พระเครื่อง

สนเฒ่าเมื่อปัจฉิมวัยไม้ใกล้ฝั่ง

สนเฒ่าเมื่อปัจฉิมวัยไม้ใกล้ฝั่ง

22 ต.ค. 2557

สนเฒ่าเมื่อปัจฉิมวัยไม้ใกล้ฝั่ง : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา

                 การได้มากราบท่านสนเฒ่าครั้งล่าสุดนี้ ทำให้ผมอดนึกถึงเพลงเก่าๆ ของวงแกรนด์เอ็กซ์ ไม่ได้...เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ความหวังใกล้หมด กำลังถอยลด เหมือนหมดความหมาย ฯลฯ ด้วยวัยใกล้ ๘๓ พร้อมสารพัดสารโรคที่แฝงอยู่ในกายท่าน ทำให้ไม่สามารถพูดสอนธรรมได้ในวันปกติ โชคดีของผู้เขียน ที่วันนั้นเป็นวันพิเศษ จึงเสวนาธรรมกับท่านได้เป็นชั่วโมงๆ

                 "อาทิตย์ก่อน คิดว่าจะต้องตายแล้ว... ครั้งนี้ ป่วยหนักจริงๆ ยังอุตส่าห์พาหลวงตาไปโรงพยาบาลจนได้ กลับมาได้ ๗ วันก็รู้สึกดีขึ้น หมดเรื่องที่จะสอนใครต่อใคร ไม่เอาแล้ว”

                 หลวงตาเล็ก (สนเฒ่าแสดงธรรม) เริ่มแบ่งปันเรื่องราวให้ฟัง

                 “... สัญญาไม่เที่ยง นี่น่ะ มันมาเตือนเรา พวกเราไปขี้โกงมัน ตั้งแต่เริ่มจำความได้ ธรรมชาติมันจึงมาสอนเรา”

                 สนเฒ่าแสดงธรรม ท่านเป็นศิษย์รุ่นบุกเบิก ร่วมสร้างมหรสพทางวิญญาณ (พ.ศ. ๒๕๐๕) ที่สวนโมกข์ฯ ตั้งแต่ออกมาจากการอยู่กับพระอาจารย์พยอมที่วัดสวนแก้ว (ปีที่น้ำท่วมหนัก) ปัจจุบันท่านได้รับการดูแลจากโยมอุปัฏฐากคนหนึ่ง คำสอนของท่านสนเฒ่า ช่วยลูกศิษย์ลูกหาหลายต่อหลายคนได้โผล่พ้นจากทะเลทุกข์ได้ด้วยคำสอนแนวสุญญตา ให้ทุกคนหยุดอยาก-หยุดยึด ทำอะไรก็ให้ระลึกเสมอว่า เป็นไปเพื่อความไม่เอา-ไม่เป็น-ไม่ยึด และชี้แนวให้ชาวพุทธไม่ถูกชักจูง หลงงมงาย โดยให้หลักไว้ว่า  คำสอนใด ไม่เนื่องด้วยสุญญตา คำสอนนั้นมิใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

                 ก่อนที่ท่านจะออกจากสวนโมกข์ฯ หลัง ๑๙ ปีที่จำพรรษาอยู่ที่นั่น ท่านอาจารย์พุทธทาส กล่าวชักชวนให้กลับมาอยู่สวนโมกข์ถึง ๕ ครั้งด้วยกัน... แต่แล้วสนเฒ่าก็มิได้กลับไปที่นั่นอีกเลย ตลอดระยะเวลาอีก ๓๓ ปีถัดมา ตราบจนปัจจุบัน

                 “ตอนท่านอาพาธหนักปางตาย รู้สึกอย่างไรเหรอครับ?”

                 “ทุกข์หนัก กระสับกระส่าย กลางวันอาบน้ำถึง ๒ ครั้ง พยายามฝึก สังเกตดูอาการอยู่ และพร้อมจะตกกระไดพลอยโจนได้ทุกเมื่อ ชีวิตนี้ คิดว่าทำดีที่สุดแล้ว ได้เท่าไหร่ ก็เท่านั้น”

                 แม้ประสิทธิภาพของอวัยวะของท่านจะเสื่อมลงไปมาก (เวลาพูดคุยกัน ก็ต้องส่งเสียงดังขึ้น) หลัง ๒ ปีที่เราไม่ได้พบกัน แต่สภาพ รูปลักษณ์ภายนอกของหลวงตา กลับดูเกือบจะเหมือนเดิม แถมผิวกายท่าน ยิ่งขาวมากขึ้น (อาจเป็นเพราะอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกแดดเลย) ใครที่เพิ่งเคยพบท่าน อาจเข้าใจว่า ท่านยังไม่ถึงวัย ๗๐ ด้วยซ้ำ

                 หลวงตาคิดว่า จะงดยา ค่อยๆ งดอาหาร แต่โยมที่ดูแล เขาไม่ยอม ขนหลวงตาไปรักษาที่โรงพยาบาลอีก  (ผมคิดในใจ) แต่อย่างน้อย ก็ทำให้หลวงตาได้ฟื้นแรง กลับมาสอนพวกเราได้อีก แล้วท่านก็สอนเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง

                 “ให้ดูที่ความรู้สึก ส่วนลึก ให้อยู่อย่างไม่ยึด ถามตัวเอง ตั้งแต่เช้าตื่นขึ้นมา กระทั่งถึงก่อนนอน มีทั้งหมดกี่สิบ กี่ร้อยเรื่อง? มีเรื่องไหน เป็นเรื่องจริงบ้าง? ของจริงนิ่งเป็นใบ้ - ของพูดได้ ยังไม่จริง ... ในเมื่อไม่มีอะไรเป็นเรื่องจริงสักเรื่อง แล้วยึดทำไม? ให้คิดแบบนี้ อยู่เรื่อยไป ไม่ยึด ตะพึด ตะพือ ทุกครั้ง จะเกิดปัญญามากขึ้นๆ โดยลำดับ เห็นชัดขึ้น ทุกสิ่งเกิดแล้วก็ดับ ๆๆๆ แล้วเราจะรู้จักตัวเอง สักวันหนึ่ง ...ฮวงโปว่าไว้ ถึงกระนั้น รู้แล้ว ก็ยึดไม่ได้ …
 
                 ครูบาฮวงโป ท่านนี้ ดูเหมือนอาจารย์พุทธทาสจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ถึงกระทั่งจู่ๆ เคยตะโกนดังลั่นให้พระลูกศิษย์ได้ยิน อย่างตกใจ ท่านตะโกนว่า ... ฮวงโปเป็นอาจารย์ของเราโว้ย!”

                 “กระผมขอโอกาส นำคำสอนของท่านไปตีพิมพ์ในวงกว้าง ให้ลูกศิษย์ลูกหาที่คิดถึงท่าน ตามหาท่านไม่พบ ได้รับทราบ และอนุโมทนานะครับ”

                 แหม... หลังจาก ๑ ชั่วโมงกว่าๆ ผ่านไป รู้สึกว่าร่างกายตัวเองที่เคยหนักกว่า ๗๐ โลนั้น กลับเบาหวิว ราวสำลีก้อนหนึ่ง ที่เกรงจะถูกพัดปลิวไปตามแรงพัดลม อย่างนั้นเลย
000

                 ใครเล่า จะเข้าใจได้   ประโยชน์ยิ่งใหญ่ แห่งสุญญตา

โลกนี้ จึงมีแต่คนบ้า    อุดมด้วยอหังการ์ มมังการ์ บ้าลูกเดียว

                 ทำบุญ - ปฏิบัติธรรม ก็มีแต่จะเอา  ตรงข้ามกับที่สนเฒ่า เฝ้าสั่งเสีย

เมื่อไหร่จะ หยุดอยาก-หยุดยึด กันเพียวๆ โลกจะได้เลิกสั่นเสียว สับสน พุทธธรรม?

                 สนเฒ่า เฒ่าลงทุกวัน    แต่คำสอนท่าน ไม่เคยเก่า ยังล้ำสมัย

ของจริงสิ นิ่งเป็นใบ้   ของพูดได้ นั้นยังไม่จริง

                 ทุกข์-เกิดดับ ด้วยปัจจยการ  ไม่ควรยึดมั่น คือความรู้ยิ่ง

อตัมมโย คือผู้รู้จริง    ท่านทิ้งทุกสิ่ง ไม่เอาอะไรอีกแล้วเอยฯ