
เช่า 'พระหลวงพ่อทวด'องค์แรก ๑ บาทฉ่อย ท่าพระจันทร์ เซียนรุ่นใหญ่สายหลวงพ่อทวด
พระหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ จ.ปัตตานี ยุคแรกที่ พระอาจารย์ทิม ปลุกเสกเอาไว้ ในทุกวันนี้เป็นที่ยอมรับกันว่ามาแรงสุดๆ ทุกรุ่นทุกพิมพ์ทุกเนื้อ ราคาเช่าหาพุ่งแพงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง ทั้งนี้เป็นเพราะความศรัทธานับถือของผู้คนโดยทั่วไป ที่เชื่อก
และสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวช่วยก็คือ สมัยนี้คนที่ดู พระหลวงพ่อทวด เป็นมีมากขึ้น กว้างขวางขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก และมีหลักการดูที่มีข้อยุติ
ในอดีตเมื่อกว่า ๒๐ ปีก่อน พระหลวงพ่อทวด องค์เดียวกัน ให้เซียนพระที่หาดใหญ่ สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รวมทั้งในสนามพระส่วนกลาง กทม. ดูกันแล้วจะมีความเห็นที่แตกต่างกันไป แท้บ้าง เก๊บ้าง บางคนก็บอกว่าดูยาก บางคนก็บอกว่าพิมพ์นี้เนื้อนี้ไม่เคยพบเห็นมาก่อน นานาความคิดเห็น ที่ทำเอาเจ้าของพระใจเสีย ไม่กล้าเช่าพระหลวงพ่อทวดอีกต่อไป การเช่าหาจึงอยู่ในวงแคบลงเรื่อยๆ
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสมัยนั้นหนังสือพระ นิตยสารพระ ตลอดจนตำราเล่มใหญ่ๆ ภาพสีสวยๆ คมชัดมากๆ ไม่มีให้ได้ศึกษากันเลย
ผิดกับสมัยนี้ที่มีทั้งหนังสือพระ นิตยสารพระ และตำราพระ ให้ได้ศึกษากันอย่างมากมาย แต่ละเล่มจัดทำได้ดี มีภาพสวยสมบูรณ์คมชัดจำนวนมาก มีการชี้จุดตำหนิ ข้อแนะนำในการดูองค์พระ มีข้อยุติที่เป็นไปในทางเดียวกัน ทำให้ผู้ศึกษาได้รับความรู้อย่างแท้จริง
ขณะเดียวกันผู้ให้เช่าพระก็มีคุณธรรมมากขึ้น มีความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า รวมทั้งการรับประกันว่าเป็นพระแท้แน่นอน หากเก๊หรือไม่พอใจก็สามารถคืนพระได้ตลอดเวลา
ซึ่งนับเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้สนใจ พระหลวงพ่อทวด มากขึ้นด้วย
และบุคคลหนึ่งที่เป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้ พระหลวงพ่อทวด มีมาตรฐานการเช่าหาที่ดีขึ้น และเป็นที่ยอมรับของวงการพระเครื่องก็คือ
สกล ศรีหิรัญโชติ หรือ ฉ่อย ท่าพระจันทร์ ที่คนในวงการพระส่วนใหญ่ให้ความเคารพนับถือ เรียกกันว่า "ป๋าฉ่อย" โดยทั่วกัน ผู้จัดทำหนังสือตำรา พระหลวงพ่อทวด เล่มหนาปกแข็ง ฉบับมาตรฐาน เล่มแรกของเมืองไทย
ฉ่อย ท่าพระจันทร์ เป็นชาวหาดใหญ่โดยกำเนิด พออายุได้ ๙ ขวบ พ่อแม่ก็พาครอบครัวย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ เมื่อเรียนหนังสือจบชั้นมัธยมก็หางานทำทันที โดยเป็นเซลส์แมนบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง
ช่วงที่ทำงานอยู่นั้น วันหนึ่งไปเที่ยวสนามหลวง เห็นคนเล่นปาหี่ก็สนใจเข้าไปดู สักพักหนึ่งเขาหยุดเล่น แล้วเอาพระหลวงพ่อทวดออกมาขาย บรรยายสรรพคุณอันวิเศษเลิศเลอต่างๆ ทำให้เกิดความสนใจมาก จึงขอซื้อเขามา ๑ องค์ ราคา ๑ บาท เอาไปบูชาที่บ้าน พร้อมกับคิดว่าพระองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์อย่างที่คนเล่นกลพูดจริงๆ หรือ
ฉ่อยเล่าว่า "วันหนึ่งเพื่อนมาชวนไปขี่รถมอเตอร์ไซค์เที่ยวกัน จึงเอาพระหลวงพ่อทวดใส่กระเป๋าไปด้วย และด้วยความที่เป็นวัยรุ่นจึงขี่กันอย่างคะนองจนเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำพังยับเยินเกินจะซ่อมแซมได้ แต่น่ามหัศจรรย์ตรงที่เนื้อตัวไม่เป็นอะไรเลย สมัยนั้นหมวกกันน็อกก็ไม่มี รอดตายมาได้นับเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ ทำให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในองค์พระหลวงพ่อทวดที่พกติดตัวมาก ว่าศักดิ์สิทธิ์ตามที่คนเล่นกลโฆษณา จนเพื่อนๆ พากันขอดู และมีผู้ใหญ่ที่รู้ข่าวมาขอซื้อต่อในราคา ๑ หมื่นบาท แต่ไม่ขาย ต่อมาได้เอาพระองค์นี้ไปให้คนที่เล่นพระดู เขาบอกว่าเป็น 'พระเก๊' เพราะพระองค์นี้ถอดพิมพ์มาจากพระหลวงพ่อทวด รุ่นหลังตัวหนังสือ ปี ๒๕๐๕ ทำด้วยผงถ่านไฟฉายผสมดินสีดำ ซึ่งพระแท้ไม่มีเนื้อนี้ พิมพ์ก็ไม่คมชัด"
อย่างไรก็ตาม "ป๋าฉ่อย" ก็ยังรักและหวงพระองค์นี้มาก พร้อมกับคิดว่านี่ขนาดพระเก๊ยังศักดิ์สิทธิ์ หากเป็นพระแท้จะขนาดไหน จึงไปเที่ยวหาซื้อตามแผงพระต่างๆ ปรากฏว่าคนรู้เรื่องนี้บอกว่าเป็นพระเก๊เกือบทั้งนั้น
"ผมเลยคิดว่าหากจะหาพระแท้ต้องไปหาดใหญ่ ลงทุนนั่งรถไฟชั้น ๓ ค่ารถ ๙๐ บาท ไปหาดใหญ่ทันที ไปหาเซียนพระกลุ่มหนึ่งที่ใต้โรงแรมซาวอย ได้พระหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน มาองค์หนึ่ง ราคา ๗๐๐ บาท พอดีวันนั้นมีนายทหารท่านหนึ่งมาเห็นผมซื้อพระ พอรู้ว่าอุตส่าห์นั่งรถไฟมาจากกรุงเทพฯ เพื่อซื้อพระโดยเฉพาะ ก็ขอพระไปดู พร้อมกับโวยวายกับพวกเซียนพระว่าน้องคนนี้มาจากกรุงเทพฯ เอาพระอย่างนี้ขายให้เขาได้อย่างไร เพราะเป็นพระเก๊ เซียนพระจึงเปลี่ยนองค์ใหม่ คราวนี้เป็นพระแท้ นายทหารท่านนั้นยืนยันให้เป็นพระหลวงพ่อทวด พิมพ์กลาง เนื้อว่าน รุ่นแรก ปี ๒๔๙๗ จึงได้ขอเช่าอีกองค์หนึ่งในราคา ๗๐๐ บาทเท่ากัน" ฉ่อย กล่าวด้วยความดีใจที่ได้พระหลวงพ่อทวด แท้องค์แรก
เมื่อกลับมากรุงเทพฯ ก็ได้ศึกษาจุดต่างๆ ขององค์พระแท้ จดจำทั้งพิมพ์และเนื้อหามวลสาร จนติดตาจำติดใจ จากนั้นก็ออกหาซื้อพระหลวงพ่อทวดในสนามพระวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เอาชนิดที่เนื้อว่านเหมือนกับ ๒ องค์ครูที่ได้มาจากหาดใหญ่
วันหนึ่งได้เหรียญหลวงพ่อทวด รุ่นแรก ปี ๒๕๐๐ มา ๒ เหรียญ ราคา ๕๐๐ บาท (ต่อมาเมื่อดูพระเป็นจึงได้รู้ว่า ๒ เหรียญนี้เป็นของแท้ และได้ใช้ติดตัวจนเกิดประสบการณ์ทางแคล้วคลาดมาหลายครั้งแล้ว ทุกวันนี้ ๒ เหรียญนี้ได้ให้ลูกชาย ๒ คนใช้ติดตัว)
เมื่อได้พระหลวงพ่อทวดมากพอสมควร จึงนั่งรถไฟไปหาดใหญ่ เพื่อเอาไปตรวจสอบจากเซียนพระท้องถิ่น คราวนี้โชคดีได้พบกับเซียนใจดีคนหนึ่งชื่อ "กวงใหญ่" หรือ "กวง ๘ หมื่น" ได้รับคำแนะนำหลายอย่าง จนพอจะแยกพระแท้พระเก๊ได้ในระดับหนึ่ง
ช่วงหนึ่งตกงาน ไม่รู้จะทำอะไรดี จึงกลับไปหาเพื่อนที่หาดใหญ่ พอดีเขามีบ้านว่าง บอกให้อยู่บ้านเขาได้เลย ไม่ต้องเสียค่าเช่า จึงเอาพระจิปาถะต่างๆ ที่ซื้อจากกรุงเทพฯ จำนวนมากพอสมควร เอาไปวางแผงขายที่ใต้สะพานลอย หาดใหญ่ พร้อมกับรับจ้างชุบทอง หารายได้เสริมไปด้วย ขณะเดียวกันก็ได้ซื้อพระหลวงพ่อทวดแท้ๆ เอาไว้หลายองค์ เก็บเอาไว้ศึกษาเป็นองค์ครู เพราะสมัยนั้นตำราพระหลวงพ่อทวดที่สมบูรณ์จริงๆ ยังไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้ดูจากพระแท้องค์จริงเท่านั้น
อยู่หาดใหญ่ได้ ๒ ปี ก็ย้อนกลับกรุงเทพฯ พร้อมกับความรู้ในการดูพระหลวงพ่อทวดได้แม่นยำขึ้น คราวนี้ไม่คิดจะหางานอื่นทำอีกแล้ว คิดว่าอาชีพซื้อขายพระน่าจะเอาตัวรอดได้ จึงตระเวนหาซื้อพระ พอได้กำไรก็ขายไป แต่ก่อนจะขายก็ต้องเอามาศึกษาหาข้อมูลต่างๆ จากองค์พระเอาไว้ก่อน
พอถึงปี ๒๕๑๙ สนามพระท่าพระจันทร์ ได้ก่อตัวขึ้น จึงยึดเป็นแหล่งทำมาหากิน โดยมี ตี๋เหล่า ท่าพระจันทร์ และ เฮง ท่าพระจันทร์ เข้ามาสนามพระแห่งนี้พร้อมๆ กัน
และเมื่อมีแผงพระว่างก็เซ้งต่อเขาทันที สมัยนั้นค่าเซ้งประมาณแผงละ ๑-๒ หมื่นบาท นับว่าแพงมาก (สมัยนี้แผงละล้านก็มีคนเอา)
การได้มีโอกาสซื้อขายพระในสนามพระท่าพระจันทร์ ทำให้ได้เรียนรู้ดูพระเป็นขึ้นหลายอย่าง เพราะที่นี่เปรียบเสมือนตักศิลาของวงการพระอย่างแท้จริง นอกจากทำให้ดูพระได้เก่งขึ้นแล้ว ยังได้รู้จักมักคุ้นกับเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกัน รู้ว่าใครเก่งพระประเภทไหน ก็จะได้แลกเปลี่ยนความรู้กันได้ บางครั้งมีการซื้อขายพระกันเอง
ตรงจุดนี้ ทำให้ "ป๋าฉ่อย" มีความรู้ความชำนาญในการดูพระได้แม่นยำทุกประเภท โดยเฉพาะ พระหลวงพ่อทวด เฉียบขาดเป็นพิเศษ เพราะซื้อขายกันเป็นประจำ จนกลายเป็น เสาหลัก ของสาย พระหลวงพ่อทวด ประจำสนามพระท่าพระจันทร์ก็ว่าได้ ใครมีปัญหาก็จะต้อง "ป๋าฉ่อย" ทันที
ขณะเดียวกัน ก็ได้รับเกียรติให้เป็นกรรมการตัดสินพระชุดหลวงพ่อทวด อีกด้วย งานประกวดพระรายการใหญ่ๆ จะต้องมี "ป๋าฉ่อย" เป็นประธานพระสายนี้เสมอ
"ถ้าผมเป็นคนรับพระหลวงพ่อทวดเข้าประกวด องค์ไหนเก๊ ผมจะคัดออกทันที ไม่ปล่อยให้ผ่านเข้าไปได้เลย จนเป็นรู้กันว่า ใบรับพระที่มีลายเซ็นผมรับพระ จะมีคนเชื่อถือเป็นพิเศษ ถึงกับมีการซื้อขายใบรับพระกันเลยทีเดียว ขณะเดียวกัน หากเป็นกรรมการตัดสินพระหลวงพ่อทวด ก็จะทำหน้าที่อย่างตรงไหนตรงมา ใครจะมาขอกันไม่ได้อย่างเด็ดขาด ผมไม่เคยเกรงใจใครทั้งสิ้น ทุกอย่างตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมเป็นหลัก พระที่ผมตัดสินจึงต้องเป็นพระแท้เสมอ และความสวยงามคมชัด ก็เป็นไปตามข้อเท็จจริงเสมอ ไม่มีประเภทรางวัลที่ ๒-๓ สวยกว่าองค์รางวัลที่ ๑ เพราะเป็นพระของพรรคพวกกันอย่างเด็ดขาด" ป๋อยฉ่อย กล่าวถึงจุดยืนในการตัดสินพระหลวงพ่อทวด ที่ได้ยึดถือเป็นกฎกติกามาโดยตลอด
อีกอย่างหนึ่งที่ "ป๋อยฉ่อย" พูดถึงคนในวงการพระบางคน ที่มีจิตใจคับแคบ พอมีคนเอาพระมาให้ดู หากไม่ใช่พระของพวกตนเองก็มักจะ "สวด" พระเขาต่างๆ นานา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีจรรยาบรรณของวิชาชีพ เป็นการบั่นทอนความก้าวหน้าความน่าเชื่อถือของวงการพระ
ป๋าฉ่อย บอกว่า "ถ้าใครเอาพระมาให้ผมดู ผมจะบอกตามความเป็นจริงเสมอ แท้ก็บอกว่าแท้ เก๊ก็บอกว่าเก๊ เพื่อเขาได้รู้ความจริง ผมคิดว่าสิ่งนี้จะช่วยส่งเสริมให้มีผู้เข้ามาสนใจเล่นพระมากขึ้น วงการพระก็จะได้รับความเชื่อถือขึ้นด้วย"
ผลงานเกียรติยศ ของ "ป๋าฉ่อย" ที่ฝากไว้ในวงการพระ ที่มีการกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง จนถึงทุกวันนี้ก็คือ เป็นคนแรกที่ได้จัดทำหนังสือตำรา พระหลวงพ่อทวด ปกแข็ง เล่มหนา ๓๖๒ หน้า พิมพ์สี่สีด้วยกระดาษอาร์ตนอกอย่างดี มีภาพพระหลวงพ่อทวด หลากหลายรุ่น เป็นภาพสีทั้งหมด นับเป็นหนังสือตำรา พระหลวงพ่อทวด ที่ได้มาตรฐานเป็นเล่มแรกของวงการพระ ซึ่งทุกวันนี้ได้กลายเป็น หนังสือหายาก ไปแล้ว
หนังสือเล่มนี้ได้รับการสนับสนุนจาก ท่านสวัสดิ์ โชติพานิช อดีตประธานศาลฎีกา และผู้ใหญ่ในวงการต่างๆ อีก ๑๐ ท่าน โดยมีคนในวงการพระร่วมลงทุนด้วยกันอีกหลายคน ปรากฏว่าเป็นหนังสือที่ขายดีมาก จนต้องจัดพิมพ์ใหม่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้ต้นฉบับเดิมๆ ทุกอย่าง
ทุกวันนี้ "ป๋าฉ่อย" นั่งอยู่ในสนามพระท่าพระจันทร์ เป็นประจำทุกวัน แผงเลขที่ ๕๓ โทร.๐-๒๖๒๓-๖๒๙๗ ใครมีปัญหาเกี่ยวกับ พระหลวงพ่อทวด ไปปรึกษาได้เสมอ
0 ตาล ตันหยง 0