พระเครื่อง

ผลเกินคุ้ม!จากการเจริญอานาปานสติ

ผลเกินคุ้ม!จากการเจริญอานาปานสติ

19 มี.ค. 2558

ผลเกินคุ้ม!จากการเจริญอานาปานสติ : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา

             เคยถามครูบาอาจารย์หลายครั้งว่า กรรมฐานที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ทำไมมีเยอะจัง ตั้ง ๔๐ ชนิด พวกเราจำเป็นต้องรู้ - ต้องทำเป็น ในทุกชนิดเลยไหม? ก็ได้คำตอบมาเป็นเอกฉันท์ว่า ชาวพุทธเราไม่จำเป็นต้องทำในทุกชนิด ทุกประเภทหรอก พระอาจารย์ส่วนใหญ่ แนะนำให้ทำอานาปานสติเพราะสะดวกที่สุด แม้พระพุทธองค์เอง ยังทรงยกย่องให้ "อานาปานสติ" เป็นยอดกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่ส่งพระองค์ได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระพุทธเจ้า ในเช้ามืดวันวิสาขะเมื่อ ๒,๖๐๓ ปีก่อน  เมื่อได้ศึกษาค้นคว้ามากยิ่งขึ้น ผมก็ยิ่งทึ่งกับอานิสงส์แห่งการเจริญยอดกรรมฐานชนิดนี้ ดังพุทธพจน์ที่อ้างอิงต่อไปนี้

             ท ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่

             ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เมื่ออานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้วอยู่อย่างนี้ ผลอานิสงส์ ๗ ประการ ย่อมเป็นสิ่งที่หวังได้

             ผลอานิสงส์ ๗ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ?

             ผลอานิสงส์ ๗ ประการ คือ
            
             ๑.การบรรลุอรหัตตผลทันทีในปัจจุบันนี้

             ๒.ถ้าไม่เช่นนั้น ย่อมบรรลุอรหัตตผลในกาลแห่งมรณะ

             ๓.ถ้าไม่เช่นนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ย่อมเป็นอันตราปรินิพพายี (ผู้จะปรินิพพานในระหว่างอายุยังไม่ถึงกึ่ง)

             ๔.ถ้าไม่เช่นนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ย่อมเป็นอุปหัจจปรินิพพายี (ผู้จะปรินิพพานเมื่อใกล้จะสิ้นอายุ)

             ๕.ถ้าไม่เช่นนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ย่อมเป็นอสังขารปรินิพพายี (ผู้จะปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้ความเพียรมากนัก)

             ๖.ถ้าไม่เช่นนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ย่อมเป็นสสังขารปรินิพพายี (ผู้จะปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก)

             ๗.ถ้าไม่เช่นนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ย่อมเป็นอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (ผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ)  

             ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ผลอานิสงส์ ๗ ประการเหล่านี้ ย่อมหวังได้ ดังนี้. (ทุติยผลสูตร มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๗/๑๓๑๔ - ๑๓๑๖.)

             ๖ ประการแรกนั้น ล้วนแล้วแต่ส่งผลให้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาติปัจจุบันนี้กันเลยทีเดียว คือ นิพพานในชาตินี้ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายไม่ต้องเกิดอีก เพราะเมื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์โดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่ว่าจะเป็น การบรรลุอรหัตผลโดยการใช้ความเพียรมากๆ ๑ หรือบรรลุแบบไม่ต้องใช้ความเพียรมาก ๑, หรือบรรลุเมื่อตอนตาย (บรรลุอรหัตผลตอนสิ้นใจ เรียกว่าเป็นพระอรหันต์แบบสมสีสี) ๑, หรือบรรลุเมื่อแก่ๆ เมื่อใกล้จะสิ้นใจอีก ๑, หรือบรรลุเมื่อวัยกลางคน (ไม่ทันกึ่งหนึ่งของอายุขัย) อีก ๑, และบรรลุในทันที ที่นี่ เดี๋ยวนี้ (Here & now) อีก ๑ 

             และสุดท้าย...

             ประการที่ ๗ ซึ่งมีอานิสงส์แม้จะเล็กที่สุดในทั้งหมด ก็ยังพาให้บรรลุเป็นถึงพระอานาคามี (Non returner) หรือพระอริยบุคคลขั้นสูงอันดับ ๓ เลยทีเดียว (เป็นรองแต่เพียงพระอรหันต์เท่านั้น) คือ จะไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกแล้ว แต่ยังจะเกิดอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น เพื่อบรรลุอรหัตผลอย่างแน่นอน

             โอ้โฮ... อะไรจะขนาดนั้น กับการแค่เฝ้าดูลมหายใจ ลมเข้า ก็รู้ว่าเข้า ลมออก ก็รู้ว่าออก ลมสั้น ก็รู้ว่าสั้น ลมยาวก็รู้ว่ายาว...ฯลฯ ตระหนักถึง กาย-เวทนา-จิต-ธรรม... รู้ได้ด้วยตัวเองว่า...  แม้กายลม (ลมหายใจ) ของเรานั้นก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอน (อนิจจัง) หายใจเข้าแล้วไม่ออก ออกแล้วไม่เข้า ก็ตาย แล้วคนเรา เมื่อตระหนักเห็นความจริงชัดขึ้นๆ ก็จะเกิดเบื่อหน่ายคลายจางจากสิ่งทั้งปวง (วิราคะ) ไม่เห็นมีอะไรน่าเอา-น่าเป็นสักอย่าง

             เมื่อจิตเริ่มคลายตัว ไม่เกาะยึดมั่นในธาตุขันธ์ เห็นการเกิด-ดับ ของทุกข์เป็นเพียงปรากฏการณ์เท่านั้น จิตจึงเริ่มฉลาดขึ้น พร้อมสลัด เหวี่ยง คืนสิ้นเหตุปัจจัย ไม่เอากับมันอีกแล้ว น้อมไปเพียงการดับไม่เหลือ (นิโรธะ) โดยถ่ายเดียว

             นี้กระมัง... จิตผู้ตื่นรู้ จึงเทเอียงมาทางกระแสแห่งพระนิพพานโดยปริยาย จะว่าตั้งใจมั่นอย่างคาดคั้น ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ตั้งใจ ไม่ตั้งเป้าหมายอะไรเลยในการฝึกจิต ก็ไม่เชิง จะว่ามันเป็นของง่าย ก็ไม่ใช่ แต่จะว่า มันเป็นของทำได้ยาก ก็ไม่เชิง เพราะสิ่งที่ยากเกินกว่าวิสัยมนุษย์จะทำได้ พระพุทธองค์ไม่ตรัสสอนเป็นอันขาดในสิ่งที่ทำไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ แต่นี่พระพุทธเจ้าของเราพร่ำสอนแต่เรื่องการดับทุกข์ การเข้าถึงพระนิพพาน อยู่ปาวๆ ก็เป็นสิ่งที่ชัดเจนแล้วว่า การบรรลุธรรม เข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพาน เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคน ทุกท่าน ทำกันได้แน่นอนครับ

             ว่าโดยสรุปแล้ว การทำจิตภาวนา โดยอานาปานสติที่ถูกต้องแล้วนั้น ให้ผลแก่เราได้ใน ๒ ประการนี้เท่านั้น คือ อรหัตผล หรือ อานาคามิผล... ช่างเป็นการลงทุน (เพียงการเจริญสติจากลมหายใจเข้า-ออก) ที่ได้ผลเกินคุ้ม จริงๆ ครับ ถ้าเป็นเช่นนั้น!

             แต่จะเป็นจริงอย่างในพระไตรปิฎกว่าไว้หรือไม่ ตัวเราเท่านั้น ต้องปฏิบัติดู แล้วจะรู้ได้ด้วยตนเอง
            
             โอ้... ลมเอ๋ย ลมหายใจ ใช้ฝึกจิต

             หยุดสังขาร ปรุงคิด ให้หวั่นไหว

             แล้วมาอยู่ จอจ่อ ต่อลมหายใจ

             เข้าและออก ยาว-สั้นไซร้ ให้รู้จริง

             หายใจเข้า หรือออก ล้วนไม่เที่ยง

             มันสุ่มเสี่ยง ซ้อนซึ่งทุกข์ วุ่นวายยิ่ง

             มันเบื่อหน่าย คลายจาง เพราะรู้จริง

             ดับไม่เหลือ สลัดสิ้น อัตตาตัวตน

             อานิสงส์ อัศจรรย์ แห่งอานาปาฯ

             แม้อย่างต่ำ ยังนำพา “อานาคามิผล”

             แม้อย่างสูง นำเราออก จากวังวน

             สู่ “อรหัตผล” พ้นทุกข์ได้ ในชาติปัจจุบันฯ

             หมายเหตุ:  อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี ผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ คือ เกิดในสุทธาวาสภพใดภพหนึ่งแล้วก็ตาม จะเกิดเลื่อนต่อขึ้นไปจนถึงอกนิฏฐภพแล้วจึงปรินิพพาน เป็น ๑ ใน ๕ ประเภทของพระอานาคามี