
คบเด็กสร้างบ้านดีกว่าคบผู้ใหญ่เผาเมือง
คบเด็กสร้างบ้านดีกว่าคบผู้ใหญ่เผาเมือง : สำราญ สมพงษ์ นิสิตปริญญาโทสันติศึกษา มจร รายงาน
ช่วงเดือนตุลาคมนี้ได้ทราบความอัศจรรย์ของสาวน้อย 2 คน แม้จะต่างวัยกันบ้างแต่หัวใจของพวกเธอเหมือนกันคือมีจิตอาสาปรารถนาที่จะให้บุคคลอื่นพ้นจากทุกข์มีความสุข ตรงกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาคือ "กรุณา"
สาวน้อยไร้เดียงสา5ขวบ"ทูตแห่งมุ้ง"
สาวน้อยคนแรกอายุเพียง 5 ขวบชื่อ "แคตเธอรีน" Katherine Commale โดยทราบข้อมูลของเธอจากการแชร์ข้อมูลทางสังคมออนไลน์ แม้จะยังไร้เดียงสาแต่มีความคิดที่ต้องการช่วยคนผู้ตกทุกข์ได้ยากผ่านไปเพียง 2 ปีสามารถช่วยเหลือคนได้มากถึง 2 หมื่นคน มูลนิธิบิลเกตประกาศบริจาคเงิน 100 ล้านบาทเพื่อทำวิถีชีวิตของเธอ จึงน่าจะเป็นแบบอย่างสำหรับเยาวชนทั่วไทยยุคปัจจุบัน
จุดประกายความคิดของ "แคตเธอรีน" เริ่มจากดูสารคดีเรื่องราวของทวีปแอฟริกาที่มีเนื้อหาระบุว่า "เฉลี่ย 30 วินาที ก็จะมีเด็กคนหนึ่งตายเพราะโรคมาลาเรีย" เธอถามแม่และรู้ว่า ครอบครัวที่แอฟริกายากจนไม่มีเงินซื้อมุ้ง
เธอเก็บเงินค่าขนมที่แม่ให้แล้วขอให้แม่พาไปซื้อมุ้งที่แช่น้ำยากันยุงด้วยเงิน 10 เหรียญที่สะสมไว้ และขอให้แม่ช่วยหาทางส่งมุ้งไปให้ชาวแอฟริกาผ่านทางองค์กรการกุศลชื่อ "Nothing but net" ที่จัดทำเรื่องนี้
ผ่านไป 1 สัปดาห์เธอได้รับจดหมายขอบคุณจากหน่วยงานนี้ พร้อมบอกว่าเธอเป็นผู้บริจาคที่อายุน้อยที่สุด และถ้าบริจาคมุ้งครบ 10 หลังเธอจะได้รับใบประกาศเกียรติคุณ
"แคตเธอรีน" มีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือชาวแอฟริกาเพิ่มมากขึ้นโดยขอให้แม่ไปเปิดท้ายขายของกับเธอ โดยเอาหนังสือเก่า ของเล่น เสื้อผ้าเก่ามาขาย เพื่อหาเงินไปบริจาค โดยเธอคิดว่า ตอนเธอบริจาคมุ้งเขายังให้ใบประกาศเกียรติคุณคนที่ซื้อของเธอให้เงินเธอ ก็น่าจะได้รับเหมือนกัน แล้วเธอก็เริ่มลงมือทำ ใบประกาศเกียรติคุณใบประกาศเกียรติคุณทุกใบมีลายมือพร้อมลายเซ็นที่เธอเขียนเองว่า "ในนามของคุณ เราได้ซื้อมุ้ง 1 อัน ส่งไปแอฟริกา"
คนที่เห็นความน่ารักและความตั้งใจของเธอก็ช่วยกันบริจาค 10 เหรียญ ซื้อมุ้ง 1 อัน และทุกคนจะได้ใบประกาศเกียรติคุณแค่ไม่นาน เธอก็ส่งเงินครบ10หลังไปยัง "Nothing but net" แล้วเธอก็ได้รับแต่งตั้งเป็น "ทูตแห่งมุ้ง"
เพื่อนบ้านของเธอนอกจากซื้อมุ้งจากแคตเธอรีนยังช่วยเธอทำใบประกาศเกียรติคุณ กลายเป็นทีมงาน "แคตเธอรีน" บาทหลวงในชุมชนก็เชิญเธอไปพูดในโบสถ์ พูดแค่ 3 นาที ก็ได้เงินบริจาคมา 800 เหรียญ ทำให้เธอมีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาก เดินทางไปพูดที่โบสถ์อื่น
ตอนเธออายุครบ 6 ขวบ ได้รับเงินบริจาคแล้ว 6,316 เหรียญ "nothing but net" เริ่มเอาเรื่องของเธอลงในเว็บไซต์ วันหนึ่งเธอเห็น "เดวิด เบคแฮ่ม" อดีตนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษดังปรากฎตัวทางทีวี ช่วยทำประชาสัมพันธ์การกุศลให้ "nothing but net" เธอจึงรีบส่งใบประกาศเกียรติคุณของเธอให้กับ "เบคแฮ่ม" เพื่อเป็นการขอบคุณ
หลังจาก "เบคแฮ่ม" เอาใบประกาศเกียรติคุณนี้ขึ้นเว็บส่วนตัว เรื่องของเธอยิ่งดัง เธอได้รับจดหมายจากหมู่บ้านที่รับมุ้ง เด็กในหมู่บ้านเขียนว่า "ขอบคุณมุ้งของเธอ เราเห็นรูปเธอ เรารู้สึกว่าเธอสวยมาก"
"แคตเธอรีน" ดีใจมากทำให้มีกำลังใจเพิ่มอีก เธอและทีมงานลงมือทำใบประกาศเกียรติคุณ 100 ใบ ส่งให้มหาเศรษฐีที่ติดอันดับโลก มีใบหนึ่งเขียนว่า "คุณบิลเกตที่เคารพ ไม่มีมุ้ง เด็กแอฟริกาจะตายเพราะมาลาเรีย พวกเขาต้องการเงิน แต่เงินอยู่ที่คุณ...." ต่อมามูลนิธิบิลเกตประกาศบริจาคเงิน 100 ล้านบาทให้ "Nothing but net"
ต่อมาในปี 2008 มูลนิธิบิลเกตออกเงินถ่ายทำสารคดี "เด็กช่วยเด็ก" "แคตเธอรีน" จึงได้ไปแอฟริกา เด็ก ๆ ที่นั่นเขียนชื่อเธอไว้บนมุ้ง พวกเขาเรียกมุ้งนี้ว่า "มุ้งแคตเธอรีน" หมู่บ้านนี้ เดี๋ยวนี้ชื่อว่า "หมู่บ้านแคตเธอรีน" .......
มาลาลาโนเบลสาขาสันติภาพอายุน้อยที่สุด
เรื่องราวของสาวน้อยที่น่าจะเป็นแบบอย่างอีกคนหนึ่งคือ น.ส.ยูซัฟไซ มาลาลา สาวน้อยวัย 17 ปี เกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2540 ณ เมืองมินโกรา (Mingora) เขตสวัด (Swat) จังหวัดไคเบอร์ปัคตุนควา (Khyber Pakhtunkhwa) ประเทศปากีสถาน พ่อของเธอนายไซอุดดิน (Ziauddin) เป็นเจ้าของโรงเรียนสตรีแห่งหนึ่ง ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพคนล่าสุดเมื่อต้นเดือนตุลาคม และวันที่ 22 ตุลาคม ที่ผ่านมา เธอได้รับรางวัลเกียรติยศลิเบอร์ตี้เมดเดิลจากเมืองฟิลาเดลเฟียประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะที่เธอพยายามส่งเสริมการศึกษาให้แก่เด็กผู้หญิง
น.ส.มาลาลาจะได้รับเงิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.2 ล้านบาท โดยเธอบอกว่า จะนำเงินไปใช้ในปากีสถานประเทศบ้านเกิดเพื่อช่วยให้เด็กมีการศึกษาเล่าเรียนและสนับสนุนในด้านอื่นๆ และยังขอร้องเหล่าผู้นำโลกให้ใช้เงินเพื่อการศึกษา ไม่ใช่เพื่อทำสงครามและแก้ปัญหาด้วยการเจรจาพูดคุยกัน
น.ส.มาลาลาโลกรู้จักกันในนามของเด็กหญิงที่ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิทธิแห่งการศึกษาแก่เด็กผู้หญิง ทำให้เธอได้รับรางวัลต่างๆมากมาย อาทิ รางวัลสิทธิมนุษยชนเพื่ออิสรภาพของผู้หญิงนานาชาติ ( Simone de Beauvoir Prize, International Human Rights Prize for Women’s Freedom, 2013) และรางวัลเยาวชนเพื่อสันติภาพแห่งชาติ (National Youth Peace Prize,2011) และเธอถือเป็นคนแรกของปากีสถานที่ได้รับรางวัลนี้
นอกจากนี้นิตยสาร TIME ได้จัดให้เธอได้รับเลือกเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลอันดับสองแห่งปี 2012 รองจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา และจากที่เธอต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อนั้นทำให้ สหประชาชาติได้ถือเอาวันที่ 12 กรกฎาคม ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดครบ 16 ปี ของเธอประกาศให้วันนี้เป็น “วันมาลา” (Malala Day) หรือวันเพื่อการศึกษาของเด็กทั่วโลก
น.ส.มาลาได้ฉายแววของการเป็นนักต่อสู้เหมือนพ่อของเธอ จากข้อมูลที่กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกาทำเผยแพร่โอกาสที่เธอได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เริ่มจากเธอได้กล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ “ตาลิบันอาจหาญอย่างไรในการระงับสิทธิขั้นพื้นฐานทางการศึกษาของฉัน” (How Dare the Taliban Take Away My Basic Right to an Education) เมื่ออายุได้ 11 ปี(กันยายน 2551) นับเป็นการปรากฏสู่สาธารณะครั้งแรก เมื่อพ่อพาไปเข้าร่วมงานชุมนุมที่อำเภอเมือง เปชวาร์ (Peshawar) เพื่อร่วมต่อต้านการโจมตีโรงเรียนสตรีของตาลิบัน
น.ส.มาลาลาเริ่มมีชื่อเสียงผ่านบล๊อกที่เธอเขียนให้แก่ BBC โดยใช้นามแฝงที่ชื่อว่า “กุล มาไค (GulMakai)” เธอเริ่มลงข้อความตั้งแต่ต้นปี 2552 โดยได้เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตในช่วงที่ถูกตาลิบันควบคุมและจำกัดสิทธิเสรีภาพของสตรี เช่น ห้ามผู้หญิงแต่งกายสีฉูดฉาด ห้ามผู้หญิงเดินตลาด และห้ามนักเรียนหญิงไปโรงเรียน เธอเป็นที่รู้จักมากขึ้นอีกเมื่อได้สัมภาษณ์ผ่านรายการโทรทัศน์ที่ต่อต้านฏอลิบาน ซึ่งมีผู้ฟังมากถึง 25 ล้านคน
เดือน พ.ค. 2552 นิตยสารนิวยอร์คไทม์ (New York Times) ได้ถ่ายสารคดีเกี่ยวกับเธอ โดยได้ถ่ายทำจริงในระหว่างที่กองทัพปากีสถานได้เข้าทำการสู้รบในสงครามครั้งที่สองแห่งสวัด (Second Battle of Swat) ซึ่งทำให้น.ส.มาลาลาเป็นที่รู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้น
น.ส.มาลาลากับชาวปากีสถานนับล้านได้หลบหนีออกจากหุบเขาสวัด จากเหตุความวุ่นวายในครั้งนี้ ทำให้เธอและครอบครัวแยกจากกัน การต่อสู้ดำเนินไปในที่แห่งนี้นานหลายเดือน จนถึงเดือนสิงหาคม พวกเขาได้กลับมาที่สวัดอีกครั้งเมื่อกองทัพทหารปากีสถานได้ประกาศว่าเขตสวัดอยู่ในความสงบแล้ว ในตอนนั้นเองพ่อของมาลาลาได้เปิดเผยว่ามาลาลานั้นเองที่เป็นคนเขียนบล็อคให้แก่ BBC ส่งผลให้พวกตาลิบันมุ่งเป้าคุกคามคนในครอบครัวเธอตั้งแต่นั้นมา
หลังสงครามสงบ น.ส.มาลาลาได้ทำหน้าที่เป็นประธานของสภาเด็กแห่งเขตสวัด (District Child Assembly Swat) เพื่อเรียกร้องให้มีอิสรภาพทางการศึกษาทั้งในปากีสถานและในเวทีโลก จนเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2555 น.ส.มาลาลาถูกลอบยิงจากมือปืนตาลิบันขณะเธอนั่งรถโรงเรียนกลับบ้านจนเมื่อวันที่ 15 ตุลาคมเธอได้ถูกย้ายไปรักษาตัวที่ประเทศอังกฤษ
น.ส.มาลาลาได้ร่วมกับ"คริสตินา แลมบ์"ได้เขียนหนังสืออัตชีวประวัติของเธอชื่อ "I am Malala" ที่ได้รับการแปลไปเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งภาษาไทยด้วย
ในโอกาสที่เธอได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ นายทอร์บยอร์น ยักแลนด์ ประธานคณะกรรมการโนเบล ประกาศเกียรติคุณเธอว่า แม้อายุยังน้อย แต่น.ส.มาลาลาเป็นตัวอย่างของการแสดงให้เห็นว่า เด็กและเยาวชน ก็สามารถมีส่วนร่วมในการปรับปรุงสถานการณ์ของตนเองได้ และเธอได้ทำสิ่งนี้ภายใต้เงื่อนไขอันตรายที่สุด
วรรคทองของเทพธิดาแห่งหุบเขาสวัด
"หนูอยากจะกรีดร้อง ตะโกนบอกให้คนทั่วโลกได้รับรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา แต่ก็เป็นไปไม่ได้ ตาลีบันอาจจะฆ่าหนู ฆ่าพ่อ ฆ่าทั้งครอบครัวของหนู หนูอาจจะตายโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเลย ด้วยเหตุนี้หนูจึงเลือกจะเขียนบันทึกโดยใช้ชื่ออื่น แล้วก็ได้ผล หุบเขาของเราเป็นอิสระแล้ว" นี้เป็นคำที่ถ่ายทอดคำพูดของเธอขณะอายุเพียง 11ปี ผ่านคอลัมน์ เปิดโลกวันอาทิตย์ โดย... บุญรัตน์ อภิชาตไตรสรณ์ อดีตนักข่าวอาวุโสเครือเนชั่น
"บุญรัตน์ อภิชาตไตรสรณ์" ได้ถ่ายทอดบันทึกประจำวันของเธออาทิ "ตอนที่ตาลีบันมาที่หุบเขานี้ พวกเขาก็ห้ามผู้หญิงไม่ให้ไปตลาดหรือไปช็อปปิ้ง ห้ามแต่งกายสีสันฉูดฉาด"
"7มกราคม2552 : หนูมาที่บูเนียร์เนื่องจากเป็นวันหยุดทางศาสนา หนูชอบที่นี่มากเพราะมีเขาล้อมรอบ ทุ่งหญ้าก็เขียวขจี หุบเขาสวัตที่หนูอยู่ก็สวยงามเช่นกัน แต่ไม่มีสันติภาพ แต่ที่บูเนียร์มีทั้งสันติภาพและความสงบร่มเย็น ที่นี่ไม่มีเสียงปืนและไม่มีความหวาดกลัวใดๆ พวกเราทุกคนต่างมีความสุขมากที่สุด"
และคำกล่าวตอนหนึ่งในการกล่าวสุนทรพจน์ ณ ที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติว่า
"หยิบหนังสือของเรา และปากกาของเราขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่ทรงอานุภาพกว่าอาวุธ เด็ก 1 คน ครู 1 คน หนังสือ 1 เล่ม ปากกา 1 ด้าม สามารถเปลี่ยนโลกนี้ได้"
จากความมีจิตอาสาของสาวน้อยทั้งสองคน คงจะต้องคิดใหม่กับสุภาษิตโบราณที่ว่า "อย่าคบเด็กสร้างบ้าน" และ "เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด" เสียแล้ว เพราะผู้ใหญ่บางคนก็มุ่งเผาเมืองเพราะความไม่รู้จักพอมุ่งชนะกันด้วยสงครามแต่ปากก็ถามหาสันติภาพ