พระเครื่อง

ฉันพาแม่กลับบ้านที่'ปาดังเบซาร์'

ฉันพาแม่กลับบ้านที่'ปาดังเบซาร์'

10 ส.ค. 2557

ฉันพาแม่กลับบ้านที่'ปาดังเบซาร์' : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพระชาย วรธัมโม

               “ปาดังเบซาร์” ไม่ได้เป็นหนังที่พูดถึงความตายและการพลัดพรากเป็นประเด็นหลัก แต่เนื้อหาหลักที่หนังเรื่องนี้กล่าวถึงคือปมความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งภายในครอบครัวที่ประกอบไปด้วยแม่และลูกสองคน

               แม่อยู่ปาดังเบซาร์ ตำบลหนึ่งใน จ.สงขลา ป่านลูกสาวคนเล็กเรียนหนังสืออยู่กรุงเทพฯ โดยพักอาศัยอยู่กับน้าต้อยซึ่งเป็นน้องสาวแม่ ปิ่นลูกสาวคนโตทำงานอยู่ที่สิงคโปร์ ความซับซ้อนของปมปัญหาภายในครอบครัวนี้ไม่ได้มีสาเหตุมาจากลูกห่างเหินแม่ด้วยการไปใช้ชีวิตในเมือง(นอก) แล้วทิ้งแม่ให้อยู่ต่างจังหวัดเท่านั้น แต่ปมปัญหาของครอบครัวนี้มีความเหินห่างทางใจเป็นปัจจัยหลัก ความเหินห่างทางใจได้กลายเป็นปมความขัดแย้งสามคู่ความสัมพันธ์ระหว่างป่านกับแม่ ป่านกับปิ่น และปิ่นกับแม่

               ป่านกับแม่ : จริงๆ แล้วป่านกับแม่ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรต่อกันมากนัก เมื่อเทียบกับความขัดแย้งระหว่างปิ่นกับแม่ แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวป่านเองมากกว่า ป่านเป็นเด็กติดเพื่อน โดดเรียน สูบบุหรี่ โกหกผู้ใหญ่ แม่ในสายตาของป่านคือบุคคลผู้ให้เงินใช้ แม้ว่าแม่จะสู้อุตส่าห์เดินทางไกลจากต่างจังหวัดมาเยี่ยมป่านถึงกรุงเทพฯ แต่ป่านก็ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรนัก เธอกลับรู้สึกเบื่อที่ต้องมาเห็นแม่ร้องเพลงที่ดูเป็นตัวตลกเพราะเสียงอันเพี้ยนและผิดคีย์ของแม่ เธอจึงบอกลาแม่ด้วยการอ้างว่าต้องไปเรียนพิเศษแต่แท้จริงแล้วเธอไปเล่นตู้เกมและแอบสูบบุหรี่กับเพื่อน วินาทีที่แม่เสียชีวิตป่านเพิ่งสำนึกได้ว่าเธอทำดีกับแม่น้อยเกินไป เธอไม่น่าโกหกแม่ว่าต้องไปเรียนพิเศษทั้งๆ ที่เพิ่งเจอแม่ไม่ถึงห้านาที สิ่งที่เธอทำได้ก็คือร้องไห้สะอึกสะอื้นในห้องน้ำเพราะรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่สายเกินไป

               ป่านกับปิ่น : พี่น้องคู่นี้ไม่ได้เห็นหน้ากันมานานหลายปีแล้ว คนหนึ่งอยู่เมืองไทยอีกคนหนึ่งออกจากบ้านไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกจนไม่คิดจะกลับมาเมืองไทยแล้วถ้าไม่เกิดเหตุด่วนกับแม่เสียก่อน ความห่างไกลทางกายนำมาซึ่งความเหินห่างทางจิตใจ โทรศัพท์ทางไกลข้ามประเทศที่ป่านน้องสาวพยายามโทรหาปิ่นพี่สาว เพื่อบอกข่าวร้ายเรื่องแม่แสดงสัญญาณอยู่นาน แต่เพราะปิ่นยุ่งกับงานจึงไม่ได้รับสาย กว่าจะทราบข่าวว่าแม่ป่วยอยู่ในห้องไอซียูก็ต่อเมื่อเธอกลับมาถึงห้องพักแล้ว ป่านคาดหวังว่าพี่สาวจะมาดูใจแม่ทันในวินาทีสุดท้าย แต่กว่าปิ่นจะบินมาถึงกรุงเทพฯ แม่ก็จากไปเสียแล้ว ตอนที่ปิ่นเซ็นชื่อรับศพแม่ออกจากโรงพยาบาล ปิ่นยังทักนางพยาบาลว่านี่ไม่ใช่ชื่อแม่ ปิ่นไม่รู้แม้กระทั่งว่าแม่ได้เปลี่ยนชื่อไปแล้ว มันเป็นความแปลกแยกที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกครอบครัวไม่เฉพาะกับครอบครัวนี้เท่านั้น

               ป่านยังคงมีอารมณ์ค้างที่พี่สาวไม่ยอมรับสายตอนที่ตนโทรไปหาอย่างเร่งด่วน ด้วยเหตุนี้ป่านจึงยังคงมึนตึงไม่ยอมพูดยอมจา ด้วยความเหินห่างที่ต่างคนต่างใช้ชีวิตอยู่กันคนละที่ ความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้แทบจะไม่หลงเหลืออะไรให้รู้สึกผูกพันกันอีกแล้ว เรื่องราวนำไปสู่สถานการณ์ที่สองพี่น้องต้องนั่งรถยนต์คันเดียวกันเพื่อนำศพแม่กลับไปทำพิธีที่บ้านเกิดคือปาดังเบซาร์ แม้จะต้องเดินทางไปในรถคันเดียวกันแต่สองพี่น้องก็ไม่ได้พูดคุยกันเลย ป่านเอาแต่ฟังเพลงผ่านหูฟังแม้ว่าปิ่นพยายามจะหาเรื่องคุย แม้ตอนแวะพักรับประทานอาหารต่างคนต่างนั่งกินข้าวกันคนละโต๊ะราวกับไม่รู้จักกัน

               ปิ่นกับแม่ : ปิ่นกับแม่มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงซึ่งถูกขมวดปมไว้เป็นปริศนา ตอนที่ปิ่นมาถึงโรงพยาบาลแม่ได้หมดลมหายใจไปแล้ว ปิ่นไม่ได้รู้สึกเสียใจ ไม่มีแม้น้ำตาสักหยดให้เห็น ผิดกับน้าต้อยที่ร้องไห้เสียใจอย่างสุดซึ้งตลอดทั้งเรื่อง สะท้อนให้เห็นว่าน้าต้อยรักพี่สาวมากกว่าหลานสองคนรักแม่ตนเอง ในขณะเดียวกันความรักของน้าต้อยที่มีต่อพี่สาวก็ดูเป็นความรักฉันพี่น้องของคนรุ่นเก่าที่ดูจริงจังกว่าความรักฉันพี่น้องของปิ่นกับป่านซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ แต่หาความรักฉันพี่น้องแทบไม่เจอ

               เมื่อรถล่องมาถึงสุราษฎร์ธานีก็มีเหตุให้ถูกด่านตำรวจกักไว้เนื่องจากศพไม่มีใบมรณบัตรติดมาด้วย คืนนั้นหลังจากตำรวจจดบันทึกประจำวันไว้ ปิ่นและป่านต้องฝากศพแม่ไว้ที่โรงพยาบาลและต้องพักค้างคืนในโรงแรมหนึ่งคืน รอการเดินทางต่อในเช้าวันรุ่งขึ้น การต้องพักห้องเดียวกันทำให้สองคนพี่น้องมีเรื่องให้ต้องหันมาพูดจากัน ขณะเดียวกันก็ทำให้ป่านเริ่มสงสัยว่าพี่สาวของตนมีความสัมพันธ์ลับๆ กับใครคนหนึ่งที่สิงคโปร์ เมื่อเธอสังเกตเห็นสายโทรศัพท์เข้ามือถือขณะที่พี่สาวกำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ

               รุ่งเช้าคนขับรถยังคงมีอาการอ่อนเพลียที่ต้องขับรถคนเดียวมาตลอดทาง ปิ่นจึงต้องขับรถให้โดยมีป่านนั่งข้างๆ นั่นยิ่งทำให้สองพี่น้องมีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น กว่าพี่น้องคู่นี้จะพูดคุยกันได้ก็ผ่านไปแล้วครึ่งเรื่อง

               เมื่อรถวิ่งมาถึงปาดังเบซาร์ก็เข้าสู่ย่านที่แม่คุ้นเคย เสียงปิ่นกับป่านพูดบอกทางกับแม่สลับกันไป เมื่อรถวิ่งมาถึงบ้าน ปิ่นกับป่านพูดพร้อมกันว่า “แม่...ถึงบ้านเราแล้วนะ” เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าพี่น้องคู่นี้กลับมามีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแล้ว

               การบอกทางกับคนตายไปตลอดเส้นทางของการเคลื่อนย้ายศพไปสู่ที่หมาย ไม่ได้แปลว่าถ้าเราไม่บอกเส้นทางกับคนตายแล้ววิญญาณจะหลงทางไปที่อื่น คนโบราณใช้อุบายนี้อย่างมีความหมายว่านี่คือการสื่อสารครั้งสุดท้ายระหว่างคนเป็นกับคนตาย ตอนที่มีชีวิตอยู่ เราอาจจะไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกับผู้ตายไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้พูดคุยกับผู้ตายเพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์อันดีและเป็นการแสดงออกถึงการเอาใจใส่ผู้ตายเป็นครั้งสุดท้ายผ่านการพูดบอกทางจนถึงที่หมาย

               ดังนั้นในฉากนี้ทั้งปิ่นและป่านจึงไม่ได้สื่อสารกับแม่ด้วยวาจาเท่านั้น แต่ทั้งคู่กำลังสื่อสารด้วยความรู้สึกภายในที่ไม่เคยเปิดใจพูดกับแม่มาก่อน ทั้งคู่จึงรู้สึกตื้นตันจนร้องไห้ออกมา   

               เมื่อปมความขัดแย้งที่มีต่อแม่คลี่คลาย ความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้องก็เริ่มดีขึ้น ป่านจึงเริ่มเข้าไปสำรวจความลับของพี่สาวที่ปิดบังมานาน ป่านพบว่าสาเหตุที่พี่สาวหนีงานแต่งงานที่แม่จัดให้เป็นเพราะพี่สาวไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่ไม่รู้จะบอกแม่ยังไงดีจึงตัดปัญหาด้วยการหนีงานแต่งไปอยู่สิงคโปร์กับคนรักที่เป็นผู้หญิงโดยไม่ติดต่อทางบ้านอีกเลย การหนีงานแต่งสร้างความเคืองใจให้แม่มาตลอด จนกระทั่งแม่ได้ตายจากไป

               คำถามที่ป่านถามพี่สาวว่า “ทำไมไม่บอกแม่ เรื่องแค่นี้แม่ไม่ว่าหรอก” สะท้อนแง่มุมให้คนดูได้เก็บไปคิดต่อว่าสิ่งสำคัญในครอบครัวคือการเปิดใจสื่อสารถึงความรู้สึกที่แท้จริงในขณะที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ ถ้าปิ่นเปิดใจพูดกับแม่ตรงๆ ก็คงไม่เกิดความเหินห่างจนกลายเป็นปมขัดแย้งระหว่างแม่กับลูก เช่นเดียวกัน ถ้าป่านแสดงความรักความใกล้ชิดกับแม่มากกว่านี้ตั้งใจเรียนมากกว่านี้ เธอก็คงไม่ต้องรู้สึกเสียใจที่ทำดีกับแม่น้อยเกินไป

               สิ่งที่ปิ่นกับป่านปฏิบัติกับแม่ในช่วงที่ผ่านมา คงไม่ใช่แบบอย่างที่ดีนัก แต่เป็นสิ่งที่หนังกำลังสื่อสารกับคนดูว่าแท้จริงแล้วสิ่งสำคัญภายในครอบครัวคือช่วงเวลาที่ทุกคนยังมีชีวิตอยู่ อย่าปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปจนใครคนใดคนหนึ่งต้องจากไปโดยขาดความเอาใจใส่และไม่เห็นคุณค่าของกันและกัน เพราะเมื่อเวลานั้นมาถึงมันอาจสายเกินกว่าจะกลับไปแก้ไขอะไรๆ ให้ดีขึ้น

               สุดท้ายปิ่นกับป่านได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ซ่อมแซมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้กลับมาดีดังเดิม แม้ว่าเธอทั้งคู่จะกลับไปแก้ไขอดีตที่ทำกับแม่ไว้ไม่ได้ แต่นี่คือสิ่งสุดท้ายที่พี่กับน้องจะสามารถทำให้กันได้ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่