พระเครื่อง

'บูโต'เริงระบำวิปัสสนา

'บูโต'เริงระบำวิปัสสนา

24 ส.ค. 2557

'บูโต'เริงระบำวิปัสสนา : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพระชาย วรธัมโม เรื่อง Dusa Gabor และ Butoh Bangkok at Thong Lor Art Space ภาพ

                บางครั้งการชมมหรสพอาจไม่ได้นำคนดูไปสู่ความสนุกสนานมัวเมาแต่เพียงด้านเดียว แต่อาจนำไปสู่การเข้าถึงความของจริงของชีวิตได้ด้วย เหมือนอย่างที่อุปติสสะและโกลิตะสองสหายชักชวนกันไปชมมหรสพในค่ำคืนหนึ่ง แต่ค่ำคืนนั้นสองสหายไม่ได้รู้สึกสนุกสนานเหมือนอย่างเคย หากแต่เขาทั้งสองเกิดการตระหนักรู้ภายในขึ้นมาว่า ตัวละครที่กำลังแสดงอยู่บนเวทีนั้นมีชีวิตอยู่ไม่ถึงร้อยปีก็ต้องตาย เขาสองคนจะมาหลงดูอยู่ทำไม ควรออกแสวงหาโมกขธรรมอันประเสริฐเพื่อความหลุดพ้นจะดีกว่า ด้วยธรรมสังเวชที่เกิดขึ้นทำให้เพื่อนรักทั้งสองตัดสินใจชวนกันออกบวช เพื่อหาหนทางพ้นทุกข์ จนกระทั่งบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ อุปติสสะก็คือพระสารีบุตร ส่วนโกลิตะก็คือพระโมคคัลลานะ

                เมื่อการชมมหรสพพาคนดูไปสู่การเข้าถึงความจริงของชีวิต ดังตัวอย่างที่เคยมีมาในสมัยพุทธกาล โซโนโกะ พราว จึงมีมุมมองว่ามหรสพที่ดีไม่น่าจะให้ความสนุกสนานบันเทิงแต่เพียงด้านเดียว แต่ควรทำคนดูให้ตื่นรู้และสามารถเข้าถึงความจริงของชีวิตได้ด้วย

                โซโนโกะเป็นนักแสดงละครสาวลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นที่สนใจการปฏิบัติธรรมมานานหลายปีแล้ว เธอเคยเข้าคอร์สวิปัสสนาของท่านโกเอ็นกาประมาณ ๓ ครั้ง เคยปฏิบัติภาวนากับหมู่บ้านพลัม เคยใช้ชีวิตเป็นสามเณรีอยู่ ๓ เดือน ด้วยชีวิตที่ผ่านการภาวนามานาน เธอมองเห็นว่าวิปัสสนาสามารถนำมาใช้กับการแสดงละครได้ด้วย และเธอเชื่อว่าคนดูสามารถตื่นรู้ได้จากการชมละคร เธอกับเพื่อนสนิทชาวฮังการี ริตา บาทาริตา และกลุ่มศิลปะขันธาจึงร่วมกันจัดแสดง “ระบำวิปัสสนา” ขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพาคนดูให้เข้าถึงความจริงของชีวิต

                ค่ำคืนหนึ่งในต้นเดือนสิงหาคม การแสดงของเธอกับเพื่อนจึงเกิดขึ้น ณ ห้องแสดงละครทองหล่อ อาร์ตสเปซ เป็นโรงละครขนาดเล็กจุคนดูได้ ๕๐ คน คนดูจึงมีโอกาสชมการแสดงอย่างใกล้ชิด การแสดงแบ่งออกเป็น ๓ องก์

                องก์ที่หนึ่ง การแสดงเดี่ยวโดย ริตา บาทาริตา เธอออกมาบนเวทีพร้อมกับการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเชื่องช้าราวกับอยู่ในห้วงอวกาศ แสงไฟสาดส่องไปบนเรือนร่างของเธอ มีเงาทาบลงบนฝาผนังด้านหลัง เป็นการแสดงที่เล่นกับแสงเงา ดนตรีพาเข้าสู่ห้วงอารมณ์แห่งความฉงนฉงาย บางครั้งเธอเปล่งเสียงร้องอย่างไม่เป็นภาษา ราวกับเธอเป็นผู้มีอำนาจ สักพักต่อมาเธอดูอ่อนละโหยไปกับพลังอำนาจที่มากล้นเกินประมาณ ความมัวเมาในอำนาจพาเธอไปสู่ความพ่ายแพ้แก่ตนเอง เธอกำลังแสดงให้เห็นภาวะโลภ โกรธ หลงไปกับอำนาจที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ในที่สุดเธอค้นพบว่าวิธีเดียวที่จะทำตัวให้บริสุทธิ์คือการชำระกายใจให้สะอาด เธอจบการแสดงด้วยท่าบิดตัวโยกพลิ้วไหวโอนเอนไปตามเสียงดนตรี

                องก์ที่สอง การแสดงโดยกลุ่มศิลปะขันธา การแสดงเริ่มต้นด้วยเสียงสวดมนต์ท่ามกลางความมืดมิด “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด...”  เสียงสวดค่อยๆ หายไป สุภาพสตรีถือโคมเทียนเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนหายลับไปในความมืด นักแสดง ๕ คนคอยอยู่บนพื้นเวที พวกเขาใช้ร่างกายแสดงออกให้เห็นถึงความน่ากลัวของสังสารวัฏผ่านการบิดตัวเกลือกกลิ้งไปบนพื้นราวกับอสุรกาย เป็นการใช้ร่างกายที่ผสมผสานกับท่าโยคะทำให้เกิดลักษณะร่างกายที่บิดเบี้ยวแปลกประหลาดราวกับเป็นร่างกายของปีศาจ

                แท้จริงแล้วร่างกายมนุษย์ที่เรามีอยู่เป็นอยู่ ก็คืออสุรกายที่คอยกลืนกินมนุษย์ในเวลาเดียวกัน มันคือความตายที่คืบคลานเข้ามาหาอย่างเชื่องช้าโดยไม่มีใครตระหนักรู้ แต่ไม่ว่าสังสารวัฏจะมีความน่ากลัวสักปานใด มนุษย์นั่นเองที่จะต้องเป็นฝ่ายเอาชนะอสุรกายที่สิงสถิตอยู่ภายในร่างกายนี้ให้ได้ด้วยการเพ่งดูกิเลสตนเองผ่านการทำสมาธิวิปัสสนา เมื่อมนุษย์หมั่นฝึกฝนทำความเพียรก็จะสามารถเข้าถึงความหลุดพ้นได้ในบัดดล

                องก์สุดท้าย เป็นการแสดงเดี่ยวโดยโซโนโกะ เธออยู่ในชุดสีดำลึกลับ แสดงออกถึงภาวะทุกข์ที่มีอยู่ของมนุษย์ที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เธอเห่กล่อมลูก แล้วพูดถึง “นิพพาน” เธอเต้นท่าทางที่เย้าย้วยไปมาดูไม่เป็นจังหวะ บอกกับคนดูว่า รู้สึกอย่างไรผ่านลักษณะท่าทางการเคลื่อนไหวของร่างกาย เธอพูดถึงชื่ออาหารฟาสต์ฟู้ดบางอย่างที่เธอหลงใหล เหมือนกำลังบอกกับคนดูว่ามันคือบริโภคนิยมที่ครอบงำชีวิตมนุษย์ การแสดงจบลง นักแสดงทั้งหมดออกมาโค้งคำนับ คนดูปรบมือให้นักแสดง

                ทั้งหมดเป็นการแสดงประมาณ ๑ ชั่วโมงที่เรียกว่า “บูโต”

                บูโตเป็นศิลปะการแสดงที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นการแสดงที่เน้นการเคลื่อนไหวร่างกายและการแสดงอารมณ์ทางใบหน้า บางครั้งนักแสดงซ่อนใบหน้าของพวกเขาไว้ภายใต้แป้งสีขาว เพื่อเป็นการง่ายต่อการสะกดอารมณ์คนดู นักแสดงอาจแสดงสีหน้าตกใจสุดขีดหรือสลดหดหู่ราวกับจะร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด

                มีคนกล่าวว่า เพราะบูโตเป็นศิลปะการแสดงที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ อันเป็นช่วงเวลาที่ประเทศญี่ปุ่นกำลังทนทุกข์ทรมานไปกับการแพ้สงครามอย่างยับเยิน ละครบูโตจึงออกมาในลักษณะอึมครึมเศร้าโศก แต่นั่นเป็นเพียงความหมายหนึ่งเท่านั้น

                “ณ เวลานั้นประเทศญี่ปุ่นกำลังตกอยู่ในภาวะสงคราม มีแต่ความทุกข์กระจายไปทุกหย่อมหญ้าทำให้นักแสดงละครหันมาตั้งคำถามกับตนเองว่า ตัวเราในฐานะนักแสดงคือใครกันแน่ และชีวิตคืออะไร พวกเขาจึงย้อนกลับไปฟังเสียงของร่างกาย ร่างกายซึ่งประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ อันเป็นธาตุตามธรรมชาติ พื้นฐานดั้งเดิมของคนญี่ปุ่นเป็นชาวนานับถือศาสนาชินโต อันเป็นศาสนาที่ให้ความเคารพนับถือธรรมชาติ เมื่อย้อนกลับไปหาธรรมชาติในตัวเรา ตัวเรานั้นไร้ตัวตน การแสดงจึงควรปราศจากตัวตน ไม่มีความเป็น “ตัวฉัน” ที่อยากแสดง เป็นการแสดงที่ฟังเสียงจากภายใน มีเพียงอารมณ์ปัจจุบัน ณ ปัจจุบันอารมณ์เป็นเช่นไรก็แสดงอารมณ์นั้นออกมา อาจไม่สวยงาม ไม่ถูกใจคนดู แต่มันก็คือการแสดงที่ออกมาจากความจริงที่ปรากฏอยู่ภายใน "นักแสดงไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างหน้าตาดี ไม่จำเป็นต้องเต้นรำสวยงามตามแบบมาตรฐานสากลเพราะนั่นคือการประดิดประดอย มันไม่ธรรมชาติ เรารู้สึกอย่างไรก็แสดงออกไปเช่นนั้น เป็นการเต้นรำที่ไร้รูปแบบ นักแสดงอาจทำหน้าตาหน้าเกลียด มีท่าเต้นที่ไม่น่าดู แต่นี่ก็คือภาวะไร้การเสแสร้งในแบบบูโต”

                โซโนโกะอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความหมายของละครบูโตให้เราฟัง

                “การที่ละครบูโตแสดงอารมณ์ความรู้สึกหวาดกลัวหรือแสดงหน้าตาที่บ่งบอกถึงความทุกข์ความเศร้าใจออกมา เพราะมันเป็นการแสดงที่มาจากจิตใต้สำนึก เมื่อพูดถึงจิตใต้สำนึกแล้วทุกคนมีความคล้ายคลึงกันหมด คือมีความทุกข์ที่สั่งสมอยู่ภายใน" โซโนโกะกล่าวเสริม

                ในเมื่อมันคือการแสดงออกของความทุกข์ที่ถูกสั่งสมอยู่ใต้จิตใต้สำนึก จึงอาจเรียกละครบูโตได้อีกอย่างหนึ่งว่า 'ระบำวิปัสสนา' หรือ 'การเต้นรำที่มาจากความจริงภายใน' เพราะละครกำลังเผยให้คนดูเห็นอริยสัจข้อที่หนึ่ง คือความทุกข์ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน

                การแสดงบูโตทั้งสามรอบจึงไม่เหมือนกันเลย นี่อาจทำให้คนดูเข้าใจยากว่า การแสดงนี้กำลังสื่ออะไร โซโนโกะเฉลยว่า “ที่จริงก็ไม่ยาก เพียงดูละครโดยไม่ต้องคิดมาก แค่ตามอารมณ์ไปกับนักแสดงว่านักแสดงกำลังแสดงอารมณ์อะไรออกมาแล้วร่วมค้นหาไปด้วยกัน” 

                สำหรับคนที่เคยฝึกวิปัสสนามาแล้ว การเฝ้าดูความรู้สึกตนเองว่าขณะชมละครนั้นอารมณ์ความรู้สึกของตนเองเป็นอย่างไรแล้วสะท้อนการเฝ้าดูนั้นไปที่ตัวละคร ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ตัวละครมีอารมณ์ผันแปรไปไม่หยุดนิ่ง มีแต่ความเป็นอนัตตา ปราศจากความเป็นตัวตน อาจทำให้การชมบูโตมีอะไรที่น่าค้นหามากยิ่งขึ้น

                ในที่สุดแล้วด้วยวิธีการดูละครเช่นนี้ สามารถนำไปใช้ได้กับทุกรูปแบบการแสดงที่ผ่านเข้ามายังดวงตาทั้งสองข้างของเรา นั่นอาจทำให้เราได้เห็นอะไรที่ลึกซึ้งมากไปกว่าความบันเทิงที่ฉาบทาอยู่ภายนอก และบางทีอาจทำให้เรามองเห็นความจริงของชีวิตอย่างที่อุปติสสะและโกลิตะเคยเห็นมาแล้ว