิดและเลือกตายไม่ได้ แต่เลือกเป็นคนดี และไม่มีความทุกข์ได้ หากคนทำความดีทุกนาทีของชีวิต จะตายเมื่อไหร่ก็ได้”

 นอกจากการบรรยายธรรม พระครูสังฆกิจพิมล ยังมีงานดูแลการออกแบบรูปเล่มและเนื้อหาหนังสือธรรมะของครูบาอาจารย์ ทั้งผลงาน หลวงพ่อปัญญานันทะ และ ท่านอาจารย์พุทธทาส อาทิ หนังสือ ชีวิตงาม ตามรอยชีวิตหลวงพ่อปัญญานันทะ ความสุขนิรันดร์ กรรมสนองกรรม ฯลฯ การทำหนังสือทำให้พระครูได้ฟัง และอ่านมากขึ้นเรื่อยๆ 

 "เราต้องดูว่า เรื่องใดเป็นประโยชน์ และเข้าใจได้ง่าย  อย่างงานของท่านอาจารย์พุทธทาส มีหลายระดับ ก็เลือกเรื่องกลางๆ ที่คนเข้าใจได้ง่าย ถ้าเป็นเรื่องยากก็จะเป็นคนอีกกลุ่ม ที่สนใจ”

 อีกไม่นาน ทางวัดชลประทานรังสฤษฏ์ จะจัดงาน  'รำลึกความดีของคนดี คนสำคัญ' เพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่ หลวงพ่อปัญญานันทะ ท่านอาจารย์พุทธทาส พระมานะ ธมฺมรโต พระสมพงษ์ มหาปุญฺโญ และอาจารย์สมทรง ปุญญฤทธิ์ ซึ่งทำงานเผยแผ่ธรรม รวมถึงระดมความคิด โครงการกตัญญูกตเวทีสองศรีพระศาสนา จัดที่วัดชลประทานรังสฤษฏ์ ในวันเสาร์ที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒ นี้

 “คำพูดของครูบาอาจารย์ทั้งสอง แรงและกินใจมีมากมาย หลวงพ่อปัญญานันทะ จะเน้นการเล่าเรื่อง แต่มีเนื้อหาให้คิด ส่วนท่านพุทธทาสจะมีหัวข้อบรรยายธรรมแน่นอน”

 พระครูบอกว่า ไม่ว่าหนังสือหรือการบรรยายธรรม ต้องมีลักษณะประยุกต์ เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน จึงมีหนังสือหลายชุดให้เลือกอ่าน บางเล่มเหมาะกับเด็ก บางเล่มเหมาะกับคนหนุ่มสาว คู่สมรส และผู้สูงอายุ เพราะต้องการให้คนได้รับประโยชน์นำไปใช้ได้จริง ไม่ต้องรอว่า ต้องเข้าวัดปฏิบัติ 

 นอกจากนี้ พระครูยังจัดรายการวิทยุสอนธรรมะ และท่านมักจะให้การบ้านคนฟัง บางครั้งให้คัดลายมือ คำขวัญวันแม่ หรือเขียนคำอธิษฐาน โดยผู้ฟังต้องเขียนจดหมายเข้ามาเพื่อแลกกับหนังสือธรรมะ

 พระครูมีโอกาสได้เรียนรู้จากหลวงพ่อปัญญานันทะหลายเรื่อง เพราะท่านเปิดโอกาสให้ทำงานเต็มที่ กิจกรรมหลายอย่างที่ทำ หลวงพ่อไม่เคยสั่ง ถ้าทำได้ดีสามารถทำได้เลย

 “เรามีโอกาสทำอะไรมากมาย ที่เป็นอิสระ เพราะหลวงพ่อให้ความไว้วางใจ ได้ทำหน้าที่แทนท่าน ทั้งงานในวัดและนอกวัด หลวงพ่อปัญญานันทะสมาธิดีมาก เวลาท่านขึ้นเทศน์ จะเล่าเรื่องได้โดยไม่หลง ท่านเกิดมาเพื่อเป็นนักเทศน์ ทำให้คนฟังเพลิน ตัวอาตมาเองต้องฝึกอีกเยอะ  เพราะหลวงพ่ออ่านหนังสือเยอะ ท่านเป็นนักอ่าน และใฝ่รู้  แม้จะอายุมาก ก็ยังติดตามเหตุการณ์บ้านเมือง และมีความกล้าในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ท่านยอมเจ็บ เพื่อรักษาตัวให้อยู่ได้นานที่สุด จะได้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และท่านมีความกล้าหาญทางจริยธรรมอีกด้วย”

 สิ่งที่พระครูห่วงใยมากที่สุด คือ กระแสวัตถุนิยมที่กำลังกลืนคำสอนหลายอย่างของครูบาอาจารย์ทางธรรม อย่างการสร้างวัตถุมงคล เพื่อหลอกล่อให้คนบริจาคเงิน เรื่องนี้หลวงพ่อปัญญานันทะ เคยด่าแรงมาก

 “ปัจจุบัน คนหันเข้าสู่ธรรมะมากขึ้น แต่ไม่อาจสยบกระแสวัตถุนิยม ไม่ต้องดูอื่นไกล การสอบเข้าเรียนมัธยมหนึ่ง ขณะที่มือหนึ่งของเด็กจับสลาก อีกมือกำพระเครื่อง  เพราะมนุษย์มีความกลัว พอแก้ปัญหาไม่ได้ ก็คิดว่าต้องทำบุญเมือง ทำบุญประเทศ นั่นไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ส่วนการเข้าวัดปฏิบัติธรรม ๗ วัน ๑๐ วัน เป็นเรื่องที่ดี  แต่สถานที่แบบนั้น เราจะไม่เห็นคนทะเลาะกัน การปฏิบัติในวัดที่สงบ จึงเป็นแค่แบบฝึกหัด แต่คุณต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริง บางคนไม่ได้เข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่เป็นคนใจเย็น มีเมตตา ไม่เคยทะเลาะกับใคร ก็ไม่ต้องเข้าวัดก็ได้"

 นอกจากนี้ พระครูยังเน้นว่า คนเราควรทำกาย วาจา  และใจ ให้เป็นปกติสุข บางคนบอกว่า ต้องเกษียณอายุก่อน จึงจะมีเวลาเข้าวัด 

 "ถ้าถึงเวลานั้น นั่งก็โอย ลุกก็โอย ปวดเมื่อยไปหมด ไม่ต้องรอให้ถึงเวลานั้น สามารถปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้เลย ทำไมคนโบราณบอกว่า อย่าร้องเพลงในครัว จะได้ผัวแก่ นี่คือ การสอนสมาธิ ถ้าหั่นเนื้อไป ร้องเพลงไป อาจจะหั่นนิ้วตัวเองได้"

 อย่างไรก็ตาม หากคนเรามีเวลา ก็น่าจะปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิในวัด นั่นเป็นเรื่องดี แต่พระครูย้ำว่า หากเข้าวัดนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมแล้ว ยังเป็นคนขี้โกรธ ขี้น้อยใจ วิตกกังวล นั่นหมายถึงการปฏิบัติไม่มีความหมายเลย เหมือนเช่นที่เขาบอกว่า ร้อยรู้ไม่สู้หนึ่งทำ อ่านหนังสือร้อยเล่ม แต่ไม่หยิบมาใช้ ก็เท่ากับไม่ได้อ่าน ต่างจากบางคน อ่านไม่กี่หน้า แต่นำมาปฏิบัติตลอดชีวิต ย่อมมีประโยชน์มากกว่า

 "มีพุทธภาษิตเปรียบเทียบหนึ่งกับร้อยเยอะมาก ผู้มีความเพียรมั่นคง แต่มีชีวิตอยู่วันเดียว ย่อมดีกว่าอยู่ร้อยปี แต่เกียจคร้านไร้ความเพียร เราต้องบริหารจัดการชีวิตประจำวันของตัวเองให้ได้ เหมือนเช่นที่ท่านอาจารย์พุทธทาส บอกว่า ต้องไม่เบียดเบียนตัวเอง และผู้อื่น ทำหน้าที่ให้คล่องตัวลื่นไหลทั้งวัน ทำจิตใจให้สบายทุกวัน ไม่มีเรื่องกับคนนั้นคนนี้ แค่นี้ก็ดีแล้ว”

"เพ็ญลักษณ์  ภักดีเจริญ"