พระเครื่อง

ไปเอาบุญผะเวด:เทศน์มหาชาติที่ศรีเทพ

ไปเอาบุญผะเวด:เทศน์มหาชาติที่ศรีเทพ

23 มี.ค. 2557

ไปเอาบุญผะเวด : เทศน์มหาชาติที่ศรีเทพ เพชรบูรณ์ : ช.ศรีนอก

             การเทศน์มหาชาติทำนองอีสานนั้น ถือเป็นประเพณีนิยมที่ได้ปฏิบัติกันมาแต่ดั้งเดิมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและสืบต่อมาถึงภาคเหนือตอนล่างภาคกลางตอนบน โดยการแบ่งเนื้อหาของเวสสันดรชาดกออกเป็น ๑๓ กัณฑ์ หรือ ๑๓ ผูก ที่ได้มีผู้ประพันธ์ไว้เป็นภาษาอีสาน เขียนด้วยอักษรธรรม จารลงในใบลานเก็บไว้เป็นผูกๆ ละ ๑ กัณฑ์ การเทศน์มหาชาตินี้ต่างจากการเทศน์อย่างอื่น เพราะแต่ละกัณฑ์จะมีทำนองประจำ เรียกว่าทำนองประจำกัณฑ์ เช่นเกี่ยวกับการร่ายเวสสันดรชาดกในภาคกลาง หรือทำนองหลวง ที่มีทำนองเฉพาะในเนื้อเรื่องแต่ละเรื่องแต่ละตอน


             ประชาชนพุทธบริษัททางภาคอีสาน ยังยึดมั่นและยังนิยมจัดให้มีการเทศน์มหาชาติทำนองอีสาน หรือลำพระเวสน์ในพิธีงานบุญมหาชาติอยู่อย่างเหนียวแน่น พระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้อ่านกัณฑ์เทศน์ในใบลาน มีจำนวนน้อยที่สามารถใช้ทำนองให้ถูกต้องในแต่ละกัณฑ์แต่ละตอนและนับวันที่จะหายากขึ้นมาลำดับ เพราะพระสงฆ์ผู้มีความชำนาญในการเทศน์มหาชาติทำนองอีสานและเทศน์ได้อย่างถูกต้องนั้น ล้วนเป็นพระสงฆ์ที่มีอายุพรรษามากแล้ว หรือไม่ก็มรณภาพไปแล้วหลายรูป ยกตัวอย่าง พ.กวี,และอาจารย์สำรวย เป็นต้น พระภิกษุหนุ่มและสามเณรน้อยทั้งหลาย ก็ไม่มีโอกาสได้ฝึกอบรมเพื่อสืบทอดวัฒนธรรมการเทศน์มหาชาติทำนองอีสานอันมีค่ายิ่งนี้ไว้ได้ เพราะไม่มีการฝึกอบรมอย่างเป็นกิจจะลักษณะเพื่อการอนุรักษ์อย่างจริงจังและยังไม่มีพระเทศน์ที่มีชื่อเสียงเหมือนดังภาคกลาง

             การคลายเครียดในสังคมที่หาจุดรวมหรือจูนกันไม่ได้เช่นในยุคปัจจุบัน  วรรณกรรมเท่านั้นที่เป็นร่องรอยอันน่าภาคภูมิใจของแต่ละภาค  หากทุกคนมีความภูมิใจและเข้าถึงศิลปะของแต่ละชีวิตโดยใช้หลักการที่ว่านำความรู้สู่ชีวิตและใช้ชีวิตแบบศิลปะแล้วชีวิตเราจะมีจุดยืนบนหลักการแห่งความมีความสุข  นักวรรณกรรมได้เคยกล่าวไว้ว่า ถ้าจะดูสังคมให้ดูวรรณกรรม และในขณะเดียวกันถ้าจะดูวรรณกรรมให้ดูสังคม 

             เรื่องการเทศน์มหาชาติหรือบุญผะเวสน์ทางภาคอีสาน  ลาวคำหอม  เคยกล่าวไว้อย่างน่าคิดว่า

             คึดฮอดบ้านบุญผะเวสน์คือสิหลาย คือสิมีกัณฑ์หลอนแห่นำลำฟ้อน
 
             ทศพรกัณฑ์ต้นมหาพนใกล้สิเที่ยง เป็นมะลึกคึกครื้นอย่าลืมอ้ายผู้คึดนำ
            
             ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวของทศชาติชาดก พระเวสสันดรชาดก ความเป็นมาและรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญผะเวสน์ตามความเชื่อของคนอีสาน วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณีของดีคนอีสาน  การเขียนและการอ่านอักษรธรรม การเทศน์แหล่ของพระจะเริ่มจากกัณฑ์มาลัยหมื่น มาลัยแสน สังกาสหลวง ทศพร หิมพานต์  ทานกัณฑ์ วันประเวส  ชูชก  จุลพน  มหาพน  กุมาร  มัทรี  สักกบรรพ  มหาราช  ฉกษัตริย์  นครกัณฑ์ ด้วยการปริวรรตเนื้อเรื่องของกัณฑ์เทศน์มหาชาติทำนองอีสานในคัมภีร์ใบลานจากอักษรธรรมเป็นอักษรไทย
       
             การมีเทศน์มหาชาติ  ทางภาคอีสานนิยมทำกันหลังฤดูทำนาเสร็จคือราวเดือนอ้าย (ตั้งแต่วันสารทไทยเป็นต้นไปบางแห่งก็ทำช่วงสงกรานต์ )ส่วนจำนวนวันที่จัดนั้น  จัดเสร็จภายใน ๑วันกับ ๑คืนตามคตินิยม ( ถือกันเป็นประเพณีว่า  ถ้าใครฟังจบทั้ง๑๓กัณฑ์ในวันเดียวย่อมได้บุญแรง  ถ้าไม่บรรลุโลกุตรธรรม  ก็จะได้พบพระศรีอริยเมตไตรย ) จัดเฉพาะกลางวันรวม ๓วันบ้าง  ทั้งนี้แล้วแต่ความสะดวกเป็นสำคัญ  เมื่อมีการเทศน์มหาชาตินิยมประดับประดาสถานที่เทศน์ให้เป็นเสมือนป่า เพื่อให้คล้ายป่าเมืองกบิลพัสดุ์  โดยจัดให้มีต้นกล้วย  ต้นไม้ประดับตามประตูวัด  และที่ธรรมาสน์เทศน์
       
             คาถาพัน  หมายถึง  คาถาภาษาบาลี ที่ยกขึ้นมานำความทั้งมีจำนวน ๑๐๐๐คาถา  เช่นในกัณฑ์ทานกัณฑ์ก็บอกไว้ตอนจบว่า " ทานกัณฑ์  นิฏฐิตํ ประดับด้วยพระคาถา ๒๐๙คาถา "
       
             คำว่าคาถา  หมายถึง  ฉันท์บทหนึ่ง มีถ้อยคำ ๔วรรค วรรคหนึ่งมี ๘คำ  คาถาหนึ่งจึงมีคำ ๓๒คำเป็นพื้น ส่วนมากจะมีการเดินคาถาพันตั้งแต่เช้ามืด ตั้งแต่เวลาตีห้าเลย เพราะกลัวว่าจะไม่จบภายในหนึ่งวัน
        
             มหาเวสสันดรชาดก  เป็นชาดกเรื่องใหญ่  กล่าวถึงพระโพธิสัตว์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรได้บำเพ็ญบารมีอย่างสูงสุด ยากเกินกว่าจะมีผู้ใดทำได้  คือให้บุตรและภรรยาแก่ผู้ที่มาขอนอกจากนั้นยังบำเพ็ญบารมีอันยิ่งใหญ่อื่นๆครบถ้วนทั้ง๑๐ประการ  จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "มหาชาติ"และการเทศน์เรื่องพระเวสสันดรก็เรียกว่าเทศน์มหาชาติมหาเวสสันดรชาดก  เป็นเรื่องสูงส่ง  แสดงให้เห็นถึงการเสียสละประโยชน์สุขส่วนตนของพระเวสสันดร  เพื่อเป็นทางนำไปสู่พระโพธิญาณ  เมื่อได้บรรลุพระโพธิญาณแล้วก็มิได้รับประโยชน์เฉพาะตน แต่ได้นำมาสั่งสอนเพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลกด้วย
        
             มหาเวสสันดรชาดก เป็นเรื่องที่คนไทยรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแต่ไม่มีหลักฐานเหลือมา  หนังสือเวสสันดรชาดก  เพิ่งมามีลายลักษณ์อักษรแน่นอนเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งขึ้นเมื่อปีขาล  จุลศักราช ๔๔คือพ.ศ. ๒๐๒๕เรียกชื่อว่า "มหาชาติ" เป็นคำคละกันมีทั้งโคลงฉันท์  กาพย์  ร่าย  มีวัตถุประสงค์แต่งขึ้นเพื่อใช้ในการสวดในวันสำคัญทางศาสนา เช่น วันเข้าพรรษา
         
             ต่อมา  ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม  โปรดให้รุจนามหาเวสสันดรชาดกขึ้นอีก  เมื่อจุลศักราช ๙๖๔คือพ.ศ. 2145 เรียกชื่อว่า "กาพย์มหาชาติ" เป็นคำประพันธ์ชนิดร่ายยาว  วัตถุประสงค์แต่งขึ้นเพื่อใช้สำหรับเทศน์หนังสือกาพย์มหาชาติให้จบในวันเดียวไม่ได้  จึงมีผู้แต่งกัณฑ์ต่างๆขึ้นใหม่  เพื่อย่นย่อให้สั้นเข้าและเทศน์จบภายในวันเดียวปรากฏว่ามีผู้แต่งมากมายหลายสำนวน  คำประพันธ์ที่ใช้ก็ใช้ร่ายยาวเป็นพื้นแต่เรียกชื่อกันใหม่ว่า"มหาชาติกลอนเทศน์มหาชาติกลอนเทศน์นี่เองที่รวมกันเข้าเป็น"ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก"คือท่านนักปราชญ์ เลือกเฟ้นเอากลอนเทศน์ที่สำนวนดีมารวมกันเข้างานนี้เริ่มมาตั้งแต่พ.ศ.๒๔๔๙และสำเร็จเรียบง่ายบริบูรณ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ในรัชกาลที่ ๕และใช้เป็นแบบเรียนสืบเนื่องกันมาจนกระทั่งปัจจุบัน

             พระพุทธองค์ตรัสเทศนาจบเรื่องพระเวสสันดรชาดกจบแล้ว  ทรงแสดงเทศนาอริยสัจ ๔และตรัสถึงการกลับชาติมาเกิดของพระองค์และบุคคลอื่นๆที่เกี่ยวข้องเช่น

             พระเจ้ากรุงสนชัย กลับชาติมาเกิดเป็น      พระเจ้าสุทโธทนะ         เป็นแบบอย่างของนักปกครองฟังเสียงส่วนมากไม่เห็นแก่พวกพ้อง

             พระนางผุสดี  กลับชาติมาเกิดเป็น      พระนางสิริมหามายา     เป็นแบบอย่างของนักปกครองฟังเสียงส่วนมากไม่เห็นแก่พวกพ้อง

             พระนางมัทรี  กลับชาติมาเกิดเป็น      พระนางพิมพายโสธรา     เป็นแม่แบบของภรรยาผู้มีลักษณะเป็นกัลยาณมิตรของสามี

             พระชาลี   กลับชาติมาเกิดเป็น      พระราหุล                   เป็นแบบอย่างของลูกที่เชื่อฟังพ่อแม่

             ชูชก   กลับชาติมาเกิดเป็น      พระเทวทัต                 เป็นแบบอย่างของคนที่ติดอยู่ในกาม

             พรานเจตบุตร  กลับชาติมาเกิดเป็น      นายฉันนะ                   เป็นแบบอย่างของคนดีแต่ขาดความเฉลียวฉลาด

             พระกัณหา   กลับชาติมาเกิดเป็น      นางอุบลวรรณา            เป็นแบบอย่างของลูกที่เชื่อฟังพ่อแม่

             พระเวสสันดร  กลับชาติมาเกิดเป็น      พระพุทธเจ้า                เป็นแบบอย่างของผู้เสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนตัว

             พระเจ้ากรุงมัทราช กลับชาติมาเกิดเป็น      พระมหานาม

             นางอมิตตดา   กลับชาติมาเกิดเป็น      นางจิญจมานวิกา          เป็นแบบอย่างของลูกที่เชื่อฟังตั้งอยู่ในโอวาทพ่อแม่ตามคติของคนยุคนั้น

             อัจจุตฤาษี   กลับชาติมาเกิดเป็น      พระสารีบุตร             เป็นแบบอย่างของนักธรรมผู้ฉลาด  แต่ขาดเฉลียว  หูเบา  เชื่อคนง่าย

             พระเวสสุกรรม  กลับชาติมาเกิดเป็น      พระโมคคัลลานะ

             พระอินทร์  กลับชาติมาเกิดเป็น      พระอนุรุท

             เทวดาที่เนรมิตเป็นพระยาราชสีห์  กลับชาติมาเกิดเป็น      พระอุบาลี

             เทวดาที่เนรมิตเป็นพระยาเสือโคร่ง  กลับชาติมาเกิดเป็น      พระสิมพลี

             เทวดาที่เนรมิตเป็นพระยาเสือเหลือง กลับชาติมาเกิดเป็น      พระจุลนาค

             เทวดาที่เนรมิตเป็นพระเวสสันดร  กลับชาติมาเกิดเป็น      พระมหากัจจายนะ

             เทพธิดาที่เนรมิตเป็นพระนางมัทรี  กลับชาติมาเกิดเป็น      นางวิสาขา

             ช้างปัจจัยนาเตนทร์  กลับชาติมาเกิดเป็น      พระมหากัสสปป

             นางช้างมารดาช้างปัจจยนาเคนทร์  กลับชาติมาเกิดเป็น      นางกีสาโคตมี

             นายนักการที่เอาสข่าวไปทูลพระเวสสันดร กลับชาติมาเกิดเป็น      พระอานนท์

             มหาทาน  กลับชาติมาเกิดเป็น      อนาถบิณทกเศรษฐี

             สหชาติโยธา   กลับชาติมาเกิดเป็น      พุทธเวไนย

             อานิสงส์ของการฟังเทศน์มหาชาติ

             การแสดงเทศนา  เรื่อง  พระเวสสันดรชาดก  ตามธรรมเนียมประเพณีที่เคยปฏิบัติกันสืบมาทั้งหมดพันพระคาถา  พระโบราณาจารย์ได้แสดงถึงอานิสงส์  การตั้งใจฟังเทศน์มหาชาติให้จบเพียงวันเดียวครบบริบูรณ์  ๑๓  กัณฑ์  เป็นเหตุให้สำเร็จความปรารถนาทุกประการดังนี้

             ๑ .เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้วจะได้พบพระศรีอาริย์พุทธเจ้าในอนาคต

             ๒.เมื่อดับขันธ์จะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์เสวยทิพย์สมบัติอันมโหฬาร

             ๓.จักไม่ตกนรกเมื่อตายไปแล้ว

             ๔.เมื่อถึงพุทธกาลพระศรีอาริย์พุทธเจ้า เทพบุตร เทพธิดา จะได้จุติลงไปเกิดเป็นมนุษย์

             ๕.ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนา  ก็จักได้บรรลุมรรคผลนิพพาน  เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา
        
             สรุปว่าเมื่อถึงเดือนสี่เป็นฤดูมีดอกไม้ตามชายทุ่ง  ชาวป่าแถวอีสานบานสะพรั่งเช่นดอกคูณ  ดอกมันปลา  ดอกลำดวน  ตามปกติฝนก็มีมาบ้างแล้วจั๊กจั่นเรไร  มีการขับร้องตามชายทุ่งและชายป่าฟังเสนาะมาก  มีการเขียนไว้ในหนังสือเทศน์มาลัยหมื่นมาลัยแสนว่า  พระผู้จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  ในอนาคตคือพระศรีอริยเมตไตย์  ใครอยากจะพบเห็นท่าน  และร่วมในศาสนาของท่านจะต้องไม่ฆ่าพ่อฆ่าแม่  ฆ่าสมณะชีพราหมณ์  ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน  และจะต้องฟังเทศน์พระเวสสันดรให้จบให้สิ้นในวันหนึ่งวันเดียว ดังนั้นปราชญ์แห่งภาคอีสานเห็นว่าเป็นเรื่องดี  จึงได้บรรจุบุญมหาชาตินี้ลงในฮีตที่ ๔  (ในเดือน ๔)  บุญนี้ยิ่งใหญ่มากเพราะกระทำกันตั้งแต่ในวังหลวงเป็นต้นจนถึงชาวบ้านและทำกันทั่วประเทศ  ไม่ว่าพิธีอื่นหรือบุญอื่นอันแตกต่างกันอย่างไร  แต่คนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาจะต้องทำบุญพระเวสนี้  ดังนั้นจึงได้ชื่อว่า  “บุญมหาชาติ”ซึ่งเป็นงานบุญที่คนอีสานรอคอยและเชื่อว่าแน่ว่าได้บุญมาก  บุญนี้แม้แต่พฤกชาติยังน้อมใจรับการฟังธรรมและร่วมพิธีแห่กัณฑ์หลอนดังบทกวีว่า

             เหลียวเห็นฟ้าสว่างแจ้ง   ก้ำฝ่ายบูรพา

             เห็นแต่วาโยพัด    หอบหนาวขึ้นมาพร้อม

             เสียงระฆังก้อง    แสงสีทองสาดสวยเด่น 

             เห็นพฤกษาพรั่งพร้อม   ขจีดั้วรับลม  

             หนาวหัวใจกายเย็นจ้อย   ลมวอยวอยเข้าเดือนยี่

             รอเดือนสามเดือนสี่เข้า   คิมหันฟ้อนรับกัณฑ์หลอน

             ในภาพนี้เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวบ้านโคกสะแกลาด - คลองมะกอก อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ยึดถือประเพณีการแห่ดอกไม้ด้วยช้างถือว่าเป็นการนำความผาสุกเข้าสู่หมู่บ้านเพื่อขับไล่ความแห้งแล้ง เป็นการเชื่อมโยงมาจากท้องเรื่องพระเวสสันดร ซึ่งสะท้อนภาพให้เห็นถึงความสามัคคีของชุมชนที่มีวัฒนธรรมเหมือนกัน สิ่งที่จะตามมาก็คือความปรองดองสามัคคีที่นับวันจะหายากเต็มที