
'แอ๊ด เทวดา'ชีวิตที่เคยตายมาแล้ว๓ครั้ง
แอ๊ด เทวดาชีวิตที่เคยตายมาแล้ว ๓ ครั้ง : เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู
นายวัชรพล ลิมปะพันธุ์ หรือ “แอ๊ด เทวดา” ผู้บุกเบิกวงการหนังจอยักษ์โค้งเรดาร์ และเจ้าของรายการโลกสีขาว สื่อวิทยุในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง รวมทั้งหันมาประกอบธุรกิจเคมีเกษตรที่พิษณุโลก ส่วนการฉายภาพยนตร์กลางแปลงได้ยุติกิจการมาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว
ส่วนที่มาของฉายา “แอ๊ด เทวดา” เป็นฉายาที่ตั้งขึ้นเอง โดยมีที่มาจากการเป็นตำรวจพลร่ม แต่ขณะนั้นอยู่ค่ายนเรศวรหัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพราะไปมีเรื่องกับผู้บังคับบัญชา ตกงานอยู่ระยะหนึ่งจึงมาใช้ฉายาว่า “แอ๊ด เทวดา” จากนั้นชีวิตก็เจริญรุ่งเรืองมาทุกวันนี้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าชีวิตจะขึ้นชื่อว่าเจริญรุ่งเรืองมาตลอด แต่ก็เคยผ่านเรื่องเลวร้ายมาหลายครั้ง ซึ่งที่เคยผ่านความตายมาแล้วถึง ๓ ครั้ง คือ ครั้งแรกเมื่อตอนเล็กๆ ถูกตะขาบกัดถึงกับเอาศพไปตั้งที่วัดเพื่อรอเผาในตอนเช้า แต่ก็ฟื้นขึ้นมา ครั้งที่สองเมื่อครั้งเป็นตำรวจพลร่ม ถูกลูกระเบิดระหว่างต่อสู้กับแม้วแดง นอนสลบไป ๗ วัน ส่วนครั้งที่สามเกือบตายเพราะการกินรังมิ้มที่ลาว ท้องเสียชนิดที่เรียกว่าสลบไปหลายวัน
นอกจากนี้แล้วครั้งหนึ่งชีวิตของ “แอ๊ด เทวดา” พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังเท้า กลายเป็นข่าวดังคับเมืองไทย ต้องกลายเป็น “คนคุก” นานถึง ๒๒ เดือน โดยไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมใดๆ เลย เพราะครั้งนั้นต้องยอมรับว่า “สื่อใหญ่เป็นผู้ทรงอิทธิพลตัวจริง” ถึงขนาดที่ว่า “ตำรวจ ทหาร และกระบวนการยุติธรรมยังกลัวสื่อ”
เมื่อถามถึงพระเครื่องที่แขวนเป็นประจำ แอ๊ด เทวดา บอกว่า มีพระชุดหลักๆ และพระเกจิอาจารย์ครบทุกชุด ทุกองค์ ชอบทั้งเมตตามหานิยม และอยู่ยงคงกระพันชาตรี องค์ที่แขวนประจำ เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ รวมทั้ง หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค
“ผมมีสัมผัสที่ ๖ พุทธคุณของพระนั้นไม่มีใครบอกได้ว่าเด่น เมตตามหานิยม หรืออยู่ยงคงกระพันชาตรี เว้นแต่เราจะได้สัมผัสด้วยตัวเอง เมื่อเรามีความศรัทธาและเชื่อมั่นว่าพุทธคุณนั้นมีอยู่จริง” แอ๊ด เทวดา กล่าว
จากชีวิตที่ผ่านเรื่องราวที่หลากหลาย “แอ๊ด เทวดา” ได้ยกสุภาษิต คำพังเพย คำกลอนบทหนึ่งที่มีการเขียนเกี่ยวกับคนเลวสองคน มาเปรียบเทียบชีวิตตัวเองแบบภาษานักเลงว่า “พรหมลิขิตขีดเขี่ยให้เหี้ยเดิน เหี้ยหลงเพลินเดินตามไม่สงสัย เหี้ยต่อเหี้ยเจอกันก็บรรลัย เหี้ยหนึ่งตายเหี้ยหนึ่งอยู่คู่ฟ้าดิน วันนี้ถ้าใครยิงผม ๑ นัด หากผมไม่ตายผมจะกลับไปถล่มให้หมดโม่”
ตำนานแห่ง "จอโค้งเรดาร์"
ด้วยจอโค้งเรดาร์ขนาดความกว้าง ๔๒ เมตร ความสูงก็น่าจะประมาณ ๑๘ เมตร ความสูงของนั่งร้านที่ต่อขึ้นไป ๑๓ ชั้น พื้นที่ของจอเกือบ ๘๐๐ ตารางเมตร ซึ่งใหญ่กว่าจอ IMAX พารากอนกว่า ๒ เท่า ระบบแสงกว่า ๑๐,๐๐๐ โวลต์ ในการขนย้ายอุปกรณ์แต่ละครั้งใช้รถบรรทุกทุก ๑๐ ล้อ กว่า ๒๐ คัน เอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่คนจดจำ คือ ทีมงานหัวเกรียนทุกคน ในการฉายแต่ละครั้งจะมีสปอนเซอร์สนับสนุน เช่น บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด และบริษัท ลีเวอร์ บราเธอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด นอกจากนี้แล้วยังมีหนังอีกรูปแบบหนึ่งคือ "จอบรอนซ์สะท้อนแสงจอแรกของโลก" เป็นคำโฆษณาซึ่งจะได้ยินตามสถานีวิทยุจนติดหู นับว่าทันสมัยมากในยุคนั้น
ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไป โรงภาพยนตร์สมัยใหม่เริ่มเข้ามา จนทำให้หนังกลางแปลงเริ่มเสื่อมความนิยมแล้วค่อยๆ หายไปจนเหลืออยู่ไม่กี่เจ้าในปัจจุบันนี้ จึงเป็นสิ่งที่นับว่าหาดูได้ยาก ถ้าไปตามชนบทบ้านนอกอาจจะยังพบเห็นได้อยู่ แต่ขนาดของจอก็ลดลงมา อันเนื่องมาจากหลายๆ ปัจจัย เช่น เรื่องของทุน คนขึ้นนั่งร้านหายาก
แอ๊ด เทวดา บอกว่า "ทุกวันนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าในขณะที่ธุรกิจหนังกลางแปลงเกือบจะกลายเป็นตำนานแห่งความบันเทิง แต่ก็มีค่ายหนังรวมทั้งเจ้าของบริษัทผลิตสินค้าขนาดใหญ่หลายสิบแห่งมาติดต่อขอให้ปลุกธุรกิจหนังกลางแปลงขึ้นมาอีกครั้ง"