พระเครื่อง

บุญใหญ่สร้างวัดไทยใน'โบเด้นเซ  เยอรมัน'

บุญใหญ่สร้างวัดไทยใน'โบเด้นเซ เยอรมัน'

12 ม.ค. 2558

บุญใหญ่สร้างวัดไทยใน'โบเด้นเซ เยอรมัน' : พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี ป.ธ.๙,ดร.วิทยากรกลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม วัดสระเกศรายงาน

              พื้นดินกว้างใหญ่ประมาณ ๒,๖๐๐ ตารางเมตรในโบเด้นเซ เยอรมัน ราคาอยู่ที่  ๙๕๐,๐๐๐ ยูโร หรือประมาณ ๓๘ ล้านบาท  สำหรับที่ดินขนาดนี้อาจทำอะไรได้หลายอย่าง  จะก่อสร้างเป็นอาคารแล้วให้เช่าหรือทำเป็นสวนแอปเปิ้ลที่เป็นสินค้าขึ้นชื่อ  หรือจะสร้างบ้านแล้วอาศัยอยู่อย่างสงบในบั้นปลายชีวิตก็ฟังดูเข้าที

              แต่พื้นดินประมาณนี้ในสายตาของคนไทยในโบเด้นเซกลับกลายเป็นความหวังของการสร้างวัด  ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป  “แต่ก่อนเป็นคนโมโหร้าย  แม่เล่าให้ฟังว่าตอนเด็กจะชักวันละ ๗ ครั้ง  พอมาอยู่ต่างประเทศยิ่งหนักขึ้น  เวลาโมโหต้องโวยวายเสียงดัง  พอหลังจากมาวัดโดยคำชักชวนกันของญาติๆ เลยรู้สึกว่าตนเองดีขึ้น  ได้สวดมนต์ นั่งสมาธิ  แม้แต่สามีชาวเยอรมันก็ยังอยากให้มาวัด  เพราะทำให้ตัวเองใจเย็นลงได้...”  คุณแตว  แชเฟอร์เล่าให้ฟังขณะเข้ามาถือศีลปฏิบัติธรรมช่วงวันปีใหม่

              คุณสายป่าน สาร์เซียร์หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โอ” คนไทยอีกคนที่คุ้นเคยกับทางวัดเป็นอย่างดีได้กล่าวว่า “ได้ปรึกษากับคนไทยหลายคน  ทุกคนล้วนต้องการให้ที่นี่เป็นศูนย์รวมของคนไทย เพื่อให้เป็นที่เรียนรู้วัฒนธรรมไทย  และที่สำคัญอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อพระพุทธศาสนา  เพื่อให้ลูกหลานในวันข้างหน้าจะได้ไม่ลืมพระพุทธศาสนา  และให้ฝรั่งที่สนใจเรื่องสมาธิได้มาเรียนรู้  เพราะจะมีฝรั่งหลายคนมาถามตนเองบ่อยๆ ว่านั่งสมาธิทำอย่างไร  ก็จะได้แนะนำให้เขามาศึกษาเองที่วัด”

              วัดได้กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ  ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กขอเพียงให้มีพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้นำ  เมื่อมีกิจกรรมชาวพุทธต่างได้แวะเวียนมาเยี่ยมกันจนไม่ต่างจากญาติในครอบครัว  แต่ตอนนี้วัดที่เหล่าพุทธบริษัทที่เยอรมันเรียกกันนั้น  ยังเป็นแค่ศูนย์พุทธศาสนาและสมาคมวัฒนธรรมไทยโบเด้นเซ (Zentrum für Buddhismus und Thailändische Kultur-Bodensee e.V.)  ยังไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง  ต้องเช่าอาคาร ๒ ชั้น  โดยชั้น ๑ ถูกจัดแบ่งเป็นห้องๆ ทั้งห้องนอน ห้องน้ำ และห้องโถงใหญ่สำหรับประกอบพิธีกรรมมีพระพุทธรูปโต๊ะหมู่บูชา รอบข้างมีเครื่องสังฆทาน ผ้าไตรจีวร  หนังสือสวดมนต์  เบาะนั่งสมาธิ พื้นที่จุคนได้ประมาณร้อยกว่าคนได้  เช่นเดียวกับชั้น ๒ ถูกปรับให้เป็นพื้นที่สำหรับสวดมนต์  มีที่พักและห้องน้ำอีกส่วนต่างหาก  ยิ่งช่วงหลังคนเริ่มมามากขึ้นจนทำให้สถานที่เล็กไปถนัดใจ

              อาคารหลังนี้ไม่อาจปรับปรุงขยายไปได้มากกว่านี้  “ที่เยอรมันจะเคร่งครัดทุกเรื่อง  ถ้าจะปรับปรุงสิ่งใดต้องแจ้งให้ทางราชการรับรู้และต้องได้รับความยินยอมจากคนในพื้นที่ด้วย  และผู้ที่จะอยู่อาศัยต้องมีห้องพักชัดเจน  พระที่นี่จึงมีแค่ ๓ รูป ถ้าจะมีเพิ่มก็ต้องมีห้องเพิ่มก่อน...” พระมหาจิราธิวัฒน์  อตฺถยุตฺโตพระธรรมทูตรุ่นที่ ๑๔ เลขานุการสมาคมศูนย์พุทธศาสนาฯ อธิบาย

              แต่ด้วยจำนวนคนที่มาทำบุญบางช่วงเทศกาล เช่น กฐิน เป็นต้น และกิจกรรมถือศีลปฏิบัติธรรมในวันสำคัญ เช่น  วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา เป็นต้น หรือกิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้น เช่น เข้าวัดปฏิบัติธรรมวันอาทิตย์ เป็นต้น  นับวันมีแต่จะมากขึ้น  จึงต้องการพื้นที่ที่เป็นสัดส่วน  เพราะต้องมีการใช้เสียง  และอีกทั้งจำนวนคนที่มาอาจมาไกลจึงต้องมีที่พักเพื่อสะดวกมากขึ้น  ด้วยความจำเป็นเหล่านี้  ทุกคนจึงคิดว่าอยากร่วมแรงกายแรงใจเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างวัดบนพื้นที่ๆ ใหญ่กว่านี้


สมัยพุทธกาลกับการสร้าง“วัด”
         
              หากลองศึกษาประวัติการสร้างวัดตามหลักฐานในพระไตรปิฎกและอรรถกถาจะพบว่ามี ๒ ลักษณะใหญ่ๆ ด้วยกันคือ  ๑. จากการปรารภของผู้มีศรัทธา  อย่างวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาคืออารามเวฬุวันเกิดขึ้นท่ามกลางศรัทธาของพระราชานามว่าพิมพิสารได้เห็นช่องทางสร้างบุญใหญ่เมื่อเหล่าพระพุทธองค์และสาวกนั้นหลังจากเดินทางมารับอาหารบิณฑิบาตควรจะได้หยุดพักผ่อนอิริยาบถ  และ ๒. จากการที่พระภิกษุต้องมีที่พักจำพรรษา เป็นพุทธบัญญัติว่า  ภิกษุไม่มีเสนาสนะไม่พึงเข้าอยู่จำพรรษา  ภิกษุใดฝ่าฝืนต้องอาบัติทุกกฏ 

              วัดจึงกลายเป็นเรื่องจำเป็นไปสำหรับการทำบุญสร้างกุศลของเหล่าอุบาสกอุบาสิกา  และยังเป็นที่พักอาศัย ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของพระภิกษุสงฆ์ภายในพรรษา  โดยวัดในสมัยพุทธกาลมีรูปแบบไม่ต่างกันกับสมัยนี้มาก ตรงที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านนัก ไปมาสะดวก  ไม่พลุกพล่านตอนกลางคืน  เสียงไม่ดัง  ไม่ติดทางมากเกินไป  มีความเงียบสมควรแก่การนั่งสมาธิ  

              นอกจากนั้นในประวัติความเป็นมาของวัดเราอาจพบว่าผู้สร้างวัดส่วนใหญ่มักจะเป็นพระราชา เหล่าเศรษฐีกุฏุมพีเสียเป็นส่วนใหญ่   แต่ก็ยังมีบางวัดปรากฎว่าสร้างโดยชาวบ้านทั่วไป  บางทีก็เป็นเพียงคนยากไร้ก็มี  อย่างในอรรถกถาเล่าถึงนางทาสีกลุ่มหนึ่งเห็นความจำเป็นของพระที่จะต้องมีวัดเพื่ออยู่จำพรรษา  จึงเข้าไปถามพระคุณเจ้าว่า “จำเป็นหรือไม่ที่วัดจะสร้างด้วยคนมีฐานะใหญ่ๆ โตๆ อย่างเดียว  หรือแม้แต่คนยากไร้ก็ทำได้”  “ใครๆ ก็ทำได้” พระให้คำตอบ  นางจึงนำเรื่องนี้ไปบอกเหล่านางทาสีที่เป็นสหายของตน  แล้วอธิบายจนทุกคนเกิดความฮึกเหิมอยากจะร่วมกันสร้างบุญใหญ่  พวกนางพากันไปบอกสามีของตนให้ช่วยกันขนไม้ในป่ามาสร้างกุฏิจนเสร็จได้ ๕๐๐ หลัง แล้วนิมนต์ให้พระ ๕๐๐ รูปมาอยู่จำพรรษา

              “วัด” กลายเป็นบุญใหญ่ที่ใครก็สามารถสร้างได้  ไม่ใช่ด้วยเงินเพียงอย่างเดียว  แม้แต่เรี่ยวแรงก็สามารถช่วยกันสร้างให้วัดเกิดขึ้นได้  ที่สำคัญคือ “ต้องมีศรัทธา”  พระพุทธองค์จึงได้ทรงอนุโมทนาการสร้างวัดและคนที่ไปวัดบ่อยๆ ไว้ว่า  “วิหารย่อมป้องกันหนาว  ร้อน  และสัตว์ร้าย...การถวายวิหารแก่สงฆ์  พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญว่าเป็นทานอันเลิศ  ผู้ฉลาด  เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ตน  พึงสร้างวิหารอันรื่นรมย์ให้ภิกษุทั้งหลายผู้พหูสูต   พึงมีใจเลื่อมใสถวายข้าว น้ำ  ผ้า  และเสนาสนะ  และพระสงฆ์ย่อมแสดงธรรมอันบรรเทาทุกข์แก่คนเหล่านั้นจนสามารถรู้ทั่วถึงนิพพานในโลกนี้”

              จากข้อมูลดังกล่าวนี้  วัดจึงกลายเป็นสถานที่แห่งศรัทธา  และอนุสรณ์แห่งความดีของเหล่าบุคคลผู้มีศรัทธาที่ยอมเสียสละทรัพย์สมบัติหรือเรี่ยวแรงเพื่อสร้างบุญที่นับว่ามีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่


สร้างวัดในต่างประเทศเพื่ออะไร

              แม้พระพุทธองค์จะทรงยืนยันถึงความมั่งคงทางศาสนามาจากบริษัททั้ง ๔ คือภิกษุ ภิกษุณี  อุบาสก อุบาสิกาเป็นหลัก  แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานที่อย่างวัดเชตวัน และวัดเวฬุวัน เป็นต้นกลายเป็นสถานที่สอนธรรมปรากฎอยู่เกือบทุกแห่งในพระสุตตันตปิฎก 

              ยิ่งในปัจจุบันการสร้างวัดในต่างแดนอาจไม่ใช่เป็นเพียงแค่ที่พึ่งทางจิตใจเท่านั้น  แต่อาจรวมถึงอนาคตของพระพุทธศาสนาตามที่เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ได้เตือนสติ  "ในอนาคตประเทศไทยอาจไม่มีพระพุทธศาสนาอีกต่อไป  ตามหลักความไม่เที่ยง  ดูอย่างพระพุทธศาสนาในประเทศไทยที่มีมาแต่เดิมเมื่อรู้มันจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนแล้ว  ทำไมเราไม่เตรียมการเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาอย่างรู้เท่าทัน"  เป็นที่มาของการที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ เดินทางไปทั่วยุโรปและอเมริกาเพื่อสร้างวัดไทยเพื่อวางรากฐานพระพุทธศาสนาไว้ในต่างแดน 

              และเมื่อครั้งเจ้าคุณพระราชสุเมธาจารย์ (โรเบิร์ต สุเมโธ) หรือหลวงพ่อสุเมโธ เทศนาในงานกฐินวัดไทยอมราวดี  กรุงลอนดอน  ประเทศอังกฤษเล่าถึงการมาสร้างวัดไทยในกรุงลอนดอนว่า ตอนที่มาอยู่ได้เรียนถามหลวงพ่อชาว่า “ผมจะอยู่ได้อย่างไร คนประเทศนี้ไม่ใช่ชาวพุทธ”  หลวงพ่อชาถามว่า “แล้วที่นี่มีคนดีไหม” “มีครับ” ท่านสุเมโธตอบ  “ถ้ามีคนดีก็อยู่ได้” หลวงพ่อชาให้คำแนะนำ  ท่านสุเมโธจึงมั่นใจและสร้างวัดไทยในต่างประเทศได้สำเร็จ  วัดจึงกลายเป็นที่รวมคนดีและสร้างคนดีไม่ว่าจะในไทยหรือในต่างประเทศที่ไม่มีพระพุทธศาสนาก็ตาม

              แต่อย่างไรก็ดี  วัดก็ควรเป็นของคนทุกคน  ไม่ใช่ของใคร  “การสร้างวัดไม่ใช่ของพระสายใดสายหนึ่ง แต่เป็นสายพระพุทธ  พระไม่ว่าจากวัดไหนก็สามารถมาเยี่ยมเยือน  มาอยู่ร่วมกันได้ที่นี่  และต้องไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งแต่เป็นของคนไทยทุกคน  เป็นของพระพุทธศาสนา  เมื่อคนมาวัดไม่ว่าจะมาทุกข์อย่างไรต้องให้ได้รับความสุขหรือความดีกลับไป”  พระมหาขวัญยืน  สิริธมฺโม หัวหน้าคณะสงฆ์ศูนย์พุทธศาสนาฯ กล่าวถึงสาเหตุที่จะสร้างวัดเพื่อให้เป็นของคนไทยทุกคน  เป็นสาธารณประโยชน์ที่สามารถใช้ร่วมกันได้

              ฉะนั้น  คนจึงกลายเป็นผลเหตุสำคัญที่ทำให้วัดเกิดขึ้น  และที่สำคัญถ้าไม่แยกว่าคนนั้นเป็นคนไทยหรือเยอรมัน  เราจะพบว่าพระพุทธศาสนานั้นเป็นอนาคตสำหรับคนดีทุกคน  และของชาวพุทธผู้ประสงค์จะดำเนินตามแนวทางของพระพุทธองค์เพื่อความเป็นผู้รู้  ผู้ตื่น  และผู้เบิกบาน 


ชาวต่างชาติมองวัดไทยโบเด้นเซอย่างไร

              วัดหรือศูนย์พทธศาสนาฯ แห่งนี้ได้เปลี่ยนมุมมองของชาวต่างชาติที่เข้ามาสัมผัสแตกต่างกันไป  คุณเทียรี่ สาร์เซียร์ (Thierry Serzier) ซึ่งแต่ก่อนไม่ได้นับถือศาสนาอะไรกลับมานับถือศาสนาพุทธ  คุณโอผู้เป็นภริยาเล่าให้ฟังว่า  “ตอนที่แม่ของคุณเทียรี่ป่วยหนักต้องผ่าตัดด่วน  โอกาสรอด ๕๐/๕๐ ช่วงนั้นได้เข้าถวายสังฆทานที่วัด  พอกลับไปเหมือนปาฏิหาริย์แม่เขาก็อาการดีขึ้นจนทุกคนก็ประหลาดใจ  นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของคุณเทียรี่ที่ทำให้ได้รู้จักที่พึ่งทางใจ”  

              แม้แต่คุณเบาว์มัน (Baumann)  เจ้าของตึกที่ศูนย์พุทธศาสนาฯ เช่าอยู่ในปัจจุบัน ก็ชื่นชมความเป็นคนไทยและศาสนาพุทธ  เขาได้มาเห็นศรัทธาของคนไทยและฝรั่งเข้ามาที่ศูนย์แห่งนี้จำนวนมาก  จึงยอมลดค่าเช่าให้จำนวนหนึ่ง

              ที่น่าสนใจคือผู้หญิงชาวเยอรมันคนหนึ่งเห็นการแต่งตัวของพระจึงเดินเข้ามาพูดคุยด้วย  พร้อมแนะนำว่าเธอเคยทำสมาธิที่แคนนาดากับองค์ดาไลลามะมาก่อน  และรู้ว่ามีวัดไทยตั้งอยู่ที่นี่เลยต้องการเรียนรู้การทำสมาธิแบบไทย  ซึ่งสอดคล้องกับที่พระมหาขวัญยืน  สิริธมฺโมได้เล่าให้ฟังถึงฝรั่งที่สนใจวัดไทยส่วนหนึ่งมาจากการเคยได้ทำสมาธิมาก่อน  หรือบางคนก็เคยไปเมืองไทย  หรือบางคนรู้จักผ่านเว็บไซท์ของวัด (www.thaizentrum-bodensee.de/index.php/verein_de.html)

              คุณโทมัส เบเนส (Thomas Benes) หรือคุณทอมประธานศูนย์พุทธศาสนาฯ เมื่อถูกถามว่า “มีอะไรจะให้ทางวัดปรับปรุงบ้างไหม”  “ผมสิที่ต้องให้ทางวัดช่วยแนะนำว่าควรปรับปรุงอะไร  เพราะตัวเองยังดีไม่เท่าพระเลย  จะมีอะไรมากล้าแนะนำท่านได้”  คุณทอมตอบและยกมือไหว้พระแบบไทยบ่งบอกให้เห็นถึงการยอมรับและพร้อมช่วยเหลือศูนย์อย่างเต็มที่  สังเกตได้จากตอนที่แต่งตั้งให้เป็นประธาน ตัวคุณทอมเองไม่รู้ว่าจะมีคนเสนอชื่อ  แต่พอเสนอชื่อขึ้นไป  คุณทอมก็ตกปากรับคำทันที 

              จากองค์ประกอบทั้งหมดทั้งพระสงฆ์และกำลังศรัทธาของทั้งชาวพุทธไทยและเยอรมันดูจะพร้อมแล้วสำหรับการสร้างวัดที่มีพื้นที่จัดสรรค์ประโยชน์เป็นของตนเอง  เพื่อต่อลมหายใจพระพุทธศาสนาในประเทศเยอรมัน  และต้อนรับชาวพุทธที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศทั้งใกล้และไกลซึ่งนับวันมีแต่จะมากยิ่งขึ้น  เป็นศูนย์รวมของหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า  จัดกิจกรรมทางศาสนา และได้ช่วยกันอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยไว้ให้ลูกหลานในต่างแดนได้เรียนรู้ 

              แต่สิ่งเดียวที่ชาวพุทธทุกคนต้องช่วยกันต่อไปคือการร่วมกันเสียสละกำลังทรัพย์คนละเล็กละน้อยเพื่อสนับสนุนส่งเสริมบุญใหญ่ครั้งนี้  และตราบที่เรายังเชื่อมั่นในข้อคิดที่เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ได้ให้ไว้ว่า “เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น (ชาวโลก)  โดยไม่ยึดมั่นตัวเองมากเกินไป  ที่สำคัญต้องรู้จักอดทน  มั่นคงในความดี  ไม่ชิงดีชิงเด่นกันเอง"  ไม่นานเราจะได้ยินชื่อวัดไทยในโบเด้นเซ ประเทศเยอรมันในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน

              (สนใจชมกิจกรรมของศูนย์พุทธศาสนาฯ ได้ที่ Facebook ชื่อ Zentrum für Buddhismus und Thailändische Kultur-Bodensee e.V.)