พระเครื่อง

'บทเพลงลูกทุ่งหมอลำ'สะท้อนภาพสังคมไทยปัจจุบัน

'บทเพลงลูกทุ่งหมอลำ'สะท้อนภาพสังคมไทยปัจจุบัน

15 มี.ค. 2557

'บทเพลงลูกทุ่งหมอลำ'สะท้อนภาพสังคมไทยปัจจุบัน : ช.ศรีนอกรายงาน

             ตามหลักการของพระพุทธศาสนาหาอยู่ที่วรรณะ  ชาติ ตระกูล ไม่ หากแต่อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติเป็นสำคัญ ดังพุทธพจน์ว่า

             “ดูกรพราหมณ์  เราจะเรียกคนว่าประเสริฐ  เพราะความเป็นผู้เกิดในตระกูลที่สูงก็หาไม่  เราจะเรียกคนว่าต่ำทรามเพราะความเป็นผู้เกิดในตระกูลต่ำก็หาไม่  เราจะเรียกคนว่าประเสริฐเพราะความเป็นผู้มีวรรณะใหญ่โตก็หาไม่  เราจะเรียกคนว่าต่ำทรามเพราะความเป็นผู้มีวรรณะต่ำก็หาไม่  เราจะเรียกคนว่าประเสริฐเพราะความเป็นผู้มีโภคะมากมายก็หาไม่  เราจะเรียกคนว่าต่ำทรามเพราะความเป็นผู้มีโภคะน้อยก็หาไม่แท้จริงบุคคลบางคนแม้เกิดในตระกูลสูง ก็ยังเป็นผู้ชอบฆ่าฟัน ลักษณ์ทรัพย์ประพฤติผิดในกาม...เป็นมิฉาทิฏฐิ”    (เอสุการี  ม.ม.,(บาลี) ๑๓/๔๓๗-๔๓๙/๔๒๕-๔๒๗.)

             และ“บุคคลไมเป็นคนถ่อยเพราะชาติไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติแต่เป็นคนถ่อยเพราะการกระทำ เป็นพราหมณ์เพราะการกระทำ” (   วสลสูตร  ขุ.สุ.,(บาลี) ๒๕/๑๒๖/๓๖๐.)

             การจะกำหนดว่าใครเป็นอะไร  มิใช่เพราะพรหมลิขิต แต่เป็นเพราะข้อปฏิบัติของบุคคลนั้นเป็นเครื่องกำหนด ดังข้อว่า
“ดูกรวาเสฏฐะ  ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดอาศัยโครักขกรรมเลี้ยงชีพ  ผู้นั้นเป็นชาวนา มิใช่พราหมณ์ ผู้ใดเลี้ยงชีพด้วยศิลปะต่าง ๆ ผู้นั้นเป็นศิลปิน  มิใช่พราหมณ์...ฯลฯ...ผู้ใดปกครองบ้านเมือง ผู้นั้นเป็นพระราชามิใช่พราหมณ์”

             “อันนามและโคตรที่กำหนดตั้งกันไว้นี้เป็นแต่สักว่าโวหารในโลก...   แต่บุคคลจะเป็นพราหมณ์เพราะชาติก็หาไม่  จะมิใช่พราหมณ์เพราะชาติก็หาไม่  จะชื่อว่าเป็นพราหมณ์ก็เพราะกรรม ไม่ใช่พราหมณ์ก็เพราะกรรม เป็นชาวนาก็เพราะกรรม...เป็นราชาก็เพราะกรรม”  (  วสลสูตร  ขุ.สุ.,(บาลี) ๒๕/๑๒๖/๓๖๐.)

             “วรรณะ   ๔  เหล่านี้คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชในพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย นับว่าเป็นศากยบุตรทั้งสิ้น”    (ปหาราทสูจน  อง.อฏฐก.,(บาลี) ๒๓/๑๙/๑๑๖.)

             เราคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าประชากรส่วนใหญ่ในชนบทไทยนั้นประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม เรื่องราวที่เป็นหัวใจของเพลงลูกทุ่งทุกยุคทุกสมัยก็คือ เรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นภาพชีวิตของชาวนาในยุคเริ่มต้นของเพลงลูกทุ่ง   (จินตนา  ดำรงเลิศ, เพลงลูกทุ่งบทกวีแห่งชนบท,  วารสารธรรมศาสตร์, หน้า ๑๔๘. )     จนถึงปัจจุบันนี้ชาวนาถูกเอาเปรียบและดูถูกจากพ่อค้านายทุนโดยรัฐไม่เคยเหลียวแลอย่างจริงจัง  แรงกดดันในเรื่องนี้กวีระบายออกมาเป็นบทเพลง “เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความยากไร้ด้วยศักดิ์ศรีถูกหยามหมิ่นจากพวกเศรษฐี”  เพลงลูกทุ่งที่กล่าวถึงชาวนา  ส่วนมากจะนำเรื่องจริงออกมาพูด”

             “กลุ้มใจจริงจริง    รักผู้หญิงหญิงก็ไม่สน 
เรามันคนจน     แม่หน้ามนจึงไม่มอง 
เราคนจนไร้เงินไร้เงินไร้ทอง สาวเขาไม่มอง เพราะเราจนกระเป๋าแบน
คนรวยรวย   เขาคงซื้อน้องด้วยเงินแสน 
เรามันคนจน     คงไม่ได้น้องเป็นแฟน
คนมีเงินเขาขี่รถเบนซ์  รถแลนด์เราขี้หลังควายตามท้องนามันน่าขำ
ฝนตกมาต้องไถนา  ดำนาหน้าดำ
งานจะหนักไม่หวั่น    ทำทั้งวันแต่เช้ายันค่ำ 
ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน  ทำเรื่อยไปไม่บ่นสักคำ 
โธ่เอ๋ยเวรกรรม  ไม่ทำก็ไม่มีกิน
โอ้โชคชะตา   วาสนาเราเกิดมาจน 
คิดขึ้นมาน้ำตามันไหลริน   จะมีสาวใดสนใจรักไม่สูญสิ้น 
ขอเป็นทาสเธอ   จะรักเธอเพียงคนเดียว”
(คนขี่หลังควาย   ดาว  บ้านดอน)

             “มองทุ่งนาน้ำตาพี่รินไหล   อีสานแล้งดินระแหงจะทำยังไง
ข้าวไม่มีจะกิน   น้ำตาไหลรินเฮ็ดจังใด๋
ฝนก็ไม่ตกลงมา   โอ้เทวดาช่วยหน่อยได้ไหม
  หากเทวดาไม่ช่วยมนุษย์  คงม้วยทั่วผืนดินไทย 
ที่อื่นก็ตกเรื่อยไป  โอ๊ยที่อื่นก็ตกเรื่อยไป
อีสานทำไม   ไม่ตกฝนจ๋า....” 
(บ่มีข้าวกิน : ดาว  บ้านดอน)

             เพลงลูกทุ่งอีสานที่สะท้อนภาพทางภาคอีสาน  ส่วนมากจะกล่าวถึงท้องทุ่งอีสาน มีหนุ่มสาว มีวัด สะท้อนให้เห็นถึงประเพณีที่ดีงามของชนบท ดังบทเพลงว่า

             “ยามเดือนหกฝนตกลัน            ฮู้ว่าเป็นยามฝน
ชาวบ้านนอเตรียมท่า  เอาข้าวปลูกลงนา
พร้อมเทิงไถฮุดปิ้น    กำจัดหญ้าให้เน่าตาย
ละเบิ่งข้าวปลูกแช่ไว้  มันออกหน่อจัดเตรียมการ
คาดไถดีพอประมาณ    จั่งว่านยาลงแปลงกล้า
นาเอ๋ยนา   ถึงคราวหน้าฝนทุกปี
ฝูงชนย่อมรู้ดี    หน้าที่ต้องทำยามฝน 
ใส่ฝุ่นใส่ปุ๋ยขยัน  หมั่นทำทุกคน 
รักอาชีพชาวนา    หน้าที่ของตนทำไปไม่บ่น
เปียกฝนอดทนสู้เอา    กล้าหว่านเอาไว้งอกงามสมใจ 
พวกเราถอนไปปักดำ  เรียกเป็นต้นข้าว 
ชาวนาหน้าฝน  เหนื่อยกายไม่เบา
ก่อนมาเป็นข้าว    พวกเราทุ่มแรงตรากตรำ
ปักดำแล้วฟังเสียงแคนแซว เฮาได้พักผ่อน  นอนนาขึ้นบ้าน 
เก็บคาดเสี่ยงไถ        จากนั้นได้พักผ่อนนอนเต็ม 
ข้าวเขียวงามพองฝนรินย้อย   คนทยอยหาปลาพายข่อง
ถือเบ็ดถือมองเดินย่องออกทุ่ง   งอมงอมค่ำค่อยอยู่ทางทุ่งท่งนา
กลางพรรษาหน้าฝน  ทุกคนเสร็จงาน
วันพระพากันเข้าสู่วัดวาอาราม หนุ่มสาวคนแก่นั่งกันเรียงงาม 
นั่งฟังคำสั่งสอนของพุทธองค์   อีกไม่นานพรรษาครบสิ้นสามเดือน
ต้นข้าวก็เตือนตั้งครรภ์   ออกรวงหางหงส์
ฝนฟ้าสั่งลา   ฝูงปลาหลั่งลง  
สู่จุดประสงค์ที่ต่ำ  น้ำคลองหนองบึง
ลมตึงมาเตือนปลายไม้ ๆ    คนทั้งหลายเอิ้นใกล้หน้าเกี่ยว
หนุ่มสาวเคยกล่อมเกี้ยว   หมายหมั่นแต่งแน่นอน 
แดดอ่อนอ่อน   ลมเย็นส่วยส่วย
เมิดฝนอวยยามหนาวมาต่อ   ชาวนาเตรียมตัว ถือเคียวพร้อม.”
(ชาวนาหน้าฝน :  ช.  คำชะอี)

             บทเพลงที่สะท้อนให้เห็นความบริสุทธิ์ของชนบท  ความสุขและศรัทธาของชาวชนบท  เช่น เพลงอดีตรักทุ่งอีสานของสุรินทร์  ภาคศิริ

             “ทุ่งอีสานดินแห้ง  หน้าแล้งผ่านผัน
แว่วเสียงจักจั่นรำพัน  ร้องเพลงระงม 
ดอกผักติ้วบานเป็นทิว  กลีบขาวชวนชม
สีนวลเย็นตาท้าลม    น่าชมทั้งคืนทั้งวัน
ทุ่งแห่งนี้ใจพี่ดัง  เหมือนถูกมนต์ 
พร่ำสัญญาเพ้อบ่น    กับคนรักเคยสัมพันธ์ 
แดดกลางทุ่ง   เราต้อนควายอาบน้ำเคียงกัน 
นั่งฟังเสียงจักจั่น  เมื่อดอกติ้วบานลมพัดพลิ้วโชย
โอ้...ละเนอ...   ละเมอถึงวันที่ผ่าน 
จวบดอกจานบานแล้วก็โรย   เสียงจักจั่นรำพัน
ร้องเพลงแหบโหย    เหมือนใจพี่ร้องโอดโอย  ครวญหาแก้วใจ
เจ้าจากไกล   หนใดบ่หวนกลับคืน 
ป่านนี้คงเป็นอื่น    ชื่นชมแคว้นแดนวิไล 
ปล่อยให้ทุ่งแดนอีสาน  เงียบเหงาอาลัย 
เหลือเพียงพี่ยืนร้องไห้   เหม่อมองดอกติ้วปลิวผล็อยลงดิน”
(อดีตรักทุ่งอีสาน  :สุรินทร์  ภาคศิริ)

              “ฟังเสียงฟ้าฮ้องโหย่น เสียงโย้นโย้นกะเลยห่าง
อีสานหนอมันสิฮ้าง  คอยท่าตั้งต่อฝน
คำที่อ้ายสัญญาเจ้า    ลืมแล้วหนาแม่หน้ามนมน
นี่ละหนอใจ   คนเปลี่ยนเวียนวนไปกับฝนแล้ง
   ไปละหนอหวั่งหวั่ง  บ่เหลียวหลังมาสั่งกัน 
หนุ่มสาวเขาพลัดพรากบ้าน ปล่อยผู้เฒ่าอยู่แล่งแล่ง 
คอยให้เจ้าหวนมา  จวนออกพรรษาสิเข้าหน้าแล้ง 
โอ้แม่สาวคำแพง  แม่แก้มแดงแดงอ้ายคอยน้องอยู่
ทิ้งบ้านไปอยู่ใส    คิดฮอดอ้ายจักมื้อละหน่อย 
คึดน้อยน้อยจักมื้อละเทือ   ใจอ้ายบ่เค็มดั่งเกลือ
หากบ่เชื่อเปิดให้ดู    พอย่างเข้าหน้าหนาว 
หนุ่มชวนสาวแต่งงานหลายคู่   อ้ายยังคอยน้องอยู่เฒ่าโกโจ
ค้ำบ้านอยู่ผู้เดียว  คอยน้องคืนบ้านเก่า
อีสานเฮากลับมาก่อน    ไผสิเป็นคู่ซ้อนกินข้าวเจ้าอ่อนเขียว 
ยามเจ้าเว้าผู้ใด๋  ให้คึดฮอดอ้ายเมื่อยามไปเทียว 
โอ้แม่ดอกกระเจียว    เกี่ยวข้าวแล้วให้กลับมาเด้ออุ่น”
(คอยน้องกลับอีสาน   :  สุรินทร์  ภาคศิริ)


การนำเหตุการณ์ปัจจุบันมาประยุกต์ 

             ในยุคปัจจุบันถือว่าเป็นสมัยโลกาภิวัตน์   กวีมักจะแต่งเพลงโดยนำเอาเหตุการณ์ปัจจุบันเข้ามาผสมผสานเข้ากับเนื้อเพลงเพื่อจะให้ทันกับเรื่องราวปัจจุบัน  หรือเพื่อจะสร้างสรรค์สังคมที่กำลังขาดคุณธรรมเข้าไปทุกขณะ  ดังนั้นในเรื่องของการรักษาธรรมชาติคือป่า  เป็นเหตุจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายจักต้องช่วยกัน  บทเพลงลูกทุ่งอีสานในแนวรักษาป่าก็มีเหมือนกัน  แต่ถ้าจะอุปมาให้เห็นถึงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนานั้น  พระพุทธเจ้าตรัสถึงป่าเพื่อเป็นเชิงเปรียบเทียบกับการปฏิบัติธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

             “เธอทั้งหลายจงตัดป่าดุจกิเลส   แต่อย่าตัดต้นไม้  เพราะภัยย่อมเกิดแต่กิเลสซึ่งเป็นดุจป่า  ภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายจงตัดกิเลสดุจป่าและดุจหมู่ไม้ที่เกิดในป่า  เพื่อจะได้เป็นผู้ไม่มีกิเลสดุจป่าอีกต่อไป” (ขุ.ชา.,(บาลี) ๒๕/๒๘๓/๖๕.)

             พระพุทธโฆษาจารย์  นักปราชญ์ชาวอินเดีย  ได้อธิบายพระพุทธพจน์ส่วนนี้ไว้ว่า  “คำว่าป่าในที่นี้หมายถึงต้นไม้ ซึ่งเปรียบเหมือนราคะโทสะ  โมหะ  เป็นรากเหง้าให้เกิดความชั่วร้ายนานัปการ  จนกลายเป็นพัฒนาการ  อันเหนียวแน่นที่ตรึงสัตว์ให้ติดอยู่ในภพ  ส่วนคำว่าหมู่ไม้  หมายถึงต้นไม้เล็ก ๆ ที่ติดอยู่ในป่า  ซึ่งเปรียบเหมือนกิเลสที่ให้ผลในปัจจุบัน” (ธัมมปทัฏฐกถา  ฉบับมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, ๗/๖๘-๖๙.)

             ในบทเพลงลูกทุ่งกล่าวถึงการตัดไม้ทำลายป่าซึ่งเป็นธรรมชาติที่ต้องอนุรักษ์  จนเดี๋ยวนี้กลายเป็นสิ่งที่ชาวโลกจักต้องหวงแหน  เพราะเดี๋ยวนี้ธรรมชาติได้ขาดแคลนไป  ดังบทเพลงว่า

             “แม่น้ำเป็นบ้านของปลา    สกุณาอาศัยต้นไม้ 
บ้านของคน   คือพื้นดินถิ่นงามวิไล
แต่ทำไม   คนเราไม่เฝ้าถนอม
ถนอมบ้านของนก  คือป่าหญ้าทำเป็นรัง 
คนก็ยังรังแกหมู่นกทำรัง    แตกกระเจิงเร่ร่อนบินจรเรื่อยไป
เดี๋ยวนี้ไพรเปล่า   แปนแสนเวทนา ๆ
แม่น้ำเป็นบ้านของปลา    สกุณาอาศัยต้นไม้ 
บ้านของคนคือพื้นดิน  ถิ่นงามวิไล 
แต่ทำไม   คนเราไม่เฝ้าถนอม
ถนอมป่าหมดไป   ฝนไม่ตกตามฤดู 
น้ำตาพรู    ชาวนาตั้งท่ารอฝน 
ธรรมชาติหมดไป  ด้วยมือของคน 
เดี๋ยวนี้ฝนแห้งแล้ง  แกล้งชาวไร่นา
แม่น้ำเป็นบ้านของปลา    สกุณาอาศัยต้นไม้
บ้านของคนคือพื้นดิน  ถิ่นงามวิไล
แต่ทำไม   คนเราไม่เฝ้าถนอม 
ขอวิงวอน   ช่วยกันหมั่นรณรงค์ 
อย่าคดโกง   กินป่าอย่างหน้าตาใส 
ให้น้ำฟ้าป่าดินอุดมไฉไล   โปรดร่วมใจรักษาป่าเถิดหนาพวกเรา ๆ”
(รักษาป่า   :   เฉลิมพล  มาลาคำ)

             เพลงลูกทุ่งราวกับว่าได้บันทึกเหตุการณ์ในอดีตให้ชนรุ่นหลังได้รำลึกถึง  เพื่อเป็นการย้ำความทรงจำ  ดังพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  “ลูกทุ่งกับเพลงไทย” ว่า เพลงบันทึกเหตุการณ์ที่ยุคปัจจุบันไม่มีให้เห็นแล้ว  แต่ข้าพเจ้ายังติดใจในสำนวนเพลงไม่หายก็คือ  เพลงแม่ค้าตาคม  ของศรคีรี  ศรีประจวบ  ซึ่งเดี๋ยวนี้เรือด่วนบ้านแพนดูเหมือนจะเลิกไปแล้ว  แต่เพลงนี้บันทึกเรื่องเก่าไว้ดีทีเดียว  อีกเพลงหนึ่งแสดงถึงความคิดเก่า ๆ เรื่องตัดไม้ทำลายป่า  ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่เป็นที่ยอมรับไปแล้ว  แต่ก็มีบันทึกในเพลงลูกทุ่ง ต.ช.ด. ว่า

             “..หากทางการไม่เรียกตัวพี่กลับ  มีเสียมสักหอบมีจอบสักหาบ  จะถางให้ราบหมดดอย แล้วปลูกถั่วงาอยู่กับขวัญตาเนื้อกลอย  จะถางดงป่าดอย สร้างวิมานน้อยชายแดน...” (ต.ช.ด.ขอร้อง  :  ขับร้องโดย    เพชร  โพธาราม)

             ในเนื้อเพลงของลูกทุ่งอีสาน ก็กล่าวถึงในเรื่องนี้ เช่น

              “...สุดซึ้งในน้ำพระทัย  ยากจะหาเปรียบได้สุดพรรณนา
นายกบิ๊กจิ๋วก็แสนดี  ทำตามบารมีที่ท่านรับสั่งมา
ที่ลุ่มมีคลองที่เนินมีป่า  เนื่องจากเจ้าฟ้าท่านมาโปรดปราน
ทุกหมู่บ้านเราอีสานเขียวทั่ว แพทย์ถ่าปัวผู้ไข้มีใช้ทุกตำบล
ไหลโจ้นโจ้นน้ำส่งคลองมี บ่ต้องรอฝนดีคือเก่าหลังเฮาแล้ว
   (อีสานเขียว : เฉลิมพล  มาลาคำ)

             เพราะป่าไม้สร้างความชุ่มชื้น ทำให้ฝนตก และเมื่อฝนตกป่าไม้จะอุ้มน้ำไว้ไม่ให้น้ำท่วมฉับพลันเป็นกลไกทางธรรมชาติที่มีความสัมพันธ์กัน  ถ้าขาดป่า ฝนก็จะแล้ง  ถ้าฝนตกลงมาน้ำก็ท่วม  ถ้าไม่มีป่าสัตว์ป่าก็อยู่ไม่ได้ เรียกว่าสัมพันธ์กันตลอด ภาษาพระท่านเรียกว่า  “ปฏิจจสมุปบาท”  คือทุกสิ่งทุกอย่างอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ไม่มีสิ่งใดอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว  เมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนั้นก็มี  เมื่อสิ่งนี้ดับสิ่งนั้นก็ดับ นี้คือคำสอนเรื่องความสัมพันธ์กันของสิ่งทั้งหลาย  ท่านเรียกว่า  ปฏิจจสมุปบาทหรืออิทัปปัจจยตา

             คนไทยโบราณได้เข้าใจเรื่องนี้จึงนำเอามากล่าวเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของธรรมชาติว่า  “น้ำพึ่งเรือ  เสือพึ่งป่า  ข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย” ในทำนองกลับกัน นายก็พึ่งบ่าว  เจ้าก็พึ่งข้า ป่าก็พึ่งเสือ เรือก็พึ่งน้ำ  เสือพึ่งป่าป่าพึ่งเสือนั้นเขาก็เอาไปพูดต่อว่า “เสือพีเพราะป่าปก  ป่ารกเพราะเสือยัง ดินดีเพราะหญ้าบัง หญ้าบังเพราะดินดี” (พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร  ธมมจิตโต). ธรรมะกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม   พุทธจักร, ปีที่ ๔๕ ฉบับที่ ๑๑ (พฤศจิกายน  ๒๕๓๔) หน้า ๑๘.)

             ในทางพระพุทธศาสนาการปฏิบัติธรรมที่จะให้ได้ผลอย่างแท้จริงจำเป็นต้องอาศัยสถานที่อันสงบสงัดและร่มรื่นโดยธรรมชาติสถานที่ดังกล่าวนี้จะแสวงหาได้ก็เพียงเฉพาะในป่าเท่านั้น  เมื่อเป็นเช่นนี้  ภิกษุในสมัยพุทธกาลจึงเดินทางไปปฏิบัติธรรมในป่า  จนกระทั่งได้บรรลุมรรคผลมาแล้วเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น การแต่งเพลงในปัจจุบันนี้กวีจึงนำเอาเรื่องป่ามารณรงค์เพราะเป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติไปในตัว แม้กวีจะไม่คิดลึกซึ้งไปถึงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา  แต่บทเพลงเหล่านั้นก็ได้ถ่ายทอดออกมาสอดคล้องกับหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
  วิถีชีวิตของสังคมชนบท

             ครูเพลงมักจะนำเอาเรื่องจริงของสังคมชนบทออกมาตีแผ่เพื่อเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตของแต่ละคน  แม้จะนำเอาเรื่องจริงมาแต่งเป็นบทเพลง  แต่กวีก็ไม่ทิ้งหลักของศาสนา  มักจะอ้างเอาเรื่องบุญบาปขึ้นมากล่าว เช่นบทเพลงที่ฝ่ายหญิงไม่ค่อยรักษาสัจจะมีแต่จะหาทางหลอกลวง ดังบท เพลงว่า

             “......โอยนอนาง  เป็นหยังเอ้ยคือเสยปานหมั่ง
ความหลังแต่เค้า  เบียงเจ้าบ่แนม
หน้ายิ้มแย้ม  แต่ใจอุ่นแสนดำ
เธอหาญทำหาญถอง หย่องชายหงายท้อง
คอนเซ็บน้อง  นั่นสำรวยสวยเฉียวๆ
ปากเธอหวานก้นเปรี้ยว ผู้เที่ยวฆ่าแต่ชาย
หลอกลวงอ้าย  ให้พี่หลงเหลิง
เธอถวายพระเพลิง บ่าวพี่ชายทางอ้อม
ยีย่ำพร้อม  บ่กรุณาลักซ่ำๆ
เธอเป็นหลานซัดดำ หรือแม่แก้วแก่นไท้
คือทำได้สู่แนว  ............................
ปากเธอปราศรัย  แต่ใจเธอซิเชือดคอนิ่ม ๆ
ได้ทีก็แทงก็จิ้ม  หน้าเธอติ๋มๆแต่โหดจัง
กล้าทำกับพี่หลายยอย่าง เจ้าลืมความหลังที่ผ่านมา
..................................... ......................................”
(ปากปราศรัยใจจิ้มคอ : ดอย     อินทนนท์)

             ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  สาวเหนือมักจะถูกหลอกมาค้าประเวณีในเมืองหลวง  จนสาวเหนือมักจะถูกมองว่าเป็นคนใจง่าย  แต่ในขณะเดียวกัน บางคนก็ยินดีทำงานในการเป็นหญิงบริการเพื่อจะได้หาเงินไปช่วยจุนเจือทางบ้านในสภาพที่ปลงตกว่าตัวเองด้อยการศึกษา หลายๆ คนก็ปลงตก  ยอมรับว่าตนเองมีกรรมเพราะไปเชื่อคำคน  จากความเป็นจริงเช่นนี้กวีจึงนำมาแต่งเป็นเพลงลูกทุ่ง  ดังบทเพลงว่า

             “...หากว่าบุญหนุนส่ง   ฟ้าดินไม่แกล้งให้หม่น 
หากต้องมีใครสักคน    ที่พรหมลิขิตให้รอ
ที่จะเดินร่วมทางวันนี้  คนดีดีที่ชีวิตสั่งว่ายังต้องรอ
ชาตินี้เป็นเธอก็พอ    คือคำแอบขอของใจจนจน.....”
(คำแอบขอของใจจนจน : วสุ  ห้าวหาญ)
   
             พระผู้มีพระภาคเจ้าเคยตรัสเรื่องกรรมกับสุภมาณพโตเทยยบุตรว่า  “ดูกรมาณพ  สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน  เป็นทายาทแห่งกรรม  มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผาพันธุ์  มีกรรมเป็นที่พึงอาศัย  กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้ (ม.อุ. ๑๔/๒๘๙/๒๖๒.)  

             ดังนั้นสังคมไทยเชื่อในเรื่องกรรม บทเพลงลูกทุ่งหมอลำมักจะพูดในเรื่องชิงหักสวาทแต่สุดท้ายแล้วจะลงท้ายด้วยเรื่องกรรมเสมอ  แม้นจะไม่เป็นวิทยาศาสตร์แต่ก็ทำให้สังคมไทยอยู่กันมาแบบยอมรับในเรื่องของกรรมเวร...ปัจจุบันสังคมไทยสำนึกในเรื่องนี้หรือไม่