พระเครื่อง

๙วัดสำคัญบนเหรียญกษาปณ์'ในกระเป๋าสตางค์ที่คนไทยยังไม่รู้!'

๙วัดสำคัญบนเหรียญกษาปณ์'ในกระเป๋าสตางค์ที่คนไทยยังไม่รู้!'

20 มี.ค. 2558

๙วัดสำคัญบนเหรียญกษาปณ์'เรื่อง...ในกระเป๋าสตางค์ที่คนไทยยังไม่รู้!' : ท่องไปในแดนธรรม เรื่อง ไตรเทพ ไกรงู ภาพ ศูนย์ภาพเนชั่น

   ๙วัดสำคัญบนเหรียญกษาปณ์\'ในกระเป๋าสตางค์ที่คนไทยยังไม่รู้!\'

           การผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน (Circulated coins) ซึ่งเป็นเหรียญที่ใช้หมุนเวียนกันอยู่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน มี ๙ ชนิดราคา แบ่งเป็น ๒ พระเภท คือ ๑.ใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมี ๖ ชนิดราคา คือ ๑๐ บาท, ๕ บาท, ๒ บาท, ๑ บาท, ๕๐ สตางค์, ๒๕  สตางค์ และ ๒.เหรียญมีใช้ในทางบัญชีเท่านั้นประกอบด้วย ราคา ๑๐ สตางค์, ๕ สตางค์ และ ๑ สตางค์

              ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งคนไทยไม่รู้น้อย หรือรู้ไม่หมด คือ "เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนที่ใช้กันทุกวันมีรูปสถานที่สำคัญอะไรกันบ้างนะ"

              นายศราวุฒิ วรพัทธ์ทวีโชติ หรือ “คุณเจมส์” เจ้าของกิจการร้าน Siam Coin & Antiques "ร้าน กษาปณ์เมืองสยาม" หรือ "ร้าน Siamcoin" และเลขานุการสมาคมเหรียญที่ระลึกไทย ได้ให้ข้อมูลกับ "คมชัดลึก" ไว้ดังนี้

              ภาพด้านหลังของเหรียญชนิดราคา ๑๐ บาท คือ พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม เหรียญหายากของรุ่นนี้คือ เหรียญที่ผลิตพ.ศ. ๒๕๓๓ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นับเป็นเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ที่ผลิตออกมามีจำนวนน้อยที่สุด คือเพียง ๑๐๐ เหรียญเท่านั้น ส่วนเหรียญ พ.ศ.๒๕๓๑ ผลิตมาจำนวน ๖๐,๒๐๐ เหรียญ ซึ่งเป็นปีแรกที่ผลิตออกมาใช้งาน ราคาในวงการนักสะสม ราวๆ ๔๕๐-๖๐๐ บาท  นอกจากนี้ยังมีเหรียญตลก (เหรียญที่ผลิตออกมาผิดพลาด) เช่น มีหัว หรือ ก้อย ทั้งสองด้านอีกด้วย

              เหรียญชนิดราคา ๕ บาท ภาพด้านหลังของเหรียญ คือ พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เริ่มผลิตใช้ พ.ศ.๒๕๓๑ มีจำนวนราวๆ  ๔๔ ล้านเหรียญ แต่ปีที่เป็นที่ต้องการของนักสะสม เป็นอันมากคือ เหรียญที่ผลิต พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งผลิตออกมาเพียง ๑๐,๖๐๐ เหรียญ ราคาในวงการนักสะสมเคยมีการซื้อขายสูงถึงเหรียญละ ๖,๐๐๐ บาท ซึ่งนับว่ามีราคาสูงมาก

              นอกจากนี้แล้วเหรียญที่นิยมมากซึ่งหายาก คือ เหรียญ ๕ บาท ที่ผลิต พ.ศ. ๒๕๔๖ ผลิตออกมาจำนวนแค่ ๑๘๒,๐๐๐ เหรียญถึงจะราคาไม่สูงมาก แต่ก็นับว่ามากกว่ามูลค่าหน้าเหรียญมาก คือ ราวๆ ๕๐๐-๖๐๐ บาทเหรียญรุ่นนี้ แม้ไม่แพงแต่มีโอกาสพบเจอโดยบังเอิญ จึงเป็นที่นิยม หมุนเวียนเปลี่ยนมือกันคล่อง มีมาเรื่อยๆ แต่ไม่เยอะ แต่ก็มีการซื้อขายกันตลอดเกือบทุกวัน

              เหรียญชนิดราคา ๒ บาท ภาพด้านหลัง คือ พระบรมบรรพต หรือเจดีย์ภูเขาทอง วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เหรียญ ๒ บาทนี้ เริ่มมีการผลิตใช้หมุนเวียนตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๘ หรือแค่ราวสิบปีมาแล้ว ในช่วงแรกระหว่าง พ.ศ.๒๕๔๘-๒๕๕๐ จะมีสีเงิน ประชาชนนำไป ใช้แล้วสับสน เพราะขนาดใหญ่กว่าเหรียญบาท ไม่มากนัก คือ ใหญ่กว่าเพียงประมาณ ๒ มิลลิเมตรเท่านั้น เมื่อถึง พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงได้เปลี่ยน  มาผลิตเป็นแบบสีทองแทน  

              เหรียญชนิดราคา ๑ บาท ภาพด้านหลัง คือ พระศรีรัตนเจดีย์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) เหรียญหายากของรุ่นนี้คือ เหรียญที่ผลิต พ.ศ. ๒๕๒๙  เหรียญบาทนี้ ในยุคแรกๆ เรานิยมเรียกกันว่า เหรียญบาทเล็ก เพราะมีขนาดเล็กกว่ามาก เมื่อเทียบกับเหรียญรุ่นก่อนหน้าที่ผลิต พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๒๘ ซึ่งด้านหลังเป็นรูปวัดพระแก้วเช่นเดียวกัน เหรียญ พ.ศ. ๒๕๒๙ ผลิตมา ๔.๒ ล้านเหรียญ มี ๒ พิมพ์ คือ แบบช่อฟ้าสั้น กับช่อฟ้ายาว ปัจจุบัน เหรียญคู่นี้ราคาสะสมในท้องตลาด ราวๆ เหรียญละ ๓๐๐-๔๐๐ บาท ส่วนเหรียญบาทใหญ่ ก่อนหน้านี้ พ.ศ. ๒๕๒๕- ๒๕๒๘ สวยๆ อยู่ราวๆ ที่ ๕๐ บาท
 
              เหรียญชนิดราคา ๕๐ สตางค์ ภาพด้านหลัง คือ พระเจดีย์วัดพระธาตุดอยสุเทพ เหรียญหายากของรุ่นนี้คือ เหรียญที่ผลิต พ.ศ. ๒๕๓๐ เหรียญชนิดราคา ๕๐ สตางค์ ในรุ่นนี้เริ่มผลิตใช้เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๐ จำนวนการผลิตเพียงแค่ ๑,๐๐๐ เหรียญเท่านั้นเอง นับว่าน้อยมาก จึงเป็นเหรียญที่หายาก ราคาปัจจุบันอยู่ที่ราว ๓,๐๐๐ บาท แต่ก็ ไม่ใช่ว่าจะหาซื้อกันง่ายๆ เช่นกัน  

              ความแตกต่างของเหรียญชนิดราคา ๕๐ สตางค์ คือ มีการเปลี่ยนรูปแบบพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงเป็นแบบที่ดูมีพระชนมายุมากขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๑ พร้อมๆ กับเหรียญกษาปณ์ หมุนเวียน แบบอื่นๆ ที่ผลิตในปีเดียวกัน เป็นเหรียญที่ใช้ รูปแบบนี้มายาวนานกว่า ๒๘ ปี

              เหรียญชนิดราคา ๒๕ สตางค์ ภาพด้านหลัง คือ พระบรมธาตุเจดีย์วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช  เหรียญหายากของ รุ่นนี้คือ เหรียญที่ผลิต พ.ศ. ๒๕๓๐ รองลงมาคือ พ.ศ.๒๕๔๒ และ พ.ศ. ๒๕๔๔

              เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคา ๒๕ สตางค์ นับเป็นเหรียญสตางค์ปลีก ที่มีราคาน้อยที่สุด ที่ใช้หมุนเวียน เป็นปกติในระบบการเงิน ที่เราใช้ซื้อของกันโดยทั่วๆ ไป

              "หลายๆ ครั้งผมไปซื้อของ ยังเคยโดนปฏิเสธไม่ขอรับเศษสตางค์เหรียญย่อยอย่างเหรียญสลึงมาแล้ว จนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า เศษเงินเหล่านี้ มันไม่มีค่าในระบบเศรษฐกิจกันแล้วหรือ แต่สำหรับในวงการนักสะสม เหรียญนี้ ถ้าเป็นเหรียญที่ผลิตในปี ๒๕๓๐ แล้ว จะมีค่าตัวถึงกว่า ๑๐๐ บาท วันนี้ใครไม่รู้จะเดินทางไปเที่ยววัดไหนดี ลองเสี่ยงทายหยิบเหรียญในกระเป๋าขึ้นมาสักเหรียญแล้วไปให้ถึง" กล่าวทิ้งท้าย


เหรียญมีใช้ในทางบัญชี

              นายศราวุฒิ ยังบอกด้วยว่า เหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ที่มีราคาน้อยกว่า ๒๕ สตางค์นั้น ไม่ได้ผลิตมาเพื่อใช้ในการซื้อขายจับจ่ายใช้สอยในระบบเศรษฐกิจแบบปกติ เหรียญกษาปณ์พิเศษ ชุดนี้มีราคา ตั้งแต่ ๑ สตางค์ ๕ สตางค์ และ ๑๐ สตางค์ ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับในการปิดงบในระบบบัญชีประจำปี ในกรณีที่มีเศษสตางค์ เช่น ๓๘ สตางค์ เราจะใช้เหรียญเศษสตางค์ เหล่านี้มาใช้เพื่อการปิดงบได้ลงตัว ตามหลักบัญชี

              ดังนั้น ประชาชนปกติจะไม่พบเห็น หรือมีโอกาสได้ใช้เหรียญเหล่านี้เลย เว้นแต่นักสะสมเท่านั้นที่ได้มีโอกาสเก็บ หรือจับต้องเหรียญเหล่านี้ ส่วนใหญ่เราจะได้จากชุด “แผงเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนประจำปี” ที่กรมธนารักษ์จะผลิตออกมาเพื่อจำหน่ายให้แก่นักสะสม

              เหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ชนิดราคา ๑๐ สตางค์ ภาพด้านหลังของเหรียญชนิดราคา ๑๐ สตางค์ เป็นรูปเจดีย์ วัดพระธาตุเชิงชุม จ.สกลนคร เหรียญหายากของ รุ่นนี้คือ เหรียญที่ผลิต พ.ศ. ๒๕๓๐ รองลงมาคือ พ.ศ.๒๕๔๐ และ พ.ศ.๒๕๔๑

              เหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ชนิดราคา ๕ สตางค์ เป็นรูปพระปฐมเจดีย์ เหรียญหายากของ รุ่นนี้คือ เหรียญที่ผลิต พ.ศ. ๒๕๓๐ รองลงมาคือ  พ.ศ.๒๕๔๐, ๒๕๔๑ 

              เหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ชนิดราคา ๕ สตางค์ ผลิตครั้งก่อนหน้านี้คือ พ.ศ.๒๕๐๐ และยุติการผลิตมาถึงยาวนานถึง ๓๐ ปี จนมาใน ปี ๒๕๓๐ ทางกระทรวงการคลังจึงได้สั่งการผลิตเหรียญรุ่นนี้ขึ้นมาจำนวน ๑๐,๐๐๐ เหรียญ โดยผลิตจากเนื้ออะลูมิเนียม ในปัจจุบันมีราคาซื้อขายกันประมาณ ๑,๐๐๐ บาทขึ้นไป  และเป็นเหรียญที่คนธรรมดาไม่มีโอกาสได้เห็นเลยยกเว้นคนที่อยู่ในวงการนักสะสมเหรียญเท่านั้น

              เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคา ๑ สตางค์ เป็นรูปพระเจดีย์ วัดพระธาตุหริภุญชัย จ.ลำพูน เหรียญหายากของรุ่นนี้คือ เหรียญที่ผลิตในปี ๒๕๓๐ รองลงมาคือ ปี ๒๕๔๐ และ พ.ศ.  ๒๕๔๑