
'มาสก กหาปณะ'
'มาสก กหาปณะ' : คำวัด โดยพระธรรมกิตติวงศ์
ตำรวจโพนพิสัยบุกรวบพระลูกวัดยอดแก้ว หลังใช้เด็กวัยเพียง ๑๓-๑๖ ปี ตระเวนลักทรัพย์ตามบ้านเรือนชาวบ้าน
ตำรวจสืบเมืองจับพระวัดหนองปลิงไปสึก หลังก่อเหตุลักทรัพย์ภายในวัดกลางดึก ๒๗ ปี อดีตพระลูกวัดบางเดื่อ หมู่ ๔ ต.บางเดื่อ พร้อมตู้รับบริจาคสเตนเลส
จับพระเสพยาบ้า ฉกกุญแจบ้านพระพี่เลี้ยงไปไขกุญแจกวาดทรัพย์ ทองรูปพรรณ และปืน เร่ขายเอาเงินมาให้แฟนรักษาสิว
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของ "พระก่อคดีลักทรัพย์" ที่มีพฤติกรรมไม่ต่างจากฆราวาส ซึ่งในสิกขาบทปาราชิกที่ ๒ ภิกษุถือเอาทรัพย์ของผู้อื่นด้วยอาการแห่งขโมย ด้วยมูลค่าของทรัพย์ ๕ มาสก จึงเป็นที่ตั้งของอาบัติปาราชิก ถ้าต่ำกว่านั้นไม่ถึงอาบัติปาราชิก แต่เป็นอาบัติรองลงมา คือ อาบัติถุลลัจจัย และทุกกฏ
การกำหนดโทษที่หนัก คือ ขาดจากความเป็นพระภิกษุ (ปาราชิก) ต้องมีมูลค่าสูง คือ ยุคนั้น ทางบ้านเมืองกำหนดโทษของผู้ที่ขโมยของผู้อื่น สิ่งของนั้นจะต้องมีมูลค่า ๕ มาสกขึ้นไป สำหรับทางธรรมก็เช่นกัน จะต้องโทษหนัก วัตถุที่ขโมยต้องมีมูลค่า ๕ มาสก จึงเป็นวัตถุแห่งปาราชิก
สำหรับการเทียบราคาในปัจจุบัน มีการวินิจฉัยที่แตกต่างกันตามยุคสมัย แต่ที่ถือเป็นมาตรฐานทุกยุคคือ น้ำหนักทองคำกับข้าวเปลือก ๒๐ เมล็ด คือ เอาข้าวเปลือก ๒๐ เมล็ดมาชั่ง ได้น้ำหนักเท่าไรให้คำนวณเป็นมูค่าเงิน
คำว่า มาสก (มา-สก) พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอสาราม ได้ให้ความไว้ว่า เป็นชื่อมาตราสกุลเงินที่ใช้ในสมัยพุทธกาลเช่นเดียวกับคำว่า กหาปณะ
มาสก มีอัตราเทียบเงินไทย คือ ๑ มาสกเท่ากับ ๒๐ สตางค์ ๕ มาสก เท่ากับ ๑ บาท
มาสก ถูกกำหนดในพระธรรมวินัยที่ว่าด้วยเรื่องการลักทรัพย์ โดยตีราคาของเป็นมาสก กล่าวคือ ภิกษุลักสิ่งของที่เจ้าของมิยินยอมให้อันมีราคาตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไป เป็นความผิดสูงสุด คือ ต้องอาบัติปาราชิกขาดจาดความเป็นพระ หากสิ่งของนั้นมีค่าต่ำกว่า ๕ มาสก มีความผิดลดหลั่นลงมา
ส่วนคำว่า "กหาปณะ" (สันสกฤต : กษาปณ) เจ้าคุณทองดีได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นคำเรียกเงินตราทำด้วยโลหะที่ใช้ในสมัยพุทธกาล เป็นเงินตราโลหะชนิดแรกของอนุทวีปอินเดีย เทียบคำว่า กษาปณ์ ในปัจจุบัน
กหาปณะ มีอัตราเทียบเท่ากับ ๒๐ มาสก หรือ ๑ ตำลึง หรือ ๔ บาทไทย
กหาปณะ มีปรากฏอยู่ในพระวินัยว่าด้วยเรื่องการลักทรัพย์ คือภิกษุจงใจลักทรัพย์ที่มีราคา ๕ มาสก หรือ ๑ บาทขึ้นไป ต้องอาบัติสูงสุดคือปาราชิก หากมีราคาต่ำกว่านั้นก็มีความผิดลดหลั่นลงมาตามราคาทรัพย์