พระเครื่อง

เหตุใดชายที่ตลกที่สุดในโลกจบลงด้วยการฆ่าตัวตาย?

เหตุใดชายที่ตลกที่สุดในโลกจบลงด้วยการฆ่าตัวตาย?

01 ก.ย. 2557

เหตุใดชายที่ตลกที่สุดในโลกจบลงด้วยการฆ่าตัวตาย? : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา เรื่อง KEVIN WINTER ภาพ

               ทันทีที่ทราบข่าวการตายของซูเปอร์สตาร์ ดาวตลกคนดัง โรบิน วิลเลียม และผมก็ถึงบางอ้อ...ยอมรับว่าเสียใจไปกับเขาด้วย (ผมเองก็เป็นแฟนหนังของเขาในบางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง Dead Poet Society ชมรมกวีไร้ชีพ) แต่ก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจสำหรับผม เพราะมันมีบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายๆ กัน สำหรับกรณีการฆ่าตัวตาย ทุกครั้งไป 

               ที่กล้าพูดเช่นนี้ เนื่องด้วยตัวผู้เขียนเองก็มีประสบการณ์ตรงกว่า ๓๐ ปีแล้ว ที่พี่ชายที่แสนดีของผมลาจากไปด้วยกรณีฆ่าตัวตายเช่นกัน และก็เป็นเวลาเกือบ ๓๐ ปี เหมือนกัน ที่ผมเฝ้าสังเกตและศึกษาปรากฏการณ์นี้ต่อหลายๆ กรณี ทั้งสรรหาแนวทางแก้ไข ป้องกันมาโดยตลอด

               เหตุใดคนที่โลก (Entertainment Weekly Magazine) เคยยกย่องให้เป็นผู้ชายที่ตลกที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่, ผู้สร้างเสียงหัวเราะให้ชาวโลกอย่างเป็นอมตะ เลือกที่จะจบชีวิตตัวเองด้วยวิธีเช่นนี้?

               ทำไมชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทองมากมาย กับการแต่งงานกับคนที่ตนรักถึง ๓ คน ๓ ครั้ง ไม่อาจยับยั้งการตัดสินใจในการคิดสั้นได้เลยหรือ?

               อาจารย์พุทธทาส เคยกล่าวว่า คนที่ฆ่าตัวตายนั้นเป็นคนที่เห็นแก่ตัวอย่างมาก! ยอมรับว่าสมัยวัยละอ่อนไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เห็นด้วยกับพระเดชพระคุณอาจารย์อย่างที่สุด!

               มันไม่สำคัญเท่าไรหรอกว่าคุณจะเป็นคนสร้างเสียงหัวเราะ หรือคนที่หัวเราะง่าย, ไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะเป็นคนดีแสนดี อบอุ่นแสนอบอุ่น จนคนรอบข้างสัมผัสได้, มันไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะร่ำรวยมหาศาลหรือยากจนแสนเข็ญ, มันไม่สำคัญว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนโสด หรือมีครอบครัว-แต่งงานมาหลายครั้ง, มันไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะเป็นคนมีชื่อเสียง (Somebody) หรือบุคคลที่โลกลืม (Nobody), เหตุปัจจัยสำคัญประการเดียวที่ทำให้คนคิดสั้นฆ่าตัวตาย คือการมี “ตัวกูของกู” ที่แน่นหนานั่นเอง

               รากฐานคือ “ตัวกู” ... ทันทีที่มี “ความอยาก” ตัวกูผู้อยาก ก็จะปรากฏขึ้นทันใด เมื่อมีตัวกูผู้อยาก “ของกู” มากมายก่ายกองก็จะปรากฏตามมาเป็นขบวน คือเมื่อ “จิต” มันเกิดการรวมศูนย์ลงไปที่ “ตัวกู” เมื่อไหร่ โลกทั้งใบก็อาจจะต้องหมุนตาม “ตัวกู” อันหนาแน่นของคนคนนั้นไปด้วย ทำไมเขาไม่สนใจกู, ทำไมกูถึงไม่ประสบความสำเร็จ, ทำไมกูเรียนไม่เก่งเท่าเขา, ทำไมกูไม่รวยอย่างคนนั้นคนโน้น, ทำไมๆๆๆ ... กูๆๆๆๆ มากเข้าๆ มันก็วนเวียน จมจ่อม เสมือนถูกหลุมดำแห่งอัตตาตัวตนดูดลงไป ยิ่งย้ำคิดย้ำทำในเรื่องดูถูกตัวเอง ก็ยิ่งดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ จึงเกิดเป็นสภาวะซึมเศร้า (Depress) ในที่สุด อันอาจนำไปสู่การคิดสั้นตามมา

               หลักคิดดีๆ และกัลยาณมิตร เป็นสิ่งที่จำเป็นเสมอ สำหรับคนที่ตกอยู่ในภาวะแบบนั้น โบราณจึงมักเตือนไว้  “อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด-อยู่กับมิตรให้ระวังวาจา” (ความคิดไม่ฟุ้งซ่าน วนเวียน ดูถูกตัวเอง, วาจา ต้องสำรวม ไม่พูดให้เสียเพื่อน) โดยเฉพาะผู้ประกอบอาชีพดารา วงการบันเทิงทั้งหลาย พึงระวังให้ดี เพราะท่านต้องสร้างอารมณ์ สวมเป็นตัวละครนั้นๆ ให้สมบทบาท กระชากอารมณ์ให้สุดเหวี่ยง เลี่ยงไม่ได้ที่จะกระทบต่อวิญญาณอันสงบของท่าน แสดงเสร็จต้องพักฟื้นจิตวิญญาณอยู่นาน กว่าจะถอดบทบาทตามตัวละครที่สวมอยู่ได้

               บางคนใช้เวลาหลายวัน เมื่อผลงานปรากฏต่อสาธารณะแล้ว เป็นที่ชื่นชอบจากมหาชน จิตใจก็ฟูฟ่อง เหลิงลม หรือไม่เป็นที่นิยม ก็ถูกก่นด่า วิพากษ์วิจารณ์ จิตใจก็แฟบ ฟูๆ แฟบๆ สลับกันไปมา หัวใจจึงอ่อนล้า ครั้นยามเรตติ้งตก ไม่มีคนจ้าง ดาราหลายคนที่รับไม่ได้ ก็เลือกจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้าใจ (ดาราเกาหลีเป็นแบบนี้บ่อย) ... ผมจึงไม่แปลกใจกับกรณีนี้ ได้แต่เสียดายแทนชีวิตหนึ่งซึ่งอุตส่าห์ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วทั้งที
 
               ผมจึงขอโอกาสเขียนเรื่องแบบนี้ให้สติกันอีกบ่อยๆ ครั้งนี้ขอต่อภาค ๒ อีก ๓ ประการ อันจะเป็นหลักการที่สำคัญดังต่อไปนี้

               ๑.ต้องมีหลักคิดอันประเสริฐ อาจจะเป็นเพียงแค่คำขวัญประจำใจของตัวเราเอง เช่น เพื่อนสมัยมัธยมคนหนึ่งใช้ว่า “คนเราอย่าดูถูกตัวเอง” หรือสมัยเรียนมหาวิทยาลัย จะจบมิจบแหล่ ผมใช้ว่า  “โลกนี้ไร้เรื่องยาก หากเป็นคนใจถึง” อย่างน้อยหลักคำขวัญเหล่านี้ ก็เป็นคาถาธรรมดาที่ติดหู ทำให้ผมเรียนจบวิศวะมาได้อย่างเฉียดฉิว
 
               ส่วนหลักอันประเสริฐ พึ่งพิงได้ ควรเป็นหลักศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาอะไรก็ตาม เพื่อนธุรกิจชาวสิงคโปร์คนหนึ่ง แกเป็นคริสต์ ยามธุรกิจย่ำแย่ กระแสเงินสดชักหน้าไม่ถึงหลัง แกจะเข้าไปในโบสถ์ เวลาปลอดคน นั่งคุกเข่า พูดคุยกับพระเจ้า หาแนวทางหรือแรงบันดาลใจ น่าแปลกที่สุดท้ายแล้วแกก็ได้หนทางแก้ไขปัญหาไปทุกครั้ง
  
               พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า อาจจะเข้าถึงได้ยากกว่า แต่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ มีถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็น ๓ หมู่ด้วยกัน เลือกสรรเอาไปใช้เป็นคาถาส่วนตัวสิครับ ท่านที่เป็นชาวพุทธมาทั้งชีวิตแล้ว หากยังเลือกไม่ได้ ผมแนะนำ เอาพระคาถา เด็ดดวง ที่ท่านอัสสชิ กล่าวเพียงสั้นๆ แต่ดลบันดาลให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งกลายเป็นอัครมหาสาวกเบื้องขวาผู้ประเสริฐของพระพุทธเจ้า (พระสารีบุตร) .... ท่านว่า

               สิ่งใด (ธรรมทั้งหลาย) เกิดแต่เหตุ สิ่งนั้น (ธรรมทั้งหลาย) ดับที่เหตุ

               ใช่แล้วครับ ... ทุกข์ การซึมเศร้า (Depress) จะเกิดขึ้นโดยลำพังมิได้ ต้องมีเหตุปัจจัยเสมอ ค้นหา สมุทัยให้เจอแล้วดับลงเสียเป็นคราวๆ ทุกข์เรื่องอะไรมาถึงก่อน ดับก่อน (First come, first serve) เช่นนี้เรื่อยๆ การดับเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) ในชีวิตของพวกเรา ก็จะทำกันได้อย่างชำนาญในที่สุด ไม่สุมจนกลายเป็น ซึมเศร้า

               ๒.ต้องมีเพื่อนสนิท (buddy) กัลยาณมิตรที่เข้าถึงได้เสมอ 

               พระอานนท์เคยทูลถามพระพุทธเจ้าถึงความสำคัญของการมีกัลยาณมิตร ท่านอานนท์เคยคิดว่า กัลยาณมิตร (เพื่อนแท้ที่ร่วมเป็นร่วมตาย ฝากผีฝากไข้กันได้) มีความสำคัญต่อการบรรลุธรรมเพียงครึ่งหนึ่ง แต่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เพื่อนนั้นสำคัญเป็น ๑๐๐% ของชีวิตประเสริฐเลยทีเดียว ... กรณีเช่นนี้ หากคุณวิลเลียม แกมีกัลยาณมิตรอยู่ในชีวิตจริงๆ เรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นได้ .... หลายคนอาจไม่เข้าใจคิดว่า กัลยาณมิตร อาจหมายถึงใครบางคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ แท้ที่จริงกัลยาณมิตร อาจหมายความกว้างไปกว่านั้น ดังคำตรัสของพระพุทธองค์ ...

               จงมีพระพุทธเจ้าเป็นดั่งกัลยาณมิตร

               พระพุทธเจ้าในที่นี้ มิใช่พระพุทธเจ้าที่ต้องคอยใส่บาตร เหาะไปถวายอาหารทุกวัน หรือพระพุทธเจ้าที่เราเอาแต่กราบไหว้ บูชาอยู่บนหิ้ง เฝ้าร้องขอ โน่น นี่ นั่น โดยถ่ายเดียว ... แต่ พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นกัลยาณมิตร ชนิดนี้ คือพระพุทธเจ้าที่อยู่กับเนื้อกับตัว อยู่ในลมหายใจ อยู่กับ “สติ” ในทุกขณะจิต สำหรับผู้เข้าถึงธรรมได้แล้วต่างหาก ที่จะเป็นเพื่อนร่วมคิด สะกิดเตือนหัวจิตหัวใจ ไม่ให้เรามีผัสสะที่โง่ ไม่ให้เราเกิด “ตัวกู” อันเป็นศูนย์กลางแห่งความโลภ-โกรธ-หลง รวมถึงการฆ่าตัวตาย ทั้งปวงด้วย

               ๓.ต้องเข้าใจว่าทุกสิ่งเป็นเพียงเหตุปัจจัย "ไม่มีตัวกูของกู"

               ผู้รู้ธรรม อย่างมีสัมมาทิฐิแล้วไซร้ ก็จะเข้าใจเรื่อง “อัตตาตัวตน” ว่าเป็นเรื่องที่ต้องกำจัด ไม่ให้เกิด ผีตัวกู มาคอยหลอน มันมีแต่กระบวนการ ส่งผลเชื่อมต่อกันของเหตุปัจจัยเท่านั้นแหละ ไม่มีตัวกูของกูหรอก... และเมื่อไม่เกิดตัวกูแล้วไซร้ ก็ไม่มีอะไรจะให้ประหัตประหารจนในที่สุด

               เคล็ดลับที่พระเกจิอาจารย์หลายท่านเฝ้าพร่ำสอน อุบายที่ง่ายนิดเดียว สำหรับผู้มีปัญญา หากท่านคิดได้แล้ว ก็เท่ากับว่า ท่านสามารถจะใช้แรง (ปัญญา) เพียงน้อยนิด ทุ่มสิ่งที่ใหญ่กว่ามากมาย (กิเลสตัณหา อุปาทาน) กระเด็นออกไปทางหน้าต่าง กระดอนไกลไปนอกบ้าน (จิต) ได้ทุกที นี่เอง ท่านพุทธทาสภิกขุ ขนานนามเคล็ดวิชานี้ว่า ยูโด ทางวิญญาณ (Spiritual Judo)

               ผู้เขียนขอฝากให้ท่าน เพื่อไปธัมมวิจัยกัน ต่อยอดช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในวงกว้าง ไม่ปล่อยให้ใครต้องจมทุกข์ ติดกับ กับความเห็นแก่ตัว, แนะนำเพื่อนฝูงเรา ให้รู้เท่าทันกิเลส และสามารถปฏิเสธ การฆ่าตัวตายได้ในทุกสถานการณ์ไป และต้องกราบขออภัย ที่พูดเรื่องนี้บ่อย ด้วยไม่อยากให้เรื่องแบบนี้ เกิดขึ้นกับใครจริงๆ เพราะ …

               โลกมนุษย์เราไม่มีใครควรฆ่าตัวตาย และไม่มีเหตุสมควรอันใดที่ใครจะต้องทำอย่างนั้นด้วย!