พระเครื่อง

การควบคุมฝูงชนตามแนว'สันติวิธี'

การควบคุมฝูงชนตามแนว'สันติวิธี'

26 ก.พ. 2557

การใช้โยนิโสมนสิการกับการควบคุมฝูงชนตามแนวสันติวิธี : ด.ต.สุรชัย แก้วคูณ นิสิตปริญญาเอก สาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ หลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต มจร ราย

              ท่ามกลางกระแสประชาธิปไตยกำลังเบ่งบานและสับสน ผู้คนกำลังปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันโดยที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนจะเป็นเครื่องมือของฝ่ายใด หากแต่ว่าพวกเขาอาจจะลังเลในความรักชาติจนจะกลายเป็นคลั่งชาติในสายตาของผู้คนที่เห็นต่าง ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ได้เป็นกระแสสากลของทุกมุมโลกไปแล้ว

              สถานการณ์การเรียกร้อง ชุมนุม ก็มีลักษณะแตกต่างไปจากเดิม เข้าสู่ยุคการสื่อสารไร้พรมแดน มีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทุกภาคส่วนในสังคมไทย และสังคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ชุมนุมประท้วง ขับไล่รัฐบาลที่เกิดขึ้นอดีตต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน กระแสสังคมได้มีการเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการควบคุมฝูงชนตามแบบมาตรฐานสากล ตามหลักการของระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ให้เกิดการนองเลือด ไม่ให้เกิดการประทะกันระหว่าง ผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ประเด็นที่น่าคิดก็คือประเทศไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา แต่ทำไมถึงมีการขัดแย้งและจบลงด้วยการฆ่ากัน

              ปัจจุบันกระแสประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน ได้เป็นกระแสสากลของทุกมุมโลกไปแล้ว สถานการณ์การเรียกร้อง ชุมนุม ก็มีลักษณะแตกต่างไปจากเดิม เข้าสู่ยุคการสื่อสารไร้พรมแดน มีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทุกภาคส่วนในสังคมไทย และสังคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ชุมนุมประท้วง ขับไล่รัฐบาลที่เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2548 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน กระแสสังคมได้มีการเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการควบคุมฝูงชนตามแบบมาตรฐานสากล ตามหลักการของระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ให้เกิดการนองเลือด ไม่ให้เกิดการประทะกันระหว่าง ผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

              จากปัญหาการชุมนุมเรียกร้องทางการเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดเป็นแผนพัฒนา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2553 ซึ่งสาระสำคัญของแผนนี้ได้กำหนดยุทธศาสตร์เป้าประสงค์ และกลยุทธ์การควบคุมฝูงชน การจัดระเบียบสังคมและควบคุมสถานการณ์ รวมทั้งการแสวงหาความร่วมมือจากประชาชนเพื่อสนับสนุนการป้องกันความรุนแรงของมวลชน สาเหตุเบื้องต้นของการรวมตัวของฝูงชนหรือการชุมนุมเรียกร้องต่าง ๆ

              เมื่อทราบเบาะแสว่าจะมีการชุมนุมของประชาชน จะมีการก่อความวุ่นวายหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องป้องกันเพื่อไม่ให้ลุกลามไปถึงการก่อการจลาจล เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการสืบสวนหาสาเหตุทันที ว่าการชุมนุมของประชาชนในครั้งนี้มีสาเหตุมาจากอะไรเพื่อที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สามารถเข้าระงับเหตุเป็นเบื้องต้นเสียก่อน โดยการแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าเป็นพื้นฐานเบื้องต้นเสียก่อนโดยการเข้าไปเจรจาพูดคุยให้ประชาชนได้จัดตัวแทนของตนเข้าพบปะกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของรัฐ หรือผู้แทนรัฐที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจ ซึ่งในบางครั้งในการปฏิบัติอาจมีการตกลงเงื่อนไขบางประการ ซึ่งอาจทำให้เป็นที่พอใจของประชาชนในเบื้องต้น แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถดำเนินการตามที่ประชาชนต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลใดก็ตาม เหตุการณ์อาจขยายวงวุ่นวายและอาจก่อให้เกิดการจลาจลที่รุนแรงได้

              วิธีการที่จะกำกับควบคุมฝูงชนนั้นเป็นสิ่งที่จะคิดหาวิธีสร้างรูปแบบแนวทางได้ยากอย่างยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงบทบาทความเป็นผู้นำในการระงับยับยั้งไม่ให้การชุมนุมของกลุ่มชนที่เรียกกันว่า (มอบ หรือ Mob) นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยากอย่างยิ่งเช่นกัน แต่ด้วยพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความสันติภาพและเหตุผล ย่อมสามารถนำหลักการที่มีเหตุผลมาประยุกต์ใช้ในการกำกับดูแลและควบคุมฝูงชนที่เกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ ในสังคมปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมทางการเมือง การชุมเรียกร้องความเป็นธรรมในเรื่องต่าง ๆ ในองค์กรต่าง ๆ ได้ คำถามมีอยู่ว่าการควบคุมฝูงชนตามแนวสันติวิธีเป็นอย่างไร

              1. ฝูงชนคืออะไร?

              คำว่า ฝูงชน(crowd) ในที่นี้ หมายถึงคนจำนวนหนึ่งซึ่งมารวมตัวกันในเวลาใดเวลาหนึ่ง และมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน มีความตั้งใจร่วมกัน มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปลดเปลี้องความทุกข์ร้อนให้พวกเขา

              สำหรับคำว่า ฝูงชนวุ่นวาย (mob) หมายถึง การรวมตัวกันของผู้คนอย่างไร้ระเบียบ ซึ่งในทางพฤตินัยมักเกิดขึ้นเพราะความกริ้วโกรธหรือไม่พึงพอใจ และบางครั้งก็เป็นส่วนหนึ่งของการจลาจล อันจะเรียกว่าฝูงชนวุ่นวายได้นั้น มักถือเอาจำนวนผู้รวมตัวกันว่ามากกว่าสิบคนขึ้นไป

              ในทางสังคมศาสตร์ คำว่า "ฝูงชุนวุ่นวาย" นั้นมีความหมายแค่เพียงตามตัวอักษรเช่นนั้นเท่านั้น แต่คนทั่วไปมักเข้าใจว่าเป็นการรวมตัวกันเพื่อประท้วง เรียกร้อง หรือกระทำการใด ๆ อันไม่ค่อยสงบเรียบร้อยนักเป็นต้น คำว่า "mob" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากศัพท์ภาษาละตินว่า "mobile vulgus" หมายความว่า ฝูงชนวุ่นวาย

              2. รูปแบบและพฤติกรรมการรวมตัวของฝูงชนเป็นอย่างไร?

              1. ผู้ดูหรือผู้ฟัง (Audience) จะมีการดึงดูดอารมณ์ให้เคลื่อนไหว เร้าอารมณ์รุนแรงมากขึ้น เช่น ปรบมือ การโห่ร้อง 2. ฝูงชนบ้าคลั่ง (Mob) เป็นฝูงชนที่ถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์ให้แสดงออกการกระทำที่รุนแรง มีการระบาดอารมณ์ คิดมุ่งทำร้าย ระบายอารมณ์เครียดแค้น แบ่งได้หลายลักษณะ เช่น แบบLynching Mob ได้แก่ฝูงชนที่ก้าวร้าวนั้นทำร้ายชีวิต แบ่งเป็น 2 แบบคือ Bonrlon เกิดในสหรัฐอเมริกาทางใต้ เป็นการระบายอารมณ์จากพวกผิวขาวยากจนไปยังพวกผิวดำ และแบบProletorian เป็นการกระทำที่เกิดจากความอคติระหว่างผิว

              3. การก่อการจลาจล (Riot) เป็นฝูงชนที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวเชิงทำลาย ท้าทาย หรือเรียกร้องบางสิ่งบางอย่าง ไม่มีจุดหมายแน่นอน ได้แก่ การจลาจลด้านชาตินิยม ศาสนา 4. Orgy เป็นฝูงชนที่มีความสนุกสนานจนเกิดการละเมิดทางศีลธรรมจรรยา บ้าคลั่งก้าวร้าว 5. ฝูงชนแตกตื่น (Panic) ลักษณะเกิดขึ้นทันที ในสถานการณ์ที่คับขัน เช่น ไฟฟ้าดับระเบิด เป็นต้น ในสถานการณ์แบบฝูงชนแตกตื่นนี้ ผู้นำจะมีความสำคัญมากและที่จะต้องกระทำ คือ 1. ควบคุมฝูงชนให้อยู่ในระเบียบ วินัย เพื่อหาทางแก้ไข 2. ขจัดความไม่มั่นใจในสถานการณ์ 3. ชี้ให้เห็นทางหนีที่ปลอดภัย

              เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายต้องเข้าใจถึงการพัฒนาการรวมตัวกันของคนเป็นฝูงชน หรือมีการก่อเหตุวุ่นวาย มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อที่จะเข้าใจขั้นตอนความเป็นไป ของการที่คนมารวมตัวกันเพื่อกระทำกิจกรรม หรือเรียกร้องโดยสามารถแบ่งลักษณะการพัฒนาการของฝูงชนตามลำดับได้ดังนี้

              พฤติกรรมร่วมที่เป็นการรวมตัวของฝูงชนที่มีเป้าหมาย มีแบบแผนที่มีอิทธิพลต่อสังคม อาจสร้างความวุ่นวาย รูปแบบพฤติกรรมร่วมที่มีรากฐานมาจากการระบาดทางอารมณ์จะแสดงออกใน 2 ลักษณะคือ 1. รูปแบบถาวร รุนแรง ตื่นเต้น ได้แก่ 1.1 ฝูงชนที่บ้าคลั่ง 1.2 การจลาจล 1.3 ฝูงชนที่แตกตื่น ตกใจ 1.4 ฝูงชนที่ตื่นเต้น สนุกสนาน 2. รูปแบบสงบ ได้แก่ 2.1 การเห่อ 2.2 การเห่อตามสมัย 2.3 การคลั่งไคล้ 2.4 การบ้าคลั่ง

              ลักษณะที่สำคัญของการระบาดทางอารมณ์คือ การที่ฝูงชนได้รับ หรืออยู่ในสภาวะที่มีลักษณะ ดังนี้ 1. ถูกชักชวนหรือแนะนำได้ง่าย คือ เมื่อคนเข้าไปอยู่ในฝูงชนที่มีสภาวะวุ่นวายสับสน คนจะขาดความมั่นใจในสถานภาพของตนเอง มีแนวโน้มจะปฏิบัติตามคนในกลุ่มชนนั้น เพราะมีความตึงเครียดทางอารมณ์อยู่ด้วย ขาดความสามารถในการไตร่ตรองแก้ไขสถานการณ์ 2. การกระตุ้นทางอารมณ์ มีอิทธิพลอย่างมากเฉพาะในสภาวะที่สับสนวุ่นวาย พร้อมจะแสดงออกถึงพฤติกรรมที่รุนแรง เพื่อเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ที่ตึงเครียด การเร้าอารมณ์จะเป็นการกระทำแบบวงจรย้อนไปย้อนมา ได้แก่ (ความรุนแรง I) บุคคลที่ 1 บุคคลที่ 2 (ความรุนแรง II) (ความรุนแรง III) บุคคลที่ 2 บุคคลที่ 2 (ความรุนแรง IIII) (ความรุนแรง IIII) บุคคลที่ 3 บุคคลที่ 2 (ความรุนแรง IIIIII)

              จะเห็นว่า บุคคลที่ 1 ซึ่งเป็นคนคนเดียวกันและเป็นคนเริ่มต้นเร้าอารมณ์ แต่บุคคลที่ 1ย้อนกลับมาเร้าอารมณ์ บุคคลที่ 1 อัตราความรุนแรงเพิ่มจาก I เป็น IIIIII 3. และถ้าบุคคลที่ชุมนุมในฝูงชนมีวิถีชีวิต สถานภาพ อายุ การศึกษา อาชีพ ชนชั้นเดียวกันหรือใกล้เคียง ก็จะมีอิทธิพลมากขึ้นและรวดเร็วอาจกล่าวได้ว่าการระบาดอารมณ์เป็นสาเหตุหลักในการชุมนุมของฝูงชน ที่สามารถบอกแนวโน้มของความรุนแรงในการชุมนุมได้ เนื่องการกระบาดอารมณ์ทำให้เกิดเอกภาพทางใจแก่ฝูงชนถ้าสังคมนั้น ๆ มีการพัฒนาด้านสื่อสาร คมนาคม แล้ว การระบาดอารมณ์จะยิ่งขยายตัวมันเองได้อย่างมีระบบและมีศักยภาพจนยากที่จะควบคุมได้ เช่น โทรศัพท์ มือถือ โทรสาร ดาวเทียม เป็นต้น

              อย่างไรก็ตามในฐานะผู้เขียนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบร้อยทั่วไป ในกรณีการควบคุมฝูงชนหรือกลุ่มผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่เริ่มตั้งแต่ก่อนที่ผู้คนรวมตัวเป็นฝูงชน (Crowd) เพื่อป้องกันไม่ให้ฝูงชนขาดการควบคุม ไร้ระเบียบ วุ่นวาย กระทั่งเป็นฝูงชนบ้าคลั่ง (Mob) จนพัฒนาขึ้นไปจนถึงระดับการจลาจล (Riot) แล้วนั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตำรวจจะใช้

              3. การควบคุมฝูงชนสามารถกระทำได้อย่างไร ?

              การควบคุมฝูงชนสามารถกระทำได้หลายวิธี ดังนี้ 1. การควบคุมโดยความต้องการทางอารมณ์ของสมาชิก (Emotional Needs ofMembers) หมายถึง สมาชิกที่เข้าร่วมในฝูงชนไม่เกิดอารมณ์ร่วมกับฝูงชน ทั้งนี้ เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับวิธีการของการประท้วง  2. การควบคุมโดยจารีตของสมาชิก (Morse of the Members) ควบคุมจารีตของสมาชิกในพฤติกรรม อาจมีการเสนอแนะเรียกร้องชักจูงในการกระทำพฤติกรรมบางอย่าง ซึ่งอาจขัดต่อจารีตความเชื่อที่ผู้ร่วมฝูงชนนับถืออยู่ เช่น การรุมประชาทัณฑ์ ด่าทอเจ้าหน้าที่ ขว้างปาสิ่งของ

              3. ผู้นำหรือหัวหน้าของฝูงชน (Crowd Leadership) ผู้นำหรือหัวหน้าของฝูงชน โดยลักษณะความเป็นผู้นำจะมีอิทธิพลโดยตรงต่อการเกิดพฤติกรรมฝูงชน ตัวผู้นำที่มีศีลธรรมเข้าใจสถานการณ์จะสามารถหยุดฝูงชนที่บ้าคลั่งได้ การมีผู้นำจึงมีความสำคัญลักษณะผู้นำจะเกิดจากบุคคลที่ออกคำสั่งคนแรก มีลักษณะดี มั่นคง ฝูงชนก็จะยอมรับทันที 4. การควบคุมจากภายนอก (External Control) การควบคุมจากภายนอก ได้แก่ การควบคุมด้วยการพยายามดึงสิ่งยึดเหนี่ยว เช่น การดึงตัวหัวหน้าออกไปก่อนจะรวมพลังกันแน่นพยายามแยกฝูงชนเป็นหน่วยย่อย ๆ เพื่อลดการระบาดทางอารมณ์ ควบคุมโดยการเข้าแทรกแซง เช่นการใช้กำลังตำรวจ ทหาร การแทรกแซงทางอารมณ์ไม่ให้เกิดอารมณ์ร่วม ควบคุมไม่ให้ฝูงชนมีวัตถุประสงค์เดียว โดยการสร้างความสนใจต่าง ๆ เช่น ข่าวลือ เป็นต้น

              4. กฎการใช้กำลังควบคุมฝูงชนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นอย่างไร

              แนวทางการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในภารกิจการควบคุมฝูงชน ในเรื่องเกี่ยวกับสิทธิในการป้องกันตนเองและการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้บรรลุภารกิจที่ได้รับมอบหมายภายใต้กรอบของกฎหมายและนโยบายของทางราชการ การปฏิบัติการในภารกิจการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในการควบคุมฝูงชน เป็นไปด้วยความเหมาะสมกับสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยไม่ทำให้เสียภาพพจน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การใช้กำลังหรือการปฏิบัติการที่เกินกว่าเหตุและป้องกันหรือหลีกเลี่ยงการสูญเสียที่จะเกิดแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และป้องกันมิให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนและเจ้าหน้าที่ตำรวจอันเนื่องมาจากการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีกฎการใช้กำลังดังนี้

              1. กฎการใช้กำลังนี้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ได้กำหนดขึ้นในการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน เพื่อควบคุมการใช้กำลังดังกล่าวให้อยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย 2. กฎการใช้กำลังนี้เป็นแนวทางการใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชนต่อสถานการณ์ที่มีการชุมนุมเรียกร้องเกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้กำลังตามที่กฎหมายได้ให้อำนาจไว้ เพื่อบรรลุภารกิจและเป็นการประกันว่าการใช้กำลังดังกล่าวได้มีการควบคุมการใช้กำลังได้อย่างเหมาะสม 3. ผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามกฎการใช้กำลังนี้ให้เป็นไปตามหลักของความจำเป็น อย่างสมเหตุสมผลและอยู่ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 4. ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ มีหน้าที่ในการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องกฎการใช้กำลังนี้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตน นอกจากนี้กำลังพลที่จะปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจนี้ ต้องได้รับการฝึกฝนให้มีขีดความสามารถเพียงพอที่จะใช้กำลังและอุปกรณ์ควบคุมฝูงชน เพื่อบรรลุภารกิจดังกล่าว 5. ไม่ว่ากฎการใช้กำลังนี้จะได้กำหนดไว้อย่างไร ผู้บังคับหน่วยทุกระดับชั้นและเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายพึงระลึกไว้เสมอว่ากฎการใช้กำลังจะไม่เป็นข้อจำกัดที่ทำให้กำลังพลสูญเสียสิทธิในการป้องกันตนเอง

              5. ตำรวจจะใช้กำลังในการควบคุมฝูงชนเมื่อใด?

              แบบวิธีของการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายทีต้องเข้าควบคุมสถานการณ์ฝูงชนหรือกลุ่มผู้ชุมนุมให้เป็นระเบียบหรือสงบเรียบร้อย ดังนั้น เจ้าหน้าที่จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการใช้กำลัง แต่การใช้กำลังดังกล่าวต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้อำนาจที่กฎหมายกำหนด โดยเริ่มตั้งแต่ เฉพาะรายบุคคล คู่ตรวจ ชุด หมู่ หมวด หรือชุดต่างๆ ในระดับกำลังหลากหลายแบบตามแต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวกำหนด เจ้าหน้าที่ต้อง “ระลึก” เสมอว่า การใช้กำลังอาจล่วงละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของบุคคลได้เสมอ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ต้องตระหนักต่อศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่ทุกคนมีมาแต่กำเนิดอย่างเท่าเทียมกันโดยเฉพาะสิทธิที่จะมีชีวิต อิสรภาพ และความมั่นคง การใช้กำลังจึงต้องมีกฎที่เข้มงวดตามกฎหมายภายใต้การควบคุมของผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบอย่างใกล้ชิด และต้องอยูภายใต้แบบปฏิบัติที่ชัดเจน และหลักพื้นฐานในการใช้กำลังโดยเฉพาะ ระดับการใช้กำลัง คือแนวทางปฏิบัติในการใช้กำลังของตำรวจตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายในแต่ละประเทศ หรือแต่ละพื้นที่ได้วางแนวทางไว้ กฎการใช้กำลังนี้ใช้บังคับในสถานการณ์ที่มีความจำเป็นต้องใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในการควบคุมฝูงชน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย โดยมีกฎการใช้กำลังดังนี้

              1. ใช้กำลังตามความจำเป็นของสถานการณ์ ให้ใช้กำลังน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเพื่อบรรลุภารกิจ 2. ก่อนการใช้กำลังให้มีการเจรจาและแจ้งเตือนก่อน ทั้งนี้ให้ใช้วิธีการเตือนตามความเหมาะสมกับระดับของการใช้กำลังตามสถานการณ์ 3. การใช้กำลังเพื่อบังคับให้ผู้ชุมนุมหรือบุคคลอื่นๆ ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ หรือการใช้กำลังในกรณีที่มีการฝ่าฝืนคำสั่ง เช่น การใช้กำลังเพื่อตรวจค้น จับกุม ให้ใช้กำลังได้ตามแนวทางดังนี้ 3.1 เตือนด้วยวาจาว่าการฝ่าฝืนดังกล่าวผิดกฎหมายให้หยุดการกระทำ หาก ไม่หยุดให้แสดงท่าทางพร้อมใช้กำลัง 3.2 หากยังคงฝ่าฝืนให้ใช้กำลังเพื่อกักตัวหรือทำการจับกุมได้ แต่ทั้งนี้ระดับของกำลังที่ใช้ต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 3.3 การปฏิบัติต่อผู้หญิง เด็ก และคนชรา จะต้องเพิ่มความระมัดระวังและปฏิบัติให้มีความเหมาะสมกับสถานภาพ โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนที่ไม่ทำให้เสียภาพพจน์ในการปฏิบัติการ

              4. การสั่งใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าสลายฝูงชนให้อยู่ในอำนาจของผู้บังคับบัญชา ในพื้นที่ที่ได้รับคำสั่งให้รับผิดชอบในการควบคุมฝูงชน 5. การใช้กำลังป้องกันตนเองหรือทรัพย์สินของทางราชการ ป้องกันการกระทำความผิดซึ่งหน้า หรือปกป้องชีวิตผู้อื่นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงสามารถกระทำได้ตามความจำเป็นแต่ต้องพอสมควรแก่เหตุ
              6. การใช้อาวุธของตำรวจในการควบคุมฝูงชนเป็นอย่างไร?

              1. ใช้อาวุธเฉพาะในสถานการณ์วิกฤติที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยใช้ตามความ จำเป็นได้สัดส่วนและเหมาะสมกับสถานการณ์เพื่อให้บรรลุภารกิจหรือป้องกันตนเองหรือกลุ่มบุคคล หรือทรัพย์สินอันทรงคุณค่าของทางราชการ 2. ต้องเตือนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลดังกล่าวก่อนว่าจะใช้กำลังเข้าสลายฝูงชน 3. การใช้กระบอง ให้ใช้ในกรณีผลักดันกลุ่มคนออกจากพื้นที่โดยให้ปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้ 3.1 เมื่อจำเป็นต้องใช้กระบอง ต้องเตือนก่อนเว้นแต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย 3.2 ให้ใช้เท่าที่จำเป็นเพื่อการบรรลุภารกิจ หากจำเป็นให้ทำการตี แต่ต้องไม่ตี ที่บริเวณอวัยวะสำคัญซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือทำให้พิการ 4. การยิงกระสุนยาง ให้ทำการยิงต่อเป้าหมายที่กระทำการหรือมีท่าทีคุกคามต่อชีวิต ฝ่ายเรา รวมทั้งต้องมีการกำหนดเป้าหมายโดยชัดเจน ไม่ยิงโดยไม่แยกแยะหรือไม่เลือกเป้าหมาย ไม่ใช้การยิงอัตโนมัติ จะต้องเล็งยิงให้กระสุนยางกระทบส่วนล่างของร่างกายของผู้ที่เป็นเป้าหมาย และไม่ควรทำการยิงในระยะใกล้กว่า 20 เมตร เว้นแต่มีภัยคุกคามอย่างร้ายแรงและทันทีต่อชีวิตซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยจะต้องใช้กระสุนยางให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น 5. การใช้น้ำฉีด ให้ใช้ในกรณีการสลายฝูงชน โดยใช้แรงดันน้ำเท่าที่จำเป็นในการสลายฝูงชน และระมัดระวังอย่าฉีดน้ำไปยังบริเวณอวัยวะที่บอบบาง เช่น ดวงตา เป็นต้น 6. การใช้สารควบคุมการจลาจลในการสลายฝูงชน สามารถกระทำได้แต่ต้องมีการเตือนก่อนการใช้และให้ใช้ในระดับความเข้มข้นที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการใช้สารดังกล่าวในบริเวณที่คับแคบที่ไม่มีอากาศถ่ายเท โดยการสั่งใช้สารเคมีดังกล่าวอยู่ในอำนาจของผู้บังคับบัญชาที่ได้รับคำสั่งให้รับผิดชอบในการควบคุมฝูงชน หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย 7. การใช้แก๊สน้ำตาให้ระมัดระวังในการใช้ดังนี้ 7.1 ระยะขว้างต่ำสุด ต้องไม่ใกล้กว่า 25 เมตร 7.2 มุมการขว้าง หลีกเลี่ยงการขว้างไปโดนตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง 7.3 ระมัดระวังอันตรายที่จะเกิดแก่กลุ่มคนที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการจลาจล 8. ห้ามใช้อาวุธที่มีอำนาจการทำลายสูง เช่น เครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม. 79 ในการยิงลูกระเบิดสังหาร ลูกระเบิดสังหาร ระเบิดเพลิง อาวุธปืนกล ในภารกิจการควบคุมฝูงชน

              7. แนวทางการปฏิบัติหลังการใช้กำลัง

              เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้วจะต้องดำเนินการดังนี้ 7.1 การช่วยเหลือทางการแพทย์ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดต้องได้รับการปฐมพยาบาลและรีบส่งไปรับการรักษาพยาบาลตามความจำเป็น 7.2 การบันทึกและการรายงาน หน่วยจะต้องบันทึกรายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดและรายงานตามสายการบังคับบัญชาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับวัน เวลา และสถานที่เกิดเหตุ หน่วยและบุคคลที่เกี่ยวข้อง เหตุการณ์/สาเหตุที่นำไปสู่การใช้กำลัง/อาวุธ อาวุธและอุปกรณ์ที่ใช้ ระบุจำนวนผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ตลอดจนความเสียหาย(ถ้ามี) ผลที่ปรากฏของการใช้กำลัง/อาวุธ แผนผังของเหตุการณ์ รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องที่เห็นว่าควรรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ(ถ้ามี) 7.3 การปฏิบัติต่อพื้นที่เกิดเหตุ ให้ปิดกั้นบริเวณพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์และส่งมอบต่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่เพื่อเก็บรวบรวมพยานหลักฐานสำหรับใช้ดำเนินการทางกฎหมายต่อไป 7.4 การเคลื่อนย้ายผู้ถูกกักตัวหรือผู้ถูกจับกุม ต้องกระทำด้วยความระมัดระวังโดย ถือปฏิบัติด้วยความมีมนุษยธรรมและคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน การใช้เครื่องพันธนาการให้ใช้ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมกับสถานการณ์

              7.5 พุทธองค์ทรงควบคุมฝูงชนได้โดยวิธีใด ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าการให้อภัยทานนั้นเป็นการสร้างพื้นที่ให้อารมณ์ที่เป็นกุศล เจริญงอกงามในจิตใจ ออกจากกับดักของความโกรธ จิตจะเบาสบายเป็นอิสระทันที เท่ากับเป็นกรชำระจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใสและชำระล้างสิ่งเศร้าหมองของจิต อภัยทานจึงเปรียบเหมือนน้ำที่จะไปดับไฟภายในจิตใจที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เต็มไปด้วยความโกรธนั้น จะมีพลังอำนาจในการสั่งการบุคคลให้มีพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องได้ง่ายดังพุทธพจน์ที่ว่า "ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สิ่งทั้งหลาย สำเร็จมาแต่ใจ เพระฉะนั้น หากว่าบุคคลใดมีใจชั่ว จะพูดอะไรก็ตาม จะทำอะไรก็ตาม เพราะเหตุ ที่มีใจชั่วนั้น ความทุกข์ย่อมจะติดตามเขไปเหมือนล้อหมุนไปตาม รอยเท้าโคลากเกวียน ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สิ่งทั้งหลาย สำเร็จมาแต่ใจ เพราะฉะนั้น หากว่าบุคคลใดมีใจผ่องใส จะพูดอะไรก็ตาม จะทำอะไรก็ตาม เพระเหตุที่มีใจผ่องใสนั้น ความสุขย่อมจะติดตามเขาไป เหมือนเงาติดตามตัว จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงนำเสนอวิธีการจัดการความขัดแย้งบนฐานคิดดังกล่าว

              กรณีศึกษาที่สามารถยืนยันข้อสมมติฐานเบื้องต้นก็คือการที่พระพุทธเจ้ามักจะใช้วิธีไกล่เกลี่ยคนกลางเข้าไปดำเนินการ ดังจะเห็นได้จากกรณีสงครามการแย่งชิงน้ำของพระญาติ สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เจ้าศากยะ พระภิกษุชาวเมืองโกสัมพีขัดแย้งเกี่ยวกับพระวินัย ซึ่งทั้งสามกรณีนี้พระพุทธ เจ้าได้ทรงทำหน้าที่ในการเป็นคนกลางหรือบุคคลที่สามเข้าไปสร้างความสมานฉันท์ แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การที่นักเจรจาไกล่เกลี่ยคนกลางเข้าไปทำหน้าที่ดังกล่าวได้ ต้องเกิดจากความยินยอมและเห็นชอบจากคู่กรณีทั้งสองฝ่าย แต่ในกรณีของพระพุทธเจ้านั้นเกิดขึ้นจากการตัดสินพระทัยของพระองค์เอง ซึ่งเป็นการเข้าไปทำหน้าที่บนฐานของการตระหนักรู้ถึงมหัตภัยที่จะเกิดขึ้นมีหลักพิจารณา ปรากฏในอนมตัคคสังยุต เล่ม 16

              8.บทบาทของพระพุทธศาสนาในการควบคุมฝูงชนในอดีต พระพุทธศาสนากับการแก้ปัญหาทางการเมือง 1) พระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงอธิปไตย ไว้ถึง 3 แบบ คือ อัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย ธรรมาธิปไตย โดยประการหลัง ธรรมาธิปไตยปกครองโดยเน้นธรรมะเป็นใหญ่ ให้ผู้นำมีธรรมะ (มุขบุรุษที่ดี) และประชาชนมีธรรมะ (สัมมาชน) พระสุตตันตปิฎก เล่ม 20 หน้า 186 , เล่ม 11 หน้า 231 2) พระพุทธศาสนา เน้นเสรีภาพทางจิต เป็นศาสนาแรกที่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน มีสิทธิพิจารณาคัดเลือกผู้นำ มีสิทธิในด้านต่างอันไม่ก่อความเดือดร้อนสู่ตนเองและผู้อื่น 3) พระพุทธศาสนา สอนให้รู้จักความพอดีในการปฏิบัติตน และการแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยปัญญา ในการดำเนินตามอริยสัจ 4 นักการเมืองควรนำไปปรับใช้ตามเหตุสถานการณ์นั้นๆ 4) พระพุทธศาสนา สอนให้รู้จักความสุจริต ในการปฏิบัติตนสมควรแก่หน้าที่ รู้กาล รู้เวลา รู้หน้าที่ของตน ปัญหาความยัดแย้งทางการเมือง ความยัดแย้งทางการเมืองที่เป็นปัญหาสังคมอย่างหนึ่งนั้นอาจจะมาจากสาเหตุหลายประการ เช่น ผลประโยชน์ขัดกัน ความคิดเห็นไม่ตรงกัน การขาดอุดมคติทางการเมืองที่แน่นอน เป็นต้น ในการแก้ปัญหานี้ ตามทัศนะของพุทธศาสนาแล้ว นักการเมืองจะต้องมีธรรมะสำหรับนักบริหาร นักปกครองซึ่งพระพุทธองค์ได้แสดงว่า เป็นคุณสมบัติของนักปกครองหรือผู้บริหารปรากฏในพระคัมภีร์ศาสนาหลายแห่งด้วยกัน แต่ในที่นี้จะขอนำมากล่าวเฉพาะที่ท่านได้แสดงไว้ใน อรรถกถาอัฏฐกนิบาตอังคุตตรนิกาย มีใจความว่าผู้ปกครองหรือนักบริหารนั้นจะต้องทำนุบำรุงประชาราษฏร์ด้วยหลักธรรมที่เรียกว่าราชสังคหวัตถุ 5 ประการ คือ

              1. สัสสเมธะ ฉลาดสามารถในการบำรุงเกษตรกรรมและกสิกรรมเป็นต้น อันเป็นธัญญาหารให้เกิดผลผลิตที่ดี มีการส่งเสริมการเกษตรและกสิกรรมให้อุดมสมบูรณ์ อันจะเป็นประโยชน์พื้นฐานที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาประเทศทางด้านเศรษฐกิจ 2. ปุริสเมธะ ฉลาดสามารถในการบำรุงคน ส่งเสริมคัดเลือกคนมาทำงานให้เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของเขาและการงานที่จะทำนั้น ๆ พร้อมทั้งจัดสวัสดิการให้ดี เป็นต้น 3. สัมมาปาสะ ผูกประสานสงเคราะห์ประชาชนพลเมืองบ่วงคล้องใจคน คือการดูแลสุขทุกข์ของประชาชน ส่งเสริมอาชีพ เช่น จัดทุนให้คนยากจนยืมไปสร้างตนในทางพาณิชยกรรมหรือดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ให้เกิดความเลื่อมล้ำหรือช่องว่างจนแตกแยกกัน ซึ่งเป็นการทำให้จิตใจของประชาชนเลื่อมใสในผู้ปกครอง 4. วาชเปยยะ พูดจาด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวานดูดดื่มใจ รู้จักพูดรู้จักชี้แจงแนะนำ รู้จักทักทายถามไถ่ทุกข์สุขของประชาชนทุกชั้น ด้วยอัธยาศัยไมตรีที่ดี ด้วยถ้อยคำที่ประกอบด้วยเหตุผล ที่เป็นหลักฐานมีประโยชน์ เป็นทางแห่งการสร้างสรรค์แก้ไขปัญหาเสริมความสามัคคีทำให้เกิดความเข้าใจดี ความเชื่อถือและความนิยมนับถือ 5. นิรัคคฬะ บริหารประเทศชาติให้อยู่เย็นเป็นสุข โดยป้องกันและบำราบโจรผู้ร้าย ให้ประชาชนนอนตาหลับ

              โดยยึดหลักการที่ว่า "ความสุขของประชาชนคือยอดปรารถนาของตน" และในทีฆนิกายปาฏิกวรรคก็ได้แสดงไว้ว่า ผู้บริหารหรือนักปกครองที่ดีนั้น เมื่อปฏิบัติหน้าที่ พึงเว้นความลำเอียง (อคติ) หรือความประพฤติที่คลาดเคลื่อนจากธรรม 4 ประการ 1. ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะชอบ 2. โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง 3. โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลงหรือเขลา 4. ภยาคติ ลำเอียงเพราะขลาดกลัว นอกจากนี้ มีความประพฤติดีเป็นแบบฉบับในการดำรงชีวิตของนักปกครองเพราะการปกครองที่ดีคือ การให้แบบอย่างที่ดี ความตรงความคดของนักปกครองมีอิทธิพลต่อความประพฤติของประชาชน ความซื่อตรงของประชาชน ขึ้นอยู่กับความซื่อตรงของนักปกครอง

              การแก้ความคิดของส่วนใหญ่จึงต้องเริ่มมาจากฝ่ายปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 2 ประเภทนี้ พระพุทธเจ้าตรัสยกตัวอย่างไว้ในโพธิราชชาดก ขุททกนิกายว่า "เมื่อฝูงโคกำลังข้ามแม่น้ำ ถ้าโคจ่าฝูงไปคด โคนอกนั้นก็คดตาม ในหมู่มนุษย์ก็เช่นเดียวกันถ้าผู้ได้รับสมมติให้เป็นหัวหน้าเป็นผู้ปกครองไม่เป็นธรรม คนนอกนั้นก็ประพฤติไม่เป็นธรรม ดังนั้นเมื่อผู้ปกครองประพฤติไม่เป็นธรรม ชาวเมืองก็พลอยทุกข์กันไปทั่ว โดยนัยตรงกันข้าม เมื่อผู้ปกครองทรงไว้ซึ่งธรรม ชาวเมืองก็เป็นสุขกันไปทั่ว" ปัญหาทุกปัญหาที่สังคมโลกและทุกประเทศ รวมถึงสังคมไทยกำลังเผชิญอยู่นั้น เป็นบทเรียนราคาแพงที่ทุกคนได้รับ สาเหตุที่แท้จริงของทุกปัญหานั้นมาจากเหตุเพียงเหตุเดียว คือ ความด้อยคุณภาพของประชากร ทั้งระดับครอบครัว ระดับสังคม ระดับชาติ จำนวนประชากรที่มีคุณภาพต่ำเป็นจำนวนมากในสังคมเหล่านั้น

              ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงต้องทำทุกวิถีทางที่จะสร้างคุณภาพที่สูงขึ้นไปแก่ประชาชนในสังคมไทยด้วยเหตุนี้ หากเรายอมรับว่า ความขัดแย้งเป็นสิ่งจำเป็น และเป็นธรรมชาติของมนุษย์และสังคมในระดับโลกิยะแล้ว หน้าที่สำคัญของมนุษย์และสังคมจึงไม่ได้อยู่ที่ “การหลบหนี” หรือ “สลาย” ความขัดแย้ง หากแต่ยอมรับสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ในฐานะที่เป็น “ทุกข์” ประการหนึ่งของชีวิตและสังคม และแสวงหาคำตอบว่า ความขัดแย้งเกิดจากอะไร นำไปสู่อะไร เราควรจะมีท่าที รวมไปถึงการแสวงหาทางออก หรือหาเครื่องมือเพื่อนำไปจัดการความขัดแย้งให้ถูกต้องตามหลักเหตุ ผล ตน ประมาณ กาล บุคคล และชุมชนได้อย่างไร จึงจะทำให้มนุษย์และสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

              สรุปส่งท้าย สรุปก็คือ โยนิโสมนสิการ การใช้สติอย่างมีปัญญาในการควบคุมฝูงชน แท้ที่จริงสันติวิธีคือการตอบโต้อีกแบบหนึ่งโดยไม่ใช้ความรุนแรง ทั้งนี้เพื่อหยุดยั้งพฤติกรรมอันก