
'หลวงปู่สิงห์'วัดโบสถ์'พระสงฆ์แท้'แห่งอ.ศีขรภูมิ
'หลวงปู่สิงห์'วัดโบสถ์'พระสงฆ์แท้'แห่งอ.ศีขรภูมิจ.สุรินทร์ : ปกิณกะพระเครื่องโดย.......สุวัฒน์ เหมอังกูร
สังคมของเราในทุกวันนี้เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ความเจริญที่พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ นั้น มาพร้อมกับความเสื่อมของจิตใจ ทำให้ผู้คนส่วนหนึ่งต่างพากันพูดว่า "ศีลธรรมเสื่อม" ที่จริงแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ความเสื่อมของ "ศีลธรรม" แต่สาเหตุนั้นมาจาก "กิเลส" ตัวเดียวเท่านั้น
ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี ยิ่งทำให้ "กิเลส" นั้นแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงในวงการของศาสนา การประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์จำนวนไม่น้อย ไม่เหมาะสมกับสมณสารูป ทำให้พุทธศาสนิกชนต่างพากันเสื่อมศรัทธา ไม่อยากทำบุญเหมือนแต่ก่อน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร พระอรหันต์ และ พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็ยังมีให้เรากราบไหว้บูชาอยู่เสมอ ผู้เขียนจึงขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักกับพระสุปฏิปันโน ที่เป็นพระสงฆ์แท้ ตามคำบอกกล่าวของ หลวงปู่ดุลย์ อตุโล พระอรหันต์แห่งภาคอีสานใต้ ท่านคือ พระครูวิเชียรธรรมคุณ หรือ หลวงปู่สิงห์ วัดโบสถ์ พระสงฆ์แท้แห่ง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ พระผู้มีวัตรปฏิบัติ และมีอภินิหารในบารมีธรรมของท่าน ที่เราสามารถกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ
หลวงปู่สิงห์ เกิดเมื่อวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๔๗๒ อายุ ๗ ขวบเริ่มเรียนวิชากับปู่แป้น ซึ่งเป็นปู่แท้ๆ ของท่าน โดยเรียนอักขระ มูลกัจจายนะ และวิชาอาคมที่ใช้ในการดำรงชีพของส่วย ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชาวกุย
เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ขณะมีอายุ ๔๐ ปีเต็ม ที่วัดบ้านตรึม อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ โดยมีหลวงพ่อลา เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อจูม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ สังกัดมหานิกาย
เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดบ้านดงถาวร ที่ท่านเคยอยู่อาศัยมาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อจำพรรษาได้ ๑ ปี จึงออกเดินธุดงค์ไปทางใต้ เพื่อไปศึกษาเรื่องวิชาสมุนไพร โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนำมารักษาน้องชายของท่าน ระหว่างทางเมื่อไปถึง ต.ละอุ่นใต้ จ.ระนอง ได้พบ พระอาจารย์จำเนียร จึงพากันธุดงค์ต่อไปเรื่อยๆ จนถึง จ.พังงา ได้พบกับหลวงพ่อเฟื่อง วัดบางเหรียญ ที่ อ.ทับปุด ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในวิชาสมุนไพร ท่านจึงสมัครเป็นศิษย์ขอศึกษาด้วย
หลังจากอยู่กับหลวงพ่อเฟื่อง ๑ พรรษา ท่านจึงธุดงค์ขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนเขาทับปุด พอดีช่วงนั้น หลวงปู่ชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ได้รับนิมนต์ไปที่ จ.พังงา
วันหนึ่งหลังจากที่ท่านออกจากสมาธิ จึงเห็นหลวงปู่ชา มายืนอยู่ตรงหน้าท่าน หลวงปู่ชาบอกว่า ระหว่างที่ผมนั่งภาวนาอยู่ ได้เห็นแสงสว่างของจิตส่องมาถึงผม ผมจึงมาตามหาท่าน
หลวงปู่ชา สอบถามหลวงปู่สิงห์ จนทราบว่า ท่านเป็นคน จ.สุรินทร์ จึงพูดว่าท่านมาอยู่นี่ทำไม กลับไปเป็นอรหันต์ที่อีสานใต้บ้านเราเถิด ที่ภาคอีสานนั้นมีอรหันต์เยอะแยะ หลวงปู่สิงห์จึงติดตามหลวงปู่ชาไปจำพรรษาที่วัดหนองป่าพง อยู่ได้ ๒ เดือน ก็กราบลาหลวงปู่ชากลับมายังบ้านเกิดที่ จ.สุรินทร์ เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าวิชากรรมฐานที่ได้เรียนนั้นไม่ถูกจริต
หลวงปู่สิงห์ กลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านดงถาวร จนถึงพรรษาที่ ๕ ขณะนั้นที่วัดโพธิ์ศรีธาตุ ซึ่งเดิมมีเจดีย์อยู่ แต่ได้ผุพังลงกลายเป็นเนินดิน เมื่อถากถางต้นไม้และวัชพืชออก จึงพบว่ามีฐานเจดีย์อยู่ พื้นที่เดิมเป็นของเอกชน คือ ลูกพี่ลูกน้องของปู่แป้น และได้ถวายให้เป็นธรณีสงฆ์ของวัดบ้านตะเคียน ซึ่งอยู่ห่างออกไป ๑๐ กม.
ทางวัดเห็นว่าพื้นที่กว้างขวางถึง ๕๑ ไร่ จึงให้สร้างวัดขึ้น แต่ยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างอะไรมาก วัดบ้านตะเคียนส่งพระมาเป็นเจ้าอาวาส แต่อยู่ไม่ได้ เพราะผีดุ ไม่มีพระองค์ไหนอยู่ได้ เป็นที่ร่ำลือไปทั่ว ชาวบ้านจึงไปนิมนต์หลวงปู่สิงห์ ให้มาปราบผี เมื่อสำเร็จแล้วชาวบ้านจึงนิมนต์ให้ท่านอยู่ที่นี่เสียเลย ท่านจึงดำเนินการก่อสร้างศาสนสถานให้เป็นวัดอย่างสมบูรณ์....(ยังมีต่อ)
ขอตัดต่อมาสู่เรื่องราวของวัตถุมงคล
ในสายพระกรรมฐาน หลวงปู่สิงห์ เป็นที่รู้จัก ได้รับการยกย่องและเคารพนับถือกันโดยทั่วไป ส่วนในวงการพระเครื่อง จะไม่ค่อยได้ยินชื่อของหลวงปู่สิงห์ วัดโบสถ์ มากนัก หลายคนอ่านเรื่องของท่านตามที่ผู้เขียนนำเสนอมา คงเกิดความสงสัยว่า ท่านมีอภินิหาร มีพลังจิตกล้าแข็งแบบนี้ ทำไมกลุ่มคนในวงการพระถึงไม่ค่อยรู้จัก เรื่องนี้มีเหตุผลง่ายๆ อยู่ในตัวเอง คือ ท่านไม่สร้างวัตถุมงคล และไม่อนุญาตให้ใครสร้าง มีลูกศิษย์และผู้ศรัทธาท่านจำนวนมากไปขอสร้าง ท่านไม่อนุญาต โดยบอกว่า วัตถุมงคลของพ่อแม่ครูอาจารย์ ยังมีอยู่เยอะแยะ ของของท่านยังไม่จำเป็นต้องสร้าง
ต่อมาลูกศิษย์ได้พยายามขออนุญาตสร้างวัตถุมงคลที่เป็นรูปลักษณ์ของท่าน สำหรับแจกให้ญาติโยมที่เคารพศรัทธา และอยากได้วัตถุมงคลที่เป็นของท่าน จนกระทั่งมีงานฝังลูกนิมิต จึงได้โอกาสขออนุญาตท่านสร้างล็อกเกต เพื่อแจกในงาน
ท่านอนุญาตให้สร้าง จึงได้เกิดวัตถุมงคลที่เป็นรูปท่านเป็นครั้งแรก ต่อมาได้ว่างเว้นเป็นเวลานาน จนกระทั่งในปี ๒๕๕๖ จึงได้มีการสร้างวัตถุมงคลขึ้นมาอีก ๒-๓ รูปแบบ โดยสร้างจำนวนที่พอเหมาะพอดี
สำหรับ รูปเหมือนหล่อโบราณ รุ่นแรก เป็นการสร้างต่อเนื่องมาจากเหรียญหล่อรุ่นแรก เมื่อเหรียญหล่อรุ่นแรกได้ออกให้บูชา ก็ดำเนินการสร้างต่อในทันที และเสร็จเรียบร้อยออกให้บูชาเมื่อกลางเดือนมกราคม ๒๕๕๗
จำนวนการสร้าง เนื้อทองคำ ๙ องค์ เนื้อเงินชนวนวัตถุมงคลล้วน ๑๒ องค์ เนื้อเงิน ๘๕ องค์ เนื้อนวโลหะ ๓๘ องค์ เนื้อทองชนวน ๑๐๑ องค์ เนื้อโลหะผสม ๒,๕๕๗ องค์ แบบเป็นช่อ จำนวน ๑๓ ช่อ ช่อละ ๙ องค์
ขนาดองค์พระ หน้าตักกว้าง ๑.๕ ซม. สูง ๒.๕ ซม. พระทุกองค์เจาะใต้ฐานเป็นรู แล้วอุดผงพุทธคุณต่างๆ และที่พิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง คือ ข้าวก้นบาตรของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล ที่หลวงปู่สิงห์ท่านเก็บเอาไว้นานแล้ว จนปัจจุบันนี้มีสภาพคล้ายกับหิน
ในโอกาสนี้ได้จัดสร้าง พระสังกัจจายน์ สร้างขึ้น ๒ ขนาด คือ ๑.แบบบูชาขนาดหน้าตัก ๕ นิ้ว เนื้อทองเหลือง ๑๑๐ องค์ เนื้อนวโลหะพิเศษ ๕ องค์
๒.แบบพระเครื่อง ขนาดหน้าตัก ๑ ซม. เนื้อเงิน ๑๙๖ องค์ เนื้อทองชนวนพิเศษ ๓๑ องค์ เนื้อโลหะผสม ๑,๐๐๐ องค์
ความเห็น : ผู้เขียนขอออกความเห็นเรื่องของเหรียญหล่อและรูปเหมือนหล่อโบราณ ก่อนที่จะเสนอเรื่องต่อไป คือ พระทั้ง ๒ รุ่นนี้ปั้นองค์หลวงปู่ได้เหมือนกับตัวจริงขององค์ท่านมาก เหมือนทั้งกายภาพและการแสดงออกของความรู้สึกของหลวงปู่ ซึ่งกรณีนี้จะทำให้พระ ๒ แบบนี้แสดงความเป็นตัวแทนของหลวงปู่อย่างแท้จริง ต้องยอมรับว่า ช่างปั้นเก่งมาก สามารถย่อขนาดจนเล็กมากแต่ทำได้เหมือนองค์จริงที่สุด