
เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อแพวัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี ปี ๒๕๐๒
เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อแพวัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี ปี ๒๕๐๒ : ปกิณกะพระเครื่อง โดยไพศาล ถิระศุภะ
หลวงพ่อแพ เขมังกโร เป็นชาว จ.สิงห์บุรี โดยกำเนิด ซึ่งเป็นดินแดนแห่งวีรชนคนกล้า “ชาวบ้านบางระจัน” อันลือลั่นในประวัติศาสตร์ของชาติไทย
ท่านมีนามเดิมว่า “แพ ใจมั่นคง” ชาตะเมื่อวันจันทร์ที่ ๑ มกราคม ๒๔๔๘ ณ บ้านสวนกล้วย ต.พิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี เป็นบุตรของนายเทียน และนางหน่าย ใจมั่นคง เมื่ออายุได้ ๘ เดือน มารดาผู้ให้กำเนิดได้ถึงแก่กรรม นายบุญ และนางเพียร ขำวิบูลย์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา ได้ขอด.ช.แพ จากนายเทียน บิดาบังเกิดเกล้า มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม
พ.ศ. ๒๔๖๓ ด.ช.แพ อายุ ๑๖ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดพิกุลทอง ต.พิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี โดยมี พระอธิการพันธ์ จันทสโร เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากนั้นท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ ศึกษาภาษาบาลีไวยากรณ์ จนสอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค
พ.ศ.๒๔๖๙ สามเณรแพ มีอายุครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดพิกุลทอง โดยมี พระมงคลทิพยมุนี (มุ้ย) เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิราชาวาส กรุงเทพฯ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “เขมังกโร” แปลว่า “ผู้ทำความเกษม”
ภายหลังอุปสมบทแล้ว พระภิกษุแพ ได้กลับมาจำพรรษาที่วัดชนะสงคราม เช่นเดิม
พ.ศ.๒๔๗๐ พระภิกษุแพ สอบเปรียญธรรมได้ ๔ ประโยค และได้หยุดการศึกษาด้านปริยัติธรรม เนื่องจากมีปัญหาด้านสายตา ที่ต้องใช้ในการอ่านตำรับตำรา
หลังจากนั้น ท่านได้เริ่มหันมาศึกษาแนวทางปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และวิชาไสยเวท โดยได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของ พระครูใบฎีกาเกลี้ยง วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพฯ และ หลวงปู่ศรี วัดพระปรางค์ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี โดยท่านได้ศึกษาจนเจนจบ และมีความเชี่ยวชาญชำนาญทางนี้มาก
พ.ศ.๒๔๗๔ หลวงพ่อแพ อายุ ๒๖ ปี ได้รับนิมนต์ให้มาเป็นเจ้าอาวาส วัดพิกุลทอง แทนเจ้าอาวาสรูปเดิม ที่ลาสิกขา
ท่านได้พัฒนาวัดพิกุลทองให้เจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน ดังปรากฏในทุกวันนี้
สำหรับตำแหน่งหน้าที่การงานสำคัญที่ท่านได้รับ คือ พ.ศ.๒๔๘๓ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.๒๔๘๔ เป็นพระครูสัญญาบัตรในนาม “พระครูศรีพรหมโสภิต” พ.ศ.๒๕๓๙ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นกรณีพิเศษ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมในนาม “พระธรรมมุนี ฯลฯ
ตลอดชีวิตของหลวงพ่อแพ ท่านได้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์แก่สังคมอย่างอเนกอนันต์ และได้อุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้แก่ชาวบ้านผู้เดือดร้อน หรือตกทุกข์ได้ยากตลอดมา เปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรของประชาชนทั่วไป จวบจนท่านมรณภาพเมื่อวันพุธที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ สิริอายุ ๙๔ ปี พรรษา ๗๓
เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จัดสร้างขึ้นเมื่อพ.ศ.๒๕๐๒ โดยพระครูอดุลวิหารธรรม หรือพระอาจารย์ชั้น เจ้าอาวาส วัดวิหารขาว อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี เป็นผู้ขออนุญาตจัดสร้างขึ้น เพื่อแจกสมนาคุณแก่ผู้ที่ร่วมบริจาคทรัพย์บูรณปฏิสังขรณ์ ศาสนสถาน ภายในวัดวิหารขาว ซึ่งขณะนั้นชำรุดทรุดโทรมมาก
จำนวนสร้างประมาณ ๔,๐๐๐ เหรียญ ลักษณะเป็นเหรียญรูปไข่ ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อแพครึ่งองค์ หน้าตรง ขอบเหรียญด้านบนเป็นตัวอักษรเขียนว่า “หลวงพ่อพระครูศรีพรหมโสภิต”
ด้านหลังเป็นยันต์พุดซ้อน ซึ่งเป็นยันต์เอกลักษณ์ประจำตัวของหลวงพ่อแพ ใต้ยันต์เป็นตัวอักษรเขียนว่า “วัดพิกุลทอง” มีเนื้อทองแดงเพียงอย่างเดียว แบ่งออกได้เป็น ๕ พิมพ์ คือ ๑.พิมพ์ยันต์ขาด ๒.พิมพ์หน้าหนุ่ม ๓.พิมพ์คิ้วแตก ๔.พิมพ์หูขีด และ ๕.พิมพ์มีเม็ดตา
สำหรับพิมพ์ยันต์ขาด เนื้อเหรียญเป็นทองแดงผิวไฟ ส่วนอีก 4 พิมพ์ เป็นเหรียญทองแดงกะไหล่ทอง
หลังจากสร้างเหรียญเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อแพได้สั่งให้ พระอาจารย์ชั้น นำเหรียญรุ่นนี้ไปให้สหธรรมิกของท่านที่เก่งกล้าทางด้านไสยเวทปลุกเสกก่อน ๒ ท่าน คือ หลวงพ่อซวง อภโย วัดชีปะขาว ต.พระงาม อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี และ หลวงพ่อสวั่น อาทิจโจ วัดเทพมงคล ต.โรงช้าง อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี
พระอาจารย์ชั้น ได้นำเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อแพไปให้หลวงพ่อซวง ปลุกเสกก่อนเป็นปฐมฤกษ์ที่วัดชีปะขาว มีเรื่องเล่าเป็นเกร็ดว่า ในวันนั้นหลวงพ่อซวงรู้ด้วยพลังฌานของท่านว่า พระอาจารย์ชั้น จะนำเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อแพมาให้ท่านปลุกเสกช่วงกลางวัน ท่านจึงรีบฉันอาหารกลางวัน หลังจากฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระอาจารย์ชั้นได้เดินทางมาถึงพอดี หลวงพ่อซวงบอกให้รอสักประเดี๋ยว ท่านขอตัวแปรงฟัน อันเป็นกิจวัตรประจำวันของท่านก่อน
ขณะแปรงฟันได้เกิดอุบัติเหตุ โดยแปรงสีฟันได้ชำรุดหักทิ่มเหงือกของท่านจนมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย จากนั้นหลวงพ่อซวงได้นำเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อแพที่บรรจุอยู่ในถุงผ้าไปปลุกเสกต่อหน้าพระประธานในกุฏิของท่าน โดยใช้เวลาปลุกเสกประมาณ ๑ ชั่วโมง จึงนำถุงเหรียญมาส่งมอบให้กับพระอาจารย์ชั้น โดยท่านได้บอกกล่าวกับพระอาจารย์ชั้นว่า ท่านได้ปลุกเสกโดยเน้นไปทางคงกระพันชาตรีและมหาอุด เนื่องจากท่านต้องบริกรรมคาถา เพื่อห้ามเลือดที่ไหลออกมาจากเหงือกของท่านพร้อมกันไปด้วย
หลังจากนั้น พระอาจารย์ชั้นได้นำถุงเหรียญนี้ไปให้ หลวงพ่อสวั่น ปลุกเสกต่อ ที่วัดเทพมงคลในวันเดียวกัน
พระอาจารย์สวั่น รูปนี้นอกจากท่านจะเชี่ยวชาญทางด้านแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี แล้ว ท่านยังเก่งทางใช้คาถาอาคมรักษาผู้ที่ถูกสุนัขบ้ากัด และสัตว์ที่มีพิษกัดต่อย ใครที่ถูกสุนัขบ้าหรืองูพิษกัด เมื่อนำมาให้ท่านรักษา จะรอดตายทุกคน
หลวงพ่อสวั่น ใช้เวลาปลุกเสกประมาณ ๑ ชั่วโมง และได้บอกกล่าวกับพระอาจารย์ชั้นว่า การปลุกเสกของท่านจะเน้นหนักให้เหรียญรุ่นนี้สามารถกันเขี้ยวงาและคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
หลังจากนั้น พระอาจารย์ชั้น ได้นำเหรียญทั้งหมดไปมอบให้หลวงพ่อแพ ซึ่งท่านได้ใช้เวลาปลุกเสกนานนับเดือน โดยท่านได้บอกกล่าวกับพระอาจารย์ชั้นว่า ท่านได้ปลุกเสกเน้นหนักไปทางด้านแคล้วคลาด และเมตตามหานิยม
เมื่อเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อแพได้รับการปลุกเสกครบทั้ง ๓ คณาจารย์แล้ว พระอาจารย์ชั้นได้แบ่งเหรียญส่วนหนึ่งถวายให้หลวงพ่อแพ เพื่อไว้แจกศิษยานุศิษย์ ส่วนที่เหลือพระอาจารย์ชั้นได้นำกลับไปที่วัดวิหารขาว เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งไว้
เหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อแพ มีประสบการณ์สูงทางด้านพุทธคุณในทุกๆ ด้าน เรื่องที่มีการกล่าวขวัญกันมาก คือ ในช่วง พ.ศ.๒๕๐๕ มีนักโทษคนหนึ่งจากเรือนจำแดนบางขวาง ต้องโทษถูกประหารโดยการยิงเป้าด้วยปืนกลมือแบล็กมันน์ แต่ไม่ว่าจะยิงอย่างไร กระสุนก็ไม่ลั่น เจ้าหน้าที่กรมราชทันต์ต้องค้นตามตัวว่ามีของดีอะไรซุกซ่อนอยู่ ปรากฏว่าไปพบเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อแพ อยู่ในซอกรักแร้ด้านขวา เมื่อนำเหรียญนั้นออกจากตัวนักโทษ กระสุนก็ได้ปลิดชีพนักโทษผู้นั้นอย่างง่ายดาย
อีกเรื่องหนึ่ง คือ ในช่วงราว พ.ศ.๒๕๑๕ มีอาสาสมัครชาวไทยกลุ่มหนึ่งประมาณ ๑๐ คน ซึ่งเป็นอดีตทหารเกณฑ์ที่ปลดประจำการแล้ว ได้ไปเป็นนักรบรับจ้างที่ประเทศกัมพูชา โดยอยู่ทางฝ่ายเขมรเสรี (ฝ่ายสาธารณรัฐ) ได้ต่อสู้กับฝ่ายเขมรแดง (ฝ่ายคอมมิวนิสต์) ปรากฏว่า มีผู้รอดตายกลับเมืองไทยมาเพียงคนเดียว ที่เหลือเสียชีวิต โดยผู้ที่รอดตายกลับมาให้ข่าวว่า ที่เขารอดตายมาได้ครั้งนั้นเนื่องจากบารมี เหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อแพ ที่เขาพกพาติดตัวไปเพียงเหรียญเดียวเท่านั้น
จึงทำให้เหรียญรุ่นนี้ได้รับสมญานามว่า “เหรียญหลวงพ่อแพ รุ่น เขมรแดง”
ปัจจุบัน เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อแพ ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในวงการพระเครื่อง โดยเฉพาะชาวสิงห์บุรีจะรักและหวงแหนเป็นพิเศษ
สำหรับราคาที่เช่าหากันนั้น อยู่ที่ระดับหลักหมื่นต้นขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพความสวยคมของเหรียญซึ่งใช้เป็นหลักในการพิจารณา
(ขอขอบพระคุณ เอ พระราหู ที่ได้กรุณาเอื้อเฟื้อภาพประกอบเรื่องนี้)