
มีกูแล้วไม่จนพุทธคุณแห่ง'พระกำแพงซุ้มกอ'
มีกูแล้วไม่จนพุทธคุณแห่ง'พระกำแพงซุ้มกอ' : เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู
พระกำแพงซุ้มกอ เป็นพระศิลปะสุโขทัยยุคต้น สร้างประมาณ พ.ศ.๑๙๐๐ สมัยพญาลิไท ขุดค้นพบหลายกรุ โดยครั้งแรกพบ ณ วัดพระบรมธาตุ โดยเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์โต แห่งวัดระฆัง ต่อมา พ.ศ.๒๔๙๐ และ ๒๕๐๑ ก็พบอีกแต่ไม่มาก พ.ศ.๒๕๐๕ และพ.ศ.๒๕๐๙ พบจากกรุวัดพิกุลทอง, วัดฤาษี วัดหนองลังกา และวัดซุ้มกอ
ทั้งนี้เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๒ เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์โตแห่งวัดระฆัง ได้ไปเยี่ยมญาติที่เมืองกำแพงเพชร ได้พบศิลาจากรึกที่วัดเสด็จ จึงทราบว่ามีพระเจดีย์ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำปิง ฝั่งเมืองนครชุมเก่า ท่านจึงได้ดำริให้เจ้าเมืองออกสำรวจแล้วก็พบเจดีย์ อยู่ ๓ องค์ อยู่ใกล้ๆ กัน แต่ชำรุดมาก จึงได้ชักชวนให้เจ้าเมืองรื้อพระเจดีย์เก่าทั้ง ๓ องค์ รวมเป็นองค์เดียวกัน แต่เมื่อรื้อถอนแล้วจึงได้พบพระเครื่องสกุลกำแพงเพชรเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และแตกหักตามสภาพกาลเวลา
ในครั้งนั้นท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์โต ท่านเห็นว่าเศษพระที่แตกหักนั้นยังมีพุทธคุณอยู่ท่านจึงนำกลับมายังวัดระฆังจำนวนหนึ่งพร้อมกับเศษอิฐและเศษหิน และบันทึกใบลานเก่าแก่ที่ได้บันทึกเกี่ยวกับวิธีการสร้างพระสกุลกำแพงเพชร จึงนำเอาเศษพระกำแพงที่แตกหักมาบดเป็นส่วนผสมในการสร้างพระสมเด็จของท่านจนขึ้นชื่อโด่งดังไปทั่วประเทศ เพราะท่านได้สร้างตามสูตรการสร้างพระซุ้มกอกำแพงเพชร ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพระสมเด็จในยุคแรกๆ จะมีลักษณะโค้งมนเหมือนกับพระซุ้มกอเพราะว่าพระซุ้มกอกำแพงเพชรเป็นต้นแบบของพระสมเด็จวัดระฆังนั่นเอง
พุทธของคุณพระกำแพงซุ้มกอนั้นไม่ต้องพูดถึง มีครบเครื่องไม่ว่าเรื่องเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ตลอดจนเรื่องโชคลาภ จนมีคำพูดที่พูดติดปากกันมาแต่โบราณกาลว่า “มีกูแล้วไม่จน” ถ้าไปในที่ต่างๆ อยากกินน้ำ หาน้ำไม่ได้ ท่านให้อาราธนาพระใส่ไว้ในปาก หายอยากน้ำแล ถ้าเอาพระไว้บนศีรษะแล้ว ปืนแลหน้าไม้ยิงมาเป็นห่าฝนก็ไม่ถูกตัวเรา เป็นต้น
อาจารย์ราม วัชรประดิษฐ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์พุทธศิลป์ เจ้าของ "www.aj-ram.com " อธิบายให้ฟังว่า พระกำแพงซุ้มกอแบ่งเป็นมีกนก และไม่มีกนก มีทั้งพิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์ขนมเปี๊ยะ หลากหลายสีขึ้นอยู่กับการเผา เนื้อผ้าเป็นดินกำแพงเพชรมีว่านดอกมะขามปรากฏอยู่ ซุ้มเป็นตัว ก ไก่ เป็นที่มาของชื่อพระ พระกำแพงซุ้มกอเป็นพระที่ขึ้น ณ ลานทุ่งเศรษฐี จ.กำแพงเพชร มีหลายกรุ เช่นวัดบรมธาตุ วัดพิกุล วัดฤาษี ได้รับการนำมาเข้าชุดเบญจภาคีเพื่ออาราธนาขึ้นคอแทนพระกำแพงลีลาเม็ดขนุนเนื่องจากมีความสมดุล (Balance) มากกว่า เป็นพระที่มีอิทธิพลของลังกาองค์พระสง่างามหนาใหญ่แสดงให้เห็นในศิลปะสุโขทัยอย่างชัดเจน
พระกำแพงซุ้มกอที่มีชื่อเสียงในวงการมีอยู่หลายองค์ เช่น องค์เสมา องค์จำเริญ วัฒนายากร องค์เสี่ยอุดม กวัสราภรณ์ องค์ซุ้มกอดำ แต่ที่ดังที่สุดได้แก่ พระกำแพงซุ้มกอพิมพ์ใหญ่มีกนกเนื้อสีแดง องค์เจ้าเงาะ ผู้ที่ค้นพบคือ อาจารย์เชียร ธีรศานต์ ซึ่งพบจากก้นหลุม ท่านเป็นคนตั้งชื่อให้เนื่องจากผิวด้านหน้าและด้านหลังองค์พระมีราดำ หรือ รารัก เกาะติดแน่นเต็มไปหมด ซึ่งราดังกล่าวเป็นพืชชนิดหนึ่งเมื่อพระได้อายุราดำจะเกิดขึ้นหากนำพระขึ้นจากกรุใหม่ๆ แล้วพยายามล้างผิวพระจะเสีย
ขอบคุณรูปภาพพระชุดเบญจภาคี ที่อยู่ในความครอบครองของนายสุขธรรม ปานศรี หรือที่คนในวงการรถยนต์รู้จักในชื่อ “เฮียกุ่ย” นักสะสมพระหลวงพ่อทวดชุดเนื้อทองคำ รวมทั้งพระชุดหลักๆ ที่ขึ้นชื่อว่าสวยแชมป์ทั้งรัง
ไตรภาคี-เบญจภาคี
ในหนังสือพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของคำว่า "เบญจ" (อ่านว่า เบน-จะ) หมายถึง ห้า (๕) ลำดับที่ ๕ ส่วนคำว่า "ภาคี" หมายถึง ผู้มีส่วน ผู้เป็นฝ่าย เมื่อนำมารวมกันเป็นคำ “เบญจภาคี” จึงหมายถึง ห้าส่วน ห้าแบบ หรือห้าชนิด นั่นเอง
ส่วนคำว่า “เบญจภาคี” ที่ถูกมาใช้ในวงการพระเครื่องนั้น "ตรียัมปวาย" หรือ "พ.อ.(พิเศษ) ประจน กิตติประวัติ" อดีตนายทหารประจำกองบัญชาการทหารสูงสุด ได้จัดทำเนียบชุด "พระเครื่องเบญจภาคี" ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ โดยเมื่อแรกเริ่มยังคงเป็นเพียง "ไตรภาคี" คือ มีเพียง ๓ องค์เท่านั้น ประกอบด้วย 'พระสมเด็จ' วัดระฆังโฆสิตาราม เป็นองค์ประธาน ซ้ายขวาเป็นพระนางพญา จ.พิษณุโลก และพระรอด จ.ลำพูน หลังจากนั้นจึงได้ผนวก 'พระกำแพงซุ้มกอ' กำแพงเพชร และ 'พระผงสุพรรณ' สุพรรณบุรี เข้าเป็นชุด เบญจภาคี สุดยอดปรารถนาของนักสะสมพระเครื่องทั้งหลาย จากค่านิยมกันในหลักพันบาท และทะยานเข้าสู่หลักหลายสิบล้านในปัจจุบันนี้
แม้ว่าพระเครื่องในชุดพระเบญจภาคีจะขึ้นสุดยอดแล้ว พระสมเด็จวัดระฆัง สร้างโดยท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พฺรหฺมรังษี เป็นตัวแทนยุครัตนโกสินทร์ เป็นพระเครื่องที่มีอายุการสร้างน้อยที่สุด ในบรรดาเบญจภาคีด้วยกัน พระสมเด็จวัดระฆัง สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔ ที่วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ "สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่" จัดได้ว่าเป็นสุดยอดพระเครื่องตลอดกาล หรือ "จักรพรรดิแห่งพระเครื่อง" อีกทั้งเป็นสุดยอดความปรารถนาที่จะได้ไว้ในครอบครองของบรรดาเหล่าผู้นิยมพระเครื่อง หรือนักสะสมของเก่าทั้งหลาย จัดได้ว่าเป็นของล้ำค่าชิ้นหนึ่งทีเดียว เหตุที่สร้างขึ้นมาก็เพื่อเป็นการสืบทอดพระศาสนาตามเยี่ยงโบราณกาล นอกจากนี้ยังมีพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม พระสมเด็จวัดเกศไชโยวรวิหาร ก็เป็นที่นิยมไม่แพ้กัน
อุปเท่ห์พระผงสุพรรณ
พุทธคุณของพระผงสุพรรณ กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.สุพรรณบุรี เป็นที่เลื่องชื่อลือชาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ซึ่งปรากฏในจารึกลานทองที่ได้จากกรุและถูกคัดลอกออกเป็น ๖ สำเนา กล่าวถึงกรรมวิธีการสร้าง และ "อุปเท่ห์" อันหมายถึงวิธีการอาราธนาองค์พระเพื่อให้ท่านช่วยเหลือในสถานการณ์ต่างๆ โดยฤาษีผู้สร้าง "พระผงสุพรรณ" ได้ลำดับอุปเท่ห์ไว้ เช่น
-แม้อันตรายสักเท่าใดก็ดีให้นิมนต์พระใส่ไว้บนศีรษะหรืออาราธนาผูกไว้ที่คอ อันตรายทั้งปวงหายสิ้นแล
-ถ้าจะเข้าการรณรงค์สงคราม ให้เอาพระสรงน้ำมันหอม เสกด้วยนวหรคุณ แล้วเอาน้ำมันหอมมาใส่ผม ไปได้สำเร็จความปรารถนาแล
-ถ้าผู้ใดจะประสิทธิ์ด้วยหอกดาบศัสตราวุธทั้งปวง ให้อาราธนาพระสรงน้ำมันหอมใส่ชันสัมฤทธิ์ พิษฐานเอาตามความปรารถนาเถิด แล้วเสกด้วยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ๑๐๘ คาบ พาหุง ๑๓ จบ เอาน้ำมันหอมทาทั้งหน้า คอ หน้าอก และผม จะสำเร็จผลตามความปรารถนาทุกอย่าง อยู่คงกระพันชาตรี ศัสตราวุธทั้งปวงจะมิมาต้องตัวผู้นั้นเลย ศักดิ์สิทธิ์แท้
-ถ้าผู้ใดจักใคร่ได้มาตุคาม ท่านให้อาราธนาพระสรงน้ำมันหอม แล้วเอาน้ำมันหอมนั้นมาใส่ใบพลูประสิทธิ์แก่คนผู้นั้น จะศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้นั้นแล
-ถ้าจะให้มีสง่าราศีเป็นสิริมงคลการเจรจาให้ผู้อื่นเชื่อฟังยำเกรง ท่านให้อาราธนาพระสรงน้ำมันหอม หุงขี้ผึ้งสีปาก เสกด้วยนวหรคุณ ๑๓ จบ พาหุง ๑๓ จบ พระพุทธคุณ ๑๓ จบ ให้เอาดอกไม้ธูปเทียนบูชา ทำพิธีในวันเสาร์ แล้วเอาขี้ผึ้งทาริมฝีปาก หน้าอก แลผม จะศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้นั้นตามปรารถนา คนทั้งหลายทั้งกลัวทั้งเกรง เก็บไว้ใช้ได้เสมอ เป็นมหาวิเศษ
-ถ้าว่าจะค้าขายก็ดี จะไปหนบกหนเรือก็ดี ท่านให้นมัสการด้วยบทพาหุง แล้วอาราธนาพระสรงน้ำมันหอม เสกด้วยอิติปิโส ๑๑ คาบ แล้วเอาน้ำมันหอมนั้นประพรมของ เอามาลูบหน้า ลูบศีรษะ และกินบ้าง ถ้าแม้จักไปขายหนบกหนเรือก็ศักดิ์สิทธิ์ คนทั้งหลายขายไม่ได้เราก็ขายได้
-ถ้าจะคิดการสิ่งใดหรือจักไปหนไหนๆ จะให้สมความปรารถนา ท่านให้อาราธนาพระใส่บนศีรษะก็จักสมความปรารถนาประเสริฐนักแล
-ถ้าจักให้สวัสดิมงคล เจริญผลสถาพรทุกเมื่อ ให้เอาดอกไม้ ดอกบัวบูชาทุกวัน ถวายพรพระพิมพ์ทุกวัน จะปรารถนาสิ่งใดก็สำเร็จผลทุกอัน
-ถ้าไปในที่ต่างๆ อยากกินน้ำ หาน้ำไม่ได้ ท่านให้อาราธนาพระใส่ไว้ในปาก หายอยากน้ำแล