
บุญใหญ่สร้างวัดไทยใน'โบเด้นเซ เยอรมัน'
บุญใหญ่สร้างวัดไทยใน'โบเด้นเซ เยอรมัน' : พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี ป.ธ.๙,ดร.วิทยากรกลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม วัดสระเกศรายงาน
พื้นดินกว้างใหญ่ประมาณ ๒,๖๐๐ ตารางเมตรในโบเด้นเซ เยอรมัน ราคาอยู่ที่ ๙๕๐,๐๐๐ ยูโร หรือประมาณ ๓๘ ล้านบาท สำหรับที่ดินขนาดนี้อาจทำอะไรได้หลายอย่าง จะก่อสร้างเป็นอาคารแล้วให้เช่าหรือทำเป็นสวนแอปเปิ้ลที่เป็นสินค้าขึ้นชื่อ หรือจะสร้างบ้านแล้วอาศัยอยู่อย่างสงบในบั้นปลายชีวิตก็ฟังดูเข้าที
แต่พื้นดินประมาณนี้ในสายตาของคนไทยในโบเด้นเซกลับกลายเป็นความหวังของการสร้างวัด ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป “แต่ก่อนเป็นคนโมโหร้าย แม่เล่าให้ฟังว่าตอนเด็กจะชักวันละ ๗ ครั้ง พอมาอยู่ต่างประเทศยิ่งหนักขึ้น เวลาโมโหต้องโวยวายเสียงดัง พอหลังจากมาวัดโดยคำชักชวนกันของญาติๆ เลยรู้สึกว่าตนเองดีขึ้น ได้สวดมนต์ นั่งสมาธิ แม้แต่สามีชาวเยอรมันก็ยังอยากให้มาวัด เพราะทำให้ตัวเองใจเย็นลงได้...” คุณแตว แชเฟอร์เล่าให้ฟังขณะเข้ามาถือศีลปฏิบัติธรรมช่วงวันปีใหม่
คุณสายป่าน สาร์เซียร์หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โอ” คนไทยอีกคนที่คุ้นเคยกับทางวัดเป็นอย่างดีได้กล่าวว่า “ได้ปรึกษากับคนไทยหลายคน ทุกคนล้วนต้องการให้ที่นี่เป็นศูนย์รวมของคนไทย เพื่อให้เป็นที่เรียนรู้วัฒนธรรมไทย และที่สำคัญอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อพระพุทธศาสนา เพื่อให้ลูกหลานในวันข้างหน้าจะได้ไม่ลืมพระพุทธศาสนา และให้ฝรั่งที่สนใจเรื่องสมาธิได้มาเรียนรู้ เพราะจะมีฝรั่งหลายคนมาถามตนเองบ่อยๆ ว่านั่งสมาธิทำอย่างไร ก็จะได้แนะนำให้เขามาศึกษาเองที่วัด”
วัดได้กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กขอเพียงให้มีพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้นำ เมื่อมีกิจกรรมชาวพุทธต่างได้แวะเวียนมาเยี่ยมกันจนไม่ต่างจากญาติในครอบครัว แต่ตอนนี้วัดที่เหล่าพุทธบริษัทที่เยอรมันเรียกกันนั้น ยังเป็นแค่ศูนย์พุทธศาสนาและสมาคมวัฒนธรรมไทยโบเด้นเซ (Zentrum für Buddhismus und Thailändische Kultur-Bodensee e.V.) ยังไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ต้องเช่าอาคาร ๒ ชั้น โดยชั้น ๑ ถูกจัดแบ่งเป็นห้องๆ ทั้งห้องนอน ห้องน้ำ และห้องโถงใหญ่สำหรับประกอบพิธีกรรมมีพระพุทธรูปโต๊ะหมู่บูชา รอบข้างมีเครื่องสังฆทาน ผ้าไตรจีวร หนังสือสวดมนต์ เบาะนั่งสมาธิ พื้นที่จุคนได้ประมาณร้อยกว่าคนได้ เช่นเดียวกับชั้น ๒ ถูกปรับให้เป็นพื้นที่สำหรับสวดมนต์ มีที่พักและห้องน้ำอีกส่วนต่างหาก ยิ่งช่วงหลังคนเริ่มมามากขึ้นจนทำให้สถานที่เล็กไปถนัดใจ
อาคารหลังนี้ไม่อาจปรับปรุงขยายไปได้มากกว่านี้ “ที่เยอรมันจะเคร่งครัดทุกเรื่อง ถ้าจะปรับปรุงสิ่งใดต้องแจ้งให้ทางราชการรับรู้และต้องได้รับความยินยอมจากคนในพื้นที่ด้วย และผู้ที่จะอยู่อาศัยต้องมีห้องพักชัดเจน พระที่นี่จึงมีแค่ ๓ รูป ถ้าจะมีเพิ่มก็ต้องมีห้องเพิ่มก่อน...” พระมหาจิราธิวัฒน์ อตฺถยุตฺโตพระธรรมทูตรุ่นที่ ๑๔ เลขานุการสมาคมศูนย์พุทธศาสนาฯ อธิบาย
แต่ด้วยจำนวนคนที่มาทำบุญบางช่วงเทศกาล เช่น กฐิน เป็นต้น และกิจกรรมถือศีลปฏิบัติธรรมในวันสำคัญ เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา เป็นต้น หรือกิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้น เช่น เข้าวัดปฏิบัติธรรมวันอาทิตย์ เป็นต้น นับวันมีแต่จะมากขึ้น จึงต้องการพื้นที่ที่เป็นสัดส่วน เพราะต้องมีการใช้เสียง และอีกทั้งจำนวนคนที่มาอาจมาไกลจึงต้องมีที่พักเพื่อสะดวกมากขึ้น ด้วยความจำเป็นเหล่านี้ ทุกคนจึงคิดว่าอยากร่วมแรงกายแรงใจเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างวัดบนพื้นที่ๆ ใหญ่กว่านี้
สมัยพุทธกาลกับการสร้าง“วัด”
หากลองศึกษาประวัติการสร้างวัดตามหลักฐานในพระไตรปิฎกและอรรถกถาจะพบว่ามี ๒ ลักษณะใหญ่ๆ ด้วยกันคือ ๑. จากการปรารภของผู้มีศรัทธา อย่างวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาคืออารามเวฬุวันเกิดขึ้นท่ามกลางศรัทธาของพระราชานามว่าพิมพิสารได้เห็นช่องทางสร้างบุญใหญ่เมื่อเหล่าพระพุทธองค์และสาวกนั้นหลังจากเดินทางมารับอาหารบิณฑิบาตควรจะได้หยุดพักผ่อนอิริยาบถ และ ๒. จากการที่พระภิกษุต้องมีที่พักจำพรรษา เป็นพุทธบัญญัติว่า ภิกษุไม่มีเสนาสนะไม่พึงเข้าอยู่จำพรรษา ภิกษุใดฝ่าฝืนต้องอาบัติทุกกฏ
วัดจึงกลายเป็นเรื่องจำเป็นไปสำหรับการทำบุญสร้างกุศลของเหล่าอุบาสกอุบาสิกา และยังเป็นที่พักอาศัย ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของพระภิกษุสงฆ์ภายในพรรษา โดยวัดในสมัยพุทธกาลมีรูปแบบไม่ต่างกันกับสมัยนี้มาก ตรงที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านนัก ไปมาสะดวก ไม่พลุกพล่านตอนกลางคืน เสียงไม่ดัง ไม่ติดทางมากเกินไป มีความเงียบสมควรแก่การนั่งสมาธิ
นอกจากนั้นในประวัติความเป็นมาของวัดเราอาจพบว่าผู้สร้างวัดส่วนใหญ่มักจะเป็นพระราชา เหล่าเศรษฐีกุฏุมพีเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีบางวัดปรากฎว่าสร้างโดยชาวบ้านทั่วไป บางทีก็เป็นเพียงคนยากไร้ก็มี อย่างในอรรถกถาเล่าถึงนางทาสีกลุ่มหนึ่งเห็นความจำเป็นของพระที่จะต้องมีวัดเพื่ออยู่จำพรรษา จึงเข้าไปถามพระคุณเจ้าว่า “จำเป็นหรือไม่ที่วัดจะสร้างด้วยคนมีฐานะใหญ่ๆ โตๆ อย่างเดียว หรือแม้แต่คนยากไร้ก็ทำได้” “ใครๆ ก็ทำได้” พระให้คำตอบ นางจึงนำเรื่องนี้ไปบอกเหล่านางทาสีที่เป็นสหายของตน แล้วอธิบายจนทุกคนเกิดความฮึกเหิมอยากจะร่วมกันสร้างบุญใหญ่ พวกนางพากันไปบอกสามีของตนให้ช่วยกันขนไม้ในป่ามาสร้างกุฏิจนเสร็จได้ ๕๐๐ หลัง แล้วนิมนต์ให้พระ ๕๐๐ รูปมาอยู่จำพรรษา
“วัด” กลายเป็นบุญใหญ่ที่ใครก็สามารถสร้างได้ ไม่ใช่ด้วยเงินเพียงอย่างเดียว แม้แต่เรี่ยวแรงก็สามารถช่วยกันสร้างให้วัดเกิดขึ้นได้ ที่สำคัญคือ “ต้องมีศรัทธา” พระพุทธองค์จึงได้ทรงอนุโมทนาการสร้างวัดและคนที่ไปวัดบ่อยๆ ไว้ว่า “วิหารย่อมป้องกันหนาว ร้อน และสัตว์ร้าย...การถวายวิหารแก่สงฆ์ พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญว่าเป็นทานอันเลิศ ผู้ฉลาด เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ตน พึงสร้างวิหารอันรื่นรมย์ให้ภิกษุทั้งหลายผู้พหูสูต พึงมีใจเลื่อมใสถวายข้าว น้ำ ผ้า และเสนาสนะ และพระสงฆ์ย่อมแสดงธรรมอันบรรเทาทุกข์แก่คนเหล่านั้นจนสามารถรู้ทั่วถึงนิพพานในโลกนี้”
จากข้อมูลดังกล่าวนี้ วัดจึงกลายเป็นสถานที่แห่งศรัทธา และอนุสรณ์แห่งความดีของเหล่าบุคคลผู้มีศรัทธาที่ยอมเสียสละทรัพย์สมบัติหรือเรี่ยวแรงเพื่อสร้างบุญที่นับว่ามีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่
สร้างวัดในต่างประเทศเพื่ออะไร
แม้พระพุทธองค์จะทรงยืนยันถึงความมั่งคงทางศาสนามาจากบริษัททั้ง ๔ คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาเป็นหลัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานที่อย่างวัดเชตวัน และวัดเวฬุวัน เป็นต้นกลายเป็นสถานที่สอนธรรมปรากฎอยู่เกือบทุกแห่งในพระสุตตันตปิฎก
ยิ่งในปัจจุบันการสร้างวัดในต่างแดนอาจไม่ใช่เป็นเพียงแค่ที่พึ่งทางจิตใจเท่านั้น แต่อาจรวมถึงอนาคตของพระพุทธศาสนาตามที่เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ได้เตือนสติ "ในอนาคตประเทศไทยอาจไม่มีพระพุทธศาสนาอีกต่อไป ตามหลักความไม่เที่ยง ดูอย่างพระพุทธศาสนาในประเทศไทยที่มีมาแต่เดิมเมื่อรู้มันจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนแล้ว ทำไมเราไม่เตรียมการเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาอย่างรู้เท่าทัน" เป็นที่มาของการที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ เดินทางไปทั่วยุโรปและอเมริกาเพื่อสร้างวัดไทยเพื่อวางรากฐานพระพุทธศาสนาไว้ในต่างแดน
และเมื่อครั้งเจ้าคุณพระราชสุเมธาจารย์ (โรเบิร์ต สุเมโธ) หรือหลวงพ่อสุเมโธ เทศนาในงานกฐินวัดไทยอมราวดี กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษเล่าถึงการมาสร้างวัดไทยในกรุงลอนดอนว่า ตอนที่มาอยู่ได้เรียนถามหลวงพ่อชาว่า “ผมจะอยู่ได้อย่างไร คนประเทศนี้ไม่ใช่ชาวพุทธ” หลวงพ่อชาถามว่า “แล้วที่นี่มีคนดีไหม” “มีครับ” ท่านสุเมโธตอบ “ถ้ามีคนดีก็อยู่ได้” หลวงพ่อชาให้คำแนะนำ ท่านสุเมโธจึงมั่นใจและสร้างวัดไทยในต่างประเทศได้สำเร็จ วัดจึงกลายเป็นที่รวมคนดีและสร้างคนดีไม่ว่าจะในไทยหรือในต่างประเทศที่ไม่มีพระพุทธศาสนาก็ตาม
แต่อย่างไรก็ดี วัดก็ควรเป็นของคนทุกคน ไม่ใช่ของใคร “การสร้างวัดไม่ใช่ของพระสายใดสายหนึ่ง แต่เป็นสายพระพุทธ พระไม่ว่าจากวัดไหนก็สามารถมาเยี่ยมเยือน มาอยู่ร่วมกันได้ที่นี่ และต้องไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งแต่เป็นของคนไทยทุกคน เป็นของพระพุทธศาสนา เมื่อคนมาวัดไม่ว่าจะมาทุกข์อย่างไรต้องให้ได้รับความสุขหรือความดีกลับไป” พระมหาขวัญยืน สิริธมฺโม หัวหน้าคณะสงฆ์ศูนย์พุทธศาสนาฯ กล่าวถึงสาเหตุที่จะสร้างวัดเพื่อให้เป็นของคนไทยทุกคน เป็นสาธารณประโยชน์ที่สามารถใช้ร่วมกันได้
ฉะนั้น คนจึงกลายเป็นผลเหตุสำคัญที่ทำให้วัดเกิดขึ้น และที่สำคัญถ้าไม่แยกว่าคนนั้นเป็นคนไทยหรือเยอรมัน เราจะพบว่าพระพุทธศาสนานั้นเป็นอนาคตสำหรับคนดีทุกคน และของชาวพุทธผู้ประสงค์จะดำเนินตามแนวทางของพระพุทธองค์เพื่อความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน
ชาวต่างชาติมองวัดไทยโบเด้นเซอย่างไร
วัดหรือศูนย์พทธศาสนาฯ แห่งนี้ได้เปลี่ยนมุมมองของชาวต่างชาติที่เข้ามาสัมผัสแตกต่างกันไป คุณเทียรี่ สาร์เซียร์ (Thierry Serzier) ซึ่งแต่ก่อนไม่ได้นับถือศาสนาอะไรกลับมานับถือศาสนาพุทธ คุณโอผู้เป็นภริยาเล่าให้ฟังว่า “ตอนที่แม่ของคุณเทียรี่ป่วยหนักต้องผ่าตัดด่วน โอกาสรอด ๕๐/๕๐ ช่วงนั้นได้เข้าถวายสังฆทานที่วัด พอกลับไปเหมือนปาฏิหาริย์แม่เขาก็อาการดีขึ้นจนทุกคนก็ประหลาดใจ นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของคุณเทียรี่ที่ทำให้ได้รู้จักที่พึ่งทางใจ”
แม้แต่คุณเบาว์มัน (Baumann) เจ้าของตึกที่ศูนย์พุทธศาสนาฯ เช่าอยู่ในปัจจุบัน ก็ชื่นชมความเป็นคนไทยและศาสนาพุทธ เขาได้มาเห็นศรัทธาของคนไทยและฝรั่งเข้ามาที่ศูนย์แห่งนี้จำนวนมาก จึงยอมลดค่าเช่าให้จำนวนหนึ่ง
ที่น่าสนใจคือผู้หญิงชาวเยอรมันคนหนึ่งเห็นการแต่งตัวของพระจึงเดินเข้ามาพูดคุยด้วย พร้อมแนะนำว่าเธอเคยทำสมาธิที่แคนนาดากับองค์ดาไลลามะมาก่อน และรู้ว่ามีวัดไทยตั้งอยู่ที่นี่เลยต้องการเรียนรู้การทำสมาธิแบบไทย ซึ่งสอดคล้องกับที่พระมหาขวัญยืน สิริธมฺโมได้เล่าให้ฟังถึงฝรั่งที่สนใจวัดไทยส่วนหนึ่งมาจากการเคยได้ทำสมาธิมาก่อน หรือบางคนก็เคยไปเมืองไทย หรือบางคนรู้จักผ่านเว็บไซท์ของวัด (www.thaizentrum-bodensee.de/index.php/verein_de.html)
คุณโทมัส เบเนส (Thomas Benes) หรือคุณทอมประธานศูนย์พุทธศาสนาฯ เมื่อถูกถามว่า “มีอะไรจะให้ทางวัดปรับปรุงบ้างไหม” “ผมสิที่ต้องให้ทางวัดช่วยแนะนำว่าควรปรับปรุงอะไร เพราะตัวเองยังดีไม่เท่าพระเลย จะมีอะไรมากล้าแนะนำท่านได้” คุณทอมตอบและยกมือไหว้พระแบบไทยบ่งบอกให้เห็นถึงการยอมรับและพร้อมช่วยเหลือศูนย์อย่างเต็มที่ สังเกตได้จากตอนที่แต่งตั้งให้เป็นประธาน ตัวคุณทอมเองไม่รู้ว่าจะมีคนเสนอชื่อ แต่พอเสนอชื่อขึ้นไป คุณทอมก็ตกปากรับคำทันที
จากองค์ประกอบทั้งหมดทั้งพระสงฆ์และกำลังศรัทธาของทั้งชาวพุทธไทยและเยอรมันดูจะพร้อมแล้วสำหรับการสร้างวัดที่มีพื้นที่จัดสรรค์ประโยชน์เป็นของตนเอง เพื่อต่อลมหายใจพระพุทธศาสนาในประเทศเยอรมัน และต้อนรับชาวพุทธที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศทั้งใกล้และไกลซึ่งนับวันมีแต่จะมากยิ่งขึ้น เป็นศูนย์รวมของหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า จัดกิจกรรมทางศาสนา และได้ช่วยกันอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยไว้ให้ลูกหลานในต่างแดนได้เรียนรู้
แต่สิ่งเดียวที่ชาวพุทธทุกคนต้องช่วยกันต่อไปคือการร่วมกันเสียสละกำลังทรัพย์คนละเล็กละน้อยเพื่อสนับสนุนส่งเสริมบุญใหญ่ครั้งนี้ และตราบที่เรายังเชื่อมั่นในข้อคิดที่เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ได้ให้ไว้ว่า “เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น (ชาวโลก) โดยไม่ยึดมั่นตัวเองมากเกินไป ที่สำคัญต้องรู้จักอดทน มั่นคงในความดี ไม่ชิงดีชิงเด่นกันเอง" ไม่นานเราจะได้ยินชื่อวัดไทยในโบเด้นเซ ประเทศเยอรมันในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน
(สนใจชมกิจกรรมของศูนย์พุทธศาสนาฯ ได้ที่ Facebook ชื่อ Zentrum für Buddhismus und Thailändische Kultur-Bodensee e.V.)