
นาตาลีร้อยหน้านรก สวรรค์ นิพพานจะเลือกทางไหน
พระแต่งหญิง นาตาลีร้อยหน้า นรก สวรรค์ นิพพาน จะเลือกทางไหน? : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพระชาย วรธัมโม เรื่อง ศูนย์ภาพเนชั่น ภาพ
หลังสงกรานต์ที่ผ่านมา มีข่าวคาวๆ เกี่ยวกับพระสงฆ์ให้พุทธศาสนิกชนได้ทดสอบสติปัญญากันอีกแล้ว คราวนี้เกิดขึ้นกับสถาบันการศึกษาที่ผู้เขียนกำลังศึกษาอยู่พอดี แต่จะพูดว่าเกี่ยวข้องกับสถาบันการศึกษาที่ผู้เขียนกำลังศึกษาอยู่ก็ไม่เชิงนัก เพราะเอาเข้าจริงๆ บุคคลที่เป็นข่าวก็ไม่ได้ศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาที่ถูกพาดพิงถึง แต่กลับกลายเป็นเรื่องของบุคคลสองคนขัดแย้งกันเองโดยมีการนำเอาชื่อสถาบันการศึกษาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ก็เลยกลายเป็นข่าวที่ถูกเขียนให้เข้าใจผิดกันไปอย่างขาดความรับผิดชอบไปเสีย
เรื่องของเรื่องก็คือ มีการนำเสนอข่าวว่ามีพระสงฆ์แต่งหญิงออกเที่ยวกลางคืน เธอคนนั้นมีฉายา "นาตาลีร้อยหน้า" ในข่าวรายงานว่า เธอนัดพบชายหนุ่มซึ่งอาจมีสัมพันธ์ทางเพศกัน โดยเนื้อข่าวระบุว่านาตาลีเป็นพระนิสิตในสังกัดมหาวิทยาลัยสงฆ์ชื่อดัง มหาวิทยาลัยสงฆ์ก็มีเพียงสองแห่งเท่านั้น คือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) กับมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มวก.) พอข่าวแพร่ออกไปก็มีคนสงสัยกันไปต่างๆ นานาว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยไหนกันแน่ จนในที่สุดข่าวก็ออกมาว่า พระแต่งหญิงเป็นพระนิสิตในสังกัดมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย บอกรายละเอียดว่า เธอศึกษาอยู่ชั้นปริญญาตรี คณะสังคมศาสตร์ พักอยู่ในหอพักนิสิต กลางคืนมีรถมารับออกไปเที่ยว ทำไปทำมาก็บอกว่ากำลังจะรับปริญญาเร็วๆ นี้ และยังมีการเปิดเผยชื่อวัดว่าสังกัดวัดดังวัดหนึ่งในกรุงเทพฯ
ในที่สุดเรื่องก็ไปพัวพันกับพระครูท่านหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่หอพักใน มจร. ผู้เขียนได้สอบถามไปยัง พระสุกิจจ์ สุจิณโน นายกองค์กรนิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่านศึกษาอยู่ในคณะสังคมศาสตร์เช่นกัน ท่านให้ข้อมูลว่า "นาตาลี" ไม่ได้ศึกษาอยู่คณะสังคมศาสตร์ และไม่ได้เป็นพระนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแต่อย่างใด ความผิดพลาดเกิดจากพระครูสมุห์ธัชพงศ์ภณ ผู้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่จิตอาสาในหอพักนิสิต มจร. ปล่อยข่าวว่า นาตาลีเป็นนิสิต มจร. คณะสังคมศาสตร์ ดึกๆ ก็แต่งหญิงออกไปเที่ยว และกำลังจะรับปริญญา จนทำให้กลายเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกัน ต่อมาพระครูสมุห์ธัชพงศ์ภณได้เขียนข้อความขอโทษที่หน้าเฟซบุ๊กของตนเองที่ปล่อยข่าวสร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้นกับสถาบัน พร้อมทั้งขอขมาต่อพระเถรานุเถระทั้งหลาย ท่านสุกิจจ์ได้เล่าว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้พระครูท่านดังกล่าวก็หายไปจาก มจร.ทันที
เมื่อตามข่าวต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ทราบว่า เบื้องหลังระหว่างพระครูสมุห์ธัชพงศ์ภณกับพระที่ถูกอ้างว่าแต่งหญิงมีการผิดใจกัน เพราะมีการนำข้อความพูดคุยกันในลักษณะการต่อรองในเรื่องบางอย่างคล้ายๆ จะเกี่ยวกับเรื่องเพศ ซึ่งอ้างว่าเป็นของพระครูสมุห์ธัชพงศ์ภณออกมาแฉในข่าว จึงเดาว่าบุคคลทั้งสองมีเรื่องผิดใจกัน ต่างฝ่ายจึงนำความลับของกันและกันมาเผยในสื่อ
สื่อก็มีหน้าที่คือ ทำเรื่องให้บานปลายออกไป โดยพระครูก็ดึงชื่อสถาบัน มจร. เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งๆ นาตาลีก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ มจร. อย่างที่กล่าวไปแล้ว จริงๆ แล้วบุคคลทั้งสองเมื่อมีความขัดแย้งกันควรหาข้อยุติให้เรียบร้อย ไม่ใช่เอาความผิดของฝ่ายตรงข้ามมาเปิดเผยในสื่อ ซึ่งในที่สุดเรื่องของคนสองคนได้กลายเป็นอาหารอันโอชะของสื่อเสียเอง
งานนี้บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อก็คือ พุทธศาสนิกชน คนเสพข่าว สถาบันการศึกษา ส่วนคนที่พร้อมจะรังเกียจตุ๊ดกะเทยอยู่แล้วก็รังเกียจตุ๊ดกะเทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนต่างตกเป็นเหยื่อของการเสพข่าวหมดเลย
เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกท่านว่าเวลาที่ท่านกับคู่กรณีมีความขัดแย้งหรือผิดใจกันควรหาทางยุติให้เรียบร้อยแทนที่จะใช้สื่อมาเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม เพราะในที่สุดสื่อไม่ได้ทำลายฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นแต่สื่อได้ย้อนกลับมาทำลายตัวท่านและบุคคลอีกหลายฝ่ายเลยทีเดียว ผู้ที่ได้กำไรจากการนี้เห็นจะเป็นสื่อเท่านั้นที่ได้เรตติ้งจากการขายข่าวอันโอชะ
และหากติดตามข่าวให้ดีก็จะพบว่าข่าวพระแต่งหญิงนี้ยังไม่นิ่ง ล่าสุดมีรายงานว่านาตาลียังเป็นพระ ซึ่งกระแสข่าวก่อนหน้านี้บอกว่าเธอสึกไปแล้ว กว่าบทความนี้จะถูกตีพิมพ์เผยแพร่เชื่อว่าข่าวยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ และยังไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดในรูปการณ์ใด หรือผลสุดท้ายเรื่องนี้จะสรุปออกมาเป็นแนวไหน
ข้อสังเกตประการหนึ่งจากข่าวทำนองนี้ก็คือ การนำเสนอข่าวจะมีลักษณะเป็น "ซีรีส์" (Series) เป็นตอนๆ มีความยืดเยื้อน่าติดตามคล้ายละครโทรทัศน์ คนที่ติดตามก็จะเหมือนได้เสพกัญชาคือรู้สึกเมามันมีความสุขไปกับการเสพข่าวและรู้สึกอยากติดตามตอนต่อไปเรื่อยๆ สื่อจะไม่มาสนใจว่าใครจะได้รับผลกระทบจากการนำเสนอข่าวคาวๆ ทำนองนี้ สังคมจะเสียหายอย่างไรสื่อไม่สนใจ เพราะนี่ถือเป็นรายได้อันโอชะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวที่เกี่ยวกับคนดัง คนมีชื่อเสียง คนที่อยู่ในสถาบันต่างๆ ราคาข่าวจะยิ่งเพิ่มยอดรายได้ให้กับคนทำข่าวเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับสถาบันศาสนาถือว่าช่วยเรื่องเรตติ้งได้มาก น่าจะเรียกได้ว่าคนทำข่าวทำนองนี้เป็นหนี้บุญคุณพระศาสนาก็น่าจะได้ เพราะข่าวศาสนาทำให้ท่านมีรายได้เลี้ยงครอบครัวทำให้ท่านมีอยู่มีกิน หากไร้ข่าวด้านลบเกี่ยวกับศาสนาแล้วท่านอาจจะดำเนินชีวิตเลี้ยงครอบครัวด้วยความยากลำบากก็เป็นได้
สำหรับคนที่ติดตามข่าวเมื่อรู้สึกว่าตัวละครในข่าวไม่ได้เป็นคนดีตามที่ตนคาดหวังก็จะรู้สึกโกรธ ไม่พอใจ ตามด้วยการโพสข้อความด่าทออย่างสาดเสียเทเสีย แน่นอนว่ายิ่งมีการโพสข้อความวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงก็ยิ่งโหมกระพือข่าวให้ร้อนมากยิ่งขึ้น ยิ่งมีการแชร์ มีการกดไลค์ก็ยิ่งเพิ่มความฮอตของข่าวให้เร่าร้อนเป็นทวีคูณ การทำงานสื่อจึงเป็นเรื่องของการแข่งขัน สื่อไม่สนใจว่าใครจะได้รับผลกระทบจากการนำเสนอข่าวทำนองนี้ ขอให้มีเรตติ้งพุ่งกระฉูดเท่านั้นเป็นพอ
ในฐานะผู้เสพข่าว หลักธรรมเรื่อง "โยนิโสมนสิการ" การคิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง และหลักธรรมเรื่อง "กาลามสูตร" การคิดพิจารณาอย่างแยบคายก่อนจะเชื่อมีความสำคัญไม่น้อยสำหรับการเสพข่าวทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์และการเสพข่าวสารในเครือข่ายสังคมออนไลน์
หากเรามีหลักธรรมสองข้อนี้เชื่อว่าเราจะอ่านข่าวทำนองนี้ได้อย่างเข้าใจลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น เราจะเห็นกระบวนการทำงานที่เป็นมิจฉาทิฐิของคนทำข่าว ได้เห็นมายาคติในการนำเสนอข่าว ได้เห็นภาวะจิตของคนที่ตกอยู่ในข่าวว่าบางครั้งพวกเขาก็ทำผิดพลาดตกอยู่ในอำนาจการครอบงำของ โลภะ โทสะ โมหะ ไม่สามารถหลุดพ้นหรือเอาชนะมารทั้งสามนี้ไปได้ ถ้าพวกเขามีสติปัญญาในการใช้ชีวิตก็คงไม่ตกเป็นเหยื่อในข่าวหรือกลายเป็นผู้เสียชื่อเสียง หรือถ้าพวกเขามีความขัดแย้งกันแต่มีสติปัญญาก็จะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งได้เห็นภาวะจิตของเราเองว่าเรารู้สึกโกรธและไม่สบายใจเมื่อได้อ่านข่าวทำนองนี้
ในที่สุดเราก็ควรมี "สติ" ตามดูความรู้สึกตัวเองไปด้วย พร้อมกับเพียรระมัดระวังไม่ให้ตกไปอยู่ในรากเหง้าของอกุศลมูลที่มีชื่อว่า "โทสะ" และ "โมหะ" เมื่อเราพิจารณาตนเองอย่างลึกซึ้งเช่นนี้เราจะสามารถเท่าทันกับความรู้สึกของตนเอง เรียนรู้จากคนที่ผิดพลาดว่าเราไม่ควรตกไปอยู่ในภาวะขาดสติเช่นนั้น อ่านข่าวที่ขาดสติแล้วเราก็ไม่ควรกลายเป็นคนขาดสติร่วมไปด้วย จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของการนำเสนอข่าวของสื่อที่พยายามเล่นกับกิเลสของเรา หรือไม่ตกเป็นเหยื่อของการกระตุ้นต่อมความอยากรู้อยากเห็นความหายนะของคนอื่นจากการทำงานของสื่อ
ในข่าวเพียงหนึ่งข่าวเราอาจจะลงนรก ขึ้นสวรรค์ หรือไปสู่นิพพานก็ได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะไปทางไหน