
ความสำคัญของประเพณีเข้าพรรษาของชาวพุทธ
ความสำคัญของประเพณีเข้าพรรษาของชาวพุทธ : ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ มหาวิทยาลัยมหิดล
อินเดียเต็มไปด้วยสำนักปรัชญาและศาสนามาตั้งแต่สมัยโบราณ แม้ว่าสังคมอินเดียสมัยโบราณจะมีพราหมณ์เป็นผู้ก่อตั้งสำนักสอนหนังสือหลักแต่ในช่วงก่อนยุคสมัยกลางของอินเดียเล็กน้อย ก็มีกลุ่มนักบวชที่เรียกว่าชื่อเป็นภาษาบาลีว่า 'สมณะ' (หรือ 'ศรมณะ' ในสันสกฤต) อยู่หลายกลุ่ม กลุ่มสมณะเหล่านี้ ไม่เชื่อไม่ศรัทธาในระบบความเชื่อของพราหมณ์เดิมที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์พระเวท ไม่เชื่อในระบบวรรณะ ฯลฯ แต่เดิมนั้น พวกพราหมณ์ไม่นิยมออกบวชเพราะถือว่าใครก็ตามที่ปฏิบัติตามหน้าที่ของแต่ละวรรณะก็จะไปเกิดในวรรค์โดยอัติโนมัติ แต่เหล่าสมณะไม่เห็นด้วยและพากันออกบวช สาเหตุที่ออกบวชก็เพราะเห็นว่าไม่มีทางที่จะค้นพบสัจธรรมจากคัมภีร์พระเวทหรือจากการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแน่ ดังนั้น ศาสนาของพวกสมณะจึงเป็นทางเลือกใหม่ที่ทำให้อินเดียหลากหลายไปด้วยความเชื่อทางศาสนาและปรัชญามากยิ่งขึ้น
'เหล่าสมณะ' ที่แสวงหาทางหลุดพ้นจากทุกข์สมัยพุทธกาลนั้นมีหลายกลุ่ม ที่พบในวรรณคดีบาลีและสันสกฤตมีชื่อเรียกต่างกันหลายอย่างกล่าวคืออาชีวก, นิครนถ์, มุณฑสาวก, ชฏิล, ปริพาชก, มาคัณฑิกะ, เตทัณฑิกะ, อวิรุทธกะ, โคตมกะ, เทวธัมมิกะ, สันยาสี, ยติ, ภิกษุ เป็นต้น ส่วนในวรรณคดีของศาสนาเชน มีปรากฎ ๕ กลุ่มหลักกล่าวคือพวกนิครนถ์, พวกศากยะ, พวกดาบส, พวกไคริกะและอาชีวก กลุ่มผู้ออกบวชเหล่านี้เรียกรวมๆ กันว่า 'พวกสมณะ' ทั้งหมด ดังจะเห็นได้ว่าเรามีศัพท์ว่า 'สมณะ-พราหมณ์' บ่อยๆ ในพระไตรปิฎกบาลีเพราะกลุ่มสมณะและพราหมณ์มักแข่งขันกัน กลุ่มสมณะคือกลุ่มปัญญาชนที่ไม่เห็นด้วยกับปรัชญาหรือศาสนาของพราหมณ์ในคัมภีร์พระเวท สองกลุ่มนี้จึงโต้คารมกันบ่อยๆ และพระสาวกของพระพุทธเจ้าจำนวนมากก็เคยเป็นพราหมณ์หรือสมณะมาก่อน พอโต้วาทีแพ้ก็ยอมมาเป็นสาวกของพระองค์ก็มี
น่าสังเกตว่ากลุ่มผู้คนที่ต้องแสวงหาทางดับทุกข์เหล่านี้ล้วนเป็นกลุ่มผู้ชายเป็นหลัก และเริ่มต้นจากการอภิปรายเพื่อแสวงหาความจริงกันขณะเป็นฆราวาสก่อน ต่อมา จึงค่อยๆ ทดลองปฏิบัติกันและพัฒนากลุ่มขึ้นมาในรูปนักบวชที่เสียสละบ้านช่อง ละทิ้งญาติมิตรไปอยู่ตามป่าเขา ริมฝั่งแม่น้ำ ฯลฯ ที่มีวัตรปฏิบัติชัดเจนกันอีกที ซึ่งตรงกับสำนวนภาษาบาลีในพระไตรปิฎกว่า อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา อันแปลได้ว่า 'ออกจากเรือนมาบวชเป็นนักบวชที่ไม่มีเรือน' คนเหล่านี้ จะมีหลายกลุ่มหลายพวก แต่ละกลุ่มก็จะมีญาติโยมซึ่งเป็นคฤหัสถ์คอยอุปัฏฐากประจำเพราะไม่ได้ทำมาหากินอะไร จำเป็นต้องมีคฤหัสถ์คอยอุปถัมภ์ในเรื่องอาหาร โดยนักบวชเหล่านี้จะสั่งสอนปรัชญาหรือหลักธรรมที่ตนเองค้นพบตอบแทน
คัมภีร์สันสกฤตโบราณบางเล่มได้แบ่งวิถีชีวิตสังคมอินเดียตั้งแต่สมัยโบราณถึงก่อนพุทธกาลออกกว้างๆ 4 กลุ่ม กล่าวคือพรหมจารี (นักศึกษา), คฤหัสถ์ (ฆราวาสผู้ครองเรือนและเลี้ยงชีพด้วยอาชีพต่างๆ), ภิกษุและกลุ่มดาบส (บางเล่มเป็น 'วานปรัสถ์' และ 'สันยาสี' แทน) ในจำนวนนี้ กลุ่มคฤหัสถ์ (ฆราวาสผู้ครองเรือน) จะเป็น 'ฐานสนับสนุน' ให้กลุ่มสมณะทุกกลุ่ม (พฺรหฺมจารี คฤหสฺโถ ภิกฺษุรไวขานส อิติ เตษำ คฤหสฺโถ โยนิรปฺรชานนตฺวาทฺ อิตเรษามฺ) ปรกติคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนเหล่านี้ จะประกอบอาชีพต่างๆ และอาจนับถือนักบวชต่างกลุ่มกัน แต่ที่เหมือนกันคืออยู่ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนหลักด้านอาหาร (ยถา วายุํ สมาศฺริตฺย วรฺตนฺเต สรฺวชนฺตวะ, ตถา คฤหสฺถมาศฺริตฺย วรฺตนฺเต สรฺเว อาศฺรมาะ= 'สัตว์ทั้งปวงอาศัยอากาศเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ฉันใด ผู้คนในอาศรมอื่นๆ ต้องอาศัยผู้ครองเรือน [คฤหัสถ์]'ฉันนั้น) สำนักไหนมีชื่อเสียงมาก มีคฤหัสถ์สนับสนุนมาก สำนักนั้นก็อยู่ได้นาน
สมัยนั้น การเรียนหนังสือทำได้หลายวิธี เช่น ถ้านับถือคัมภีร์พระเวทของพวกพราหมณ์ก็เรียนในสำนักพราหมณ์ในเมือง, เรียนในสำนักครูประจำตระกูลใหญ่ๆ ดังๆ ซึ่งเปิดสอนกุลบุตรกุลธิดาของตน เช่น สำนักปัญจาละซึ่งในสมัยอุปนิษัทก่อนพุทธกาลจะมีชื่อเสียงมาก, เรียนในสำนักอื่นๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ตามหมู่บ้านบ้าง, เรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอย่างตักศิลาบ้าง ฯลฯ แล้วแต่ฐานะและโอกาส โดยเรียนกับผู้สอนซึ่งเรียกว่าอาจารย์บ้าง อุปาธยายะบ้าง คุรุบ้าง การไปศึกษาในสถานที่เหล่านี้เป็นวิถีปรกติ สำหรับวรรณะกษัตริย์, พราหมณ์และแพศย์ที่นับถือศาสนาพระเวท โดยปรกติจะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนตอบแทน แต่ก็มีประชาชนอีกจำนวนมากเรียนในสำนักสมณะกลุ่มต่างๆ ซึ่งสัญจรไปมาไม่เป็นที่ดังกล่าวข้างต้น กลุ่มสมณะเหล่านี้จะหยุดพักแรมเมื่อถึงฤดูฝน กลุ่มหลังนี้จะสอนชาวบ้านหรือคฤหัสถ์ฟรีๆ ถ้าชาวบ้านหรือกลุ่มคฤหัสถ์ขอให้พักแรมนานๆ ก็จะอยู่นานๆ
กลุ่มพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกของพระองค์ก็จัดเข้าในกลุ่มพวกสมณะ แต่เดิมก็ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งเพราะสมณะเป็นกลุ่มบรรพชิตที่เสียสละทรัพย์สมบัติทางโลกทุกอย่างแล้ว จึงต้องจาริกไปตามที่ต่างๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อหาเสนาสนะที่สัปปายะมากแล้วปฏิบัติธรรมตามที่ศาสดาของกลุ่มตนสอนเพื่อให้รู้จริงตาม ถ้าเป็นสมณะกลุ่มอื่นก็อาจปักหลักกับที่บ้าง จาริกไปตามที่ต่างๆ เพื่อสนทนากับหมู่นักบวชสำนักต่างๆ แลกเปลี่ยนความรู้กันเพื่อให้สติปัญญาแหลมคมขึ้น พระสงฆ์ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าหลังจากออกบวชตามพระพุทธเจ้าแล้ว ก็สัญจรไปตามที่ต่างๆ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งเหมือนสมณะกลุ่มอื่นๆ แต่หลักๆก็คือหาเสนาสนสัปปายะที่ถูกจริตเพื่อการปฏิบัติธรรมที่เข้มข้นยิ่งขึ้น
หลังจากพระสาวกของพระพุทธเจ้าได้เดินทางสัญจรไปตามที่ต่างๆ เหยียบข้าวกล้าของประชาชนเสียหายแล้วพระองค์ได้กำหนดให้อยู่จำพรรษา ณ ที่ใดที่หนึ่งในช่วงฤดูฝน 3 เดือนกลายเป็นประเพณีเข้าพรรษาขึ้นมา โดยปรกติ ดิถีวันเข้าพรรษาในพระบาลีกล่าวไว้ 2 อย่างคือปุริมิกาวัสสูปนายิกา หมายถึงวันเข้าพรรษาต้น กล่าวคือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ อีกอันหนึ่งคือปัจฉิมิกาวัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาหลัง หมายถึงว่าเมื่อปีนั้นมีอธิกมาส กำหนดให้เริ่มเมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะไปแล้วครบ ๑ เดือน
ที่พักสำหรับภิกษุสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาในภาษาบาลีดั้งเดิมเรียกว่า 'อาวาส' ซึ่งแต่เดิมหมายถึง 'การพักชั่วคราวสำหรับจำพรรษาในช่วงฤดูฝน 3 เดือน' ที่เรียกว่า 'พรรษกาล' แต่ตอนหลัง กลายมีความหมายเป็น 'สำนักสงฆ์' หรือ 'วัด' เมื่อสำนักสงฆ์หรือวัดมีความจำเป็นสำหรับการอยู่จำพรรษาทุกๆปี ความพยายามในการก่อตั้ง 'อาวาส' (หรือวัด) ที่ถาวรก็เกิดขึ้นเมื่อมีสำนักสงฆ์หรือวัดขึ้นมา ระเบียบปฏิบัติภายในก็ถูกกำหนดขึ้น กฎเกณฑ์หลายอย่างพัฒนาขึ้นในหมู่พระภิกษุในพระพุทธศาสนาเอง ขณะที่หลายๆ อย่างอาจยืมมาจากวิถีปฏิบัติของสมณะกลุ่มอื่นด้วย เมื่อมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งถาวร พระวินัยต่างๆ ซึ่งหมายถึง 'ข้อห้าม' และ 'ข้ออนุญาต' ที่มีต่อภิกษุว่าควรทำสิ่งไรไม่ควรทำสิ่งไรบ้างก็ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อให้สมาชิกสงฆ์ที่อยู่ในแต่ละอาวาสได้ปฏิบัติเสมอเหมือนกัน (ดังที่ปรากฎมีอยู่ในพระวินัยปิฎกเดี๋ยวนี้) โดยมีกลุ่มพระสงฆ์ที่เรียกว่าพระวินัยธร (ผู้เชี่ยวชาญในพระวินัย)และพระธรรมธร (ผู้เชี่ยวชาญในพระธรรม) เป็นผู้คอยดูแลเพื่อให้ความประพฤติของภิกษุสงฆ์เป็นไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนั้นธรรมเนียมอื่นๆ อาทิ วิธีการห่มผ้า วิธีบิณฑบาต วิธีบวชกุลบุตร ประเภทของบาตรที่ต้องใช้ ฯลฯ ก็ล้วนแต่พัฒนาขึ้นมาและทำให้เป็นระบบยิ่งขึ้นกว่าเดิมเมื่อมี 'อาวาส' เกิดขึ้นแล้วนี่แหละครับ
แต่ 'อาวาส' ('สำนักสงฆ์' หรือ 'วัด') ก็มีพระอยู่ไม่เหมือนกัน บางแห่งสัปปายะ บางแห่งไม่ค่อยสัปปายะบางแห่งมีพระผู้ทรงความรู้หรือมีประสบการณ์ในภาคปฏิบัติอยู่มาก แต่บางวัดก็มีน้อยกว่า ดังนั้น พระสงฆ์สมัยนั้น จึงอาจจะต้องเลือกว่าจะต้องการอยู่จำพรรษาภายใน 3 เดือนเพื่อเน้นปฏิบัติหรือศึกษาอะไรเป็นพิเศษ ถ้าเน้นจะเรียนปริยัติธรรมก็อาจจะเลือกสำนักหนึ่งที่มีพระธรรมกถึกหรือพระธรรมธรอยู่มาก ถ้าเน้นจะเรียนพระอภิธรรมโดยเฉพาะ ก็อาจเลือกสำนักหนึ่ง ถ้าเน้นจะฝึกอสุภกัมมัฏฐานก็อาจจะไปพักวัดหนึ่ง ถ้าเน้นจะฝึกสมาธิระดับสูงกับครูอาจารย์ที่มีภูมิธรรมสูงก็อาจจะไปอยู่จำพรรษาอีกวัดหนึ่ง ฯลฯ เหตุนี้ การเลือกวัดที่จะอยู่จำพรรษาจึงหมายถึงว่าพระภิกษุต้องการจะเน้นศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นกรณีพิเศษนั่นเอง
'การเข้าพรรษา' ในสมัยพุทธกาลจึงอาจไม่ใช่สักแต่หาที่สำหรับพักสำหรับอยู่พักแรมตลอด 3 เดือน ยังจะเป็นช่วงเวลาที่พระสงฆ์จะแสวงหาอาจารย์หรือเน้นศึกษาหรือปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดความช่ำชองด้านใดด้านหนึ่งด้วย โดยระหว่างนี้ พระภิกษุที่จำพรรษาอยู่ในอาวาสหรือวัดเดียวกันจะต้องมี 'อสาราณิยธรรม' และ 'ปริหาณิยธรรม' พูดคร่าวๆ ก็คือต้องพยายามส่งเสริมกันและกันให้ศึกษาและปฏิบัติตามเจตนารมณ์ที่ตั้งใจเอาไว้ด้วย
สมัยเราทุกวันนี้ หลังจากประกอบพิธีอธิษฐานอยู่จำพรรษาแล้ว ประเพณีไทยพุทธมีว่าบรรดาพระสงฆ์จะเดินทางไปกราบไหว้สักการะครูอาจารย์เพื่อกราบขอขมาและรับฟังโอวาท ซึ่งก็เหมือนว่าจะพยายามปฏิบัติตามธรรมเนียมเดิม หมายความว่าพยายามไปรับฟังคำแนะนำจากบรรดาครูอาจารย์ต่างๆ มาเป็นแนวในการปฏิบัติระหว่างที่จะเก็บตัวอยู่ภายในวัดๆหนึ่งเป็นเวลา 1 พรรษา พระอาจารย์ก็จะแนะวิธีปฏิบัติว่าควรจะทำสิ่งไรบ้าง มีสิ่งไหนที่ควรจะต้องปรับปรุงเป็นพิเศษเพื่อให้บรรลุสิ่งที่ประสงค์ตามประสบการณ์ของท่าน เพียงแต่ว่าสมัยนี้ ถ้าเป็นพระในเมืองก็อาจเพียงไปกราบไหว้พอเป็นพิธี
ขณะที่พระสงฆ์อยู่จำพรรษาเพื่อศึกษาปริยัติธรรมหรือปฏิบัติในสมถวิปัสสนาอย่างเข้มข้น ก็มีกระแสชาวพุทธฆราวาส โดยเฉพาะรัฐบาลแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติธรรม เช่น งดเหล้าเข้าพรรษา พร้อมๆ กันนั้น ก็มีคนไทยหลายคนวิจารณ์ทำนองว่า 'รัฐบาลไม่ควรจะมาเน้นสอนศาสนาเพราะศาสนาเป็นเรื่องของปัจเจกชน ศาสนาควรจะแยกจากการบ้านการเมือง ไม่ควรจะมารณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษาเพราะเป็นสิทธิ์ของประชาชนที่จะกินดื่มได้อย่างเสรี' เหมือนๆ กับเสียงวิจารณ์ในสังคมยุโรปสมัยตอนปลายของศตวรรษที่ 17 ซึ่งสมัยนั้น ผู้คนพากันประกาศปฏิเสธศาสนากันไปทั่วและพยายามแยกศาสนาออกจากรัฐให้มากที่สุด
คนไทยเหล่านี้เข้าใจบริบทสังคมผิดครับ การที่ชาวยุโรปพยายามแยกศาสนาออกจากรัฐในสมัยนั้นเป็นเพราะศาสนาของเขาเข้ากับหลักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ มีคำสอนอะไรหลายอย่างที่ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์ นอกจากนั้น ถ้าหากศาสนายังมีอำนาจมากอยู่ อาจให้โทษแก่บรรดานักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบอะไรใหม่ๆ ซึ่งขัดแย้งกับศาสนาได้ ดังเช่น ที่กาลิเลโอ เคยโดนมาแล้ว ผู้คนก็เลยคิดว่าเป็นการไม่บังควรที่จะเอาศาสนาไปมีบทบาทชี้นำสังคมมาก แต่ควรจะใช้หลักวิทยาศาสตร์มาชี้นำมากกว่า หลังจากนั้น ถึงสมัยศตวรรษที่ 19 คาร์ล ม๊ากซ์ยังพูดสำทับอีกว่า 'ศาสนาคือสิ่งเสพติดของประชาชน' (Die Religion ... ist das Opium des Volkes [religion... is the opiate of the masses]) ซึ่งทำให้กระแสความนิยมต่อศาสนาคริสต์ในยุโรปเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว วัดวาอารามจำนวนมากในขณะนี้ได้รกร้างเพราะไม่มีคนเข้าแล้ว หลายๆ แห่งปรับเปลี่ยนเป็นสถานที่ออกกำลังกายไปก็มี
แต่ความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อพระพุทธศาสนา หนำซ้ำ ยังมีชาวตะวันตกและอเมริกาจำนวนมากหันมาทุ่มเทศึกษาคัมภีร์พระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาทิเบตหรือภาษาจีน โดยยอมรับว่าพระพุทธศาสนามีเหตุมีผลและเข้ากันได้กับหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เมื่อราวก่อนพ.ศ. 2543 (2000) เล็กน้อย สื่อมวลชนในยุโรปได้เห็นพ้องต้องกันว่าพระพุทธศาสนาจะมาแรงที่สุดในยุโรปในสมัยศตวรรษที่ 21และเมื่อปีพ.ศ. 2552 (2009) องค์กรทางศาสนาที่ชื่อว่า 'สมาคมนานาชาติเพื่อความก้าวหน้าของศาสนาและจิตวิญญาณ' (the International Coalition for the Advancement of Religious and Spirituality [ICARUS]) ซึ่งเป็นสมาคมที่รวมนักวิชาการทางศาสนาจากหลายๆ ศาสนามาทำงานด้วยกันและมีสำนักงานที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้ประกาศว่า 'พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ดีที่สุดในโลก' ในแง่ที่ส่งเสริมสันติ รางวัลนี้เป็นรางวัลที่ผู้นำศาสนาต่างๆ ในยุโรปไม่น้อยกว่า 200 ท่านช่วยกันโหวตให้ เพราะปัจจัยสำคัญคือคำสอนไม่ขัดแย้งกับหลักวิทยาศาสตร์ ผู้นับถือสามารถใช้วิจารณญาณวิพากษ์วิจารณ์ได้เต็มที่ ไม่มีคำสอนประเภท 'สิทธันต์' (dogma) ที่ห้ามวิจารณ์และเชิญชวนให้คนสมัยใหม่พิสูจน์ได้ตลอด พระพุทธศาสนาจึงเจริญเติบโตในยุโรปและอเมริกาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการฝึกสมาธิได้รับการทดลองศึกษาจากนักวิจัยหลายๆ มหาวิทยาลัยและยอมรับว่าสามารถทำให้ผู้ฝึกมีความสุข มีสติยับยั้งอารมณ์ ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้หลายโรคและสามารถช่วยลดงบประมาณสาธารณสุขของประเทศได้ถ้าหากประชาชนฝึกบ่อยๆ เป็นประจำ
ก็เพราะพระพุทธศาสนามีข้อดี กล่าวคือความทันสมัยตลอดเวลา จึงเป็นโอกาสดีที่พุทธมามกะซึ่งมีความรู้ทางพระพุทธศาสนาน้อยจะใช้ช่วงจังหวะเวลา 3 เดือนระหว่างพรรษาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าและปฏิบัติธรรมเป็นพิเศษเพื่อพิสูจน์ว่า 'ที่บอกว่าพระพุทธศาสนาดีและมีคุณค่านั้นเป็นอย่างไร?' 'การฝึกสมาธิประจำทำให้มีความสุขจริงหรือ?' 'คำสอนพระพุทธเจ้ามีประโยชน์จริงหรือ?' โดยวิธีต่างๆ เช่น อาจจะฝึกสมาธิทุกวัน, อาจจะเริ่มสวดมนต์ทุกๆวัน,อาจจะเน้นศึกษาพระอภิธรรมให้รู้ละเอียดยิ่งขึ้น, อาจจะตั้งใจเรียนภาษาบาลีเป็นพิเศษ, อาจจะตั้งใจรักษาอุโบสถศีลหรือเบญจศีลเป็นพิเศษซึ่งก็สามารถทำได้ตามแต่กรณี การปฏิเสธไม่ยอมศึกษาเลยแล้วบอกว่า 'พระพุทธศาสนาไม่มีประโยชน์' เป็นการปิดกั้นการเรียนรู้ของตนเองไปอย่างน่าเสียดาย
ถ้าพุทธมามกะทำเช่นนี้ทุกๆ ปีหรือทุกๆ ครั้งที่เข้าพรรษา ความรู้ความเข้าใจในหลักพระพุทธศาสนาก็จะแน่นแฟ้นและลึกซึ้งยิ่งขึ้น สามารถมองเห็นชัดเจนว่าอะไรคือแก่นสารหรือไม่ใช่แก่นสารในพระพุทธศาสนา ทำให้ปฏิบัติถูกตามครรลองของพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้นได้ ไม่เสียเวลากับพิธีกรรมไร้สาระ บางคนที่งดเหล้าเข้าพรรษา 3 เดือน อาจจะเปลี่ยนใจไปงดเหล้านอกพรรษาแทนซึ่งมีอยู่ 9 เดือนและในที่สุด ก็อาจจะสามารถเลิกได้เด็ดขาดทั้งในและนอกพรรษาก็ได้