
เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อมาสิงห์บุรี
เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อมาวัดสาธุการาม จ.สิงห์บุรี พ.ศ.๒๔๘๒ : ไพศาล ถิระศุภะ
ในบรรดาเหรียญพระเกจิอาจารย์ยุคเก่า ของ จ.สิงห์บุรี ที่ได้รับความนิยมในวงการพระเครื่อง มีอยู่หลายพระเกจิอาจารย์ อาทิ เหรียญหลวงปู่ศุข วัดป่าหวาย พ.ศ.๒๔๖๕, เหรียญหลวงพ่อลา วัดโพธิ์ศรี พ.ศ.๒๔๖๘, เหรียญหลวงปู่ศรี วัดพระปรางค์ พ.ศ.๒๔๗๖, เหรียญหลวงพ่อแป้น วัดบ้านไร่ พ.ศ.๒๔๘๒ ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีอีกเหรียญหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากเป็นเหรียญที่มากด้วยประสบการณ์ คือ เหรียญหลวงพ่อมา วัดสาธุการาม รุ่นแรก พ.ศ.๒๔๘๒
พระครูวิริยสาร (หลวงพ่อมา) เป็นชาว ต.ท่าข้าม อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๑๒ โยมบิดาชื่อ “พา” โยมมารดาชื่อ “พิไล” ประกอบอาชีพทำนา เมื่ออายุ ๑๔ ปี ท่านได้ขออนุญาตบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดพระนอนจักรสีห์ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี โดยมีพระครูพุทธไสยาสน์มุนี (ดิศ) เจ้าอาวาสวัดพระนอนจักรสีห์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังนั้นท่านได้ศึกษาบาลีมูลกัจจายน์ และพุทธาคมต่างๆ จากพระอุปัชฌาย์ จนพอมีความรู้พอสมควร ต่อมาได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดสาธุการาม อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านเกิดของท่าน จากนั้นได้เดินทางเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมต่อที่วัดสระเกศ โดยได้ฝากตัวเป็นศิษย์และถวายอุปัฏฐาก “พระพุฒาจารย์ (มา)” วัดสามปลื้ม ได้เรียนอักขระเลขยันต์ และคาถาอาคมตามสมควร จากนั้นจึงได้กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดสาธุการาม พออายุได้ ๒๐ ปีครบบวช จึงได้อุปสมบทที่วัดป่าหวาย อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี โดยมี พระครูพรหมนครบวรราชมุนี หรือ หลวงปู่ศุข วัดป่าหวาย เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า "อุตมโชติ" มีความหมายว่า “ความรุ่งเรืองที่สูงเลิศ”
เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้ศึกษาพุทธาคมกับหลวงปู่ศุข วัดป่าหวาย จนสิ้นบุญของหลวงปู่ศุข แล้วจึงกลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดสาธุการาม เช่นเดิม
ต่อมาได้เดินทางไปศึกษาพุทธาคม กับ พระอาจารย์ม่วง วัดโบสถ์ อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี พระอาจารย์รูปนี้เก่งทางด้านมหาอุด เขียนกระดาษด้วยดินสอดำ นำไปปะไว้ที่ใดรับรอง ปืนยิงไม่ออก
นอกจากนี้ยังได้ศึกษาวิชา “นะปัดตลอด” กับท่านพระครูไสยาสน์มุนี (ดิศ) วัดพระนอนจักรสีห์ จนสำเร็จ และศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ กับ ท่านเจ้าคุณอินทมุนี (โต ) วัดประศุก อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ซึ่งเชี่ยวชาญทางด้านแพทย์แผนโบราณเป็นอย่างมาก
อนึ่ง หลวงพ่อมา ท่านได้ยึดมั่นออกธุดงควัตร ช่วงเข้าพรรษาเป็นประจำทุกปี เพื่อฝึกพลังจิตให้เข้มแข็ง และโปรดเวไนยสัตว์
หลวงพ่อมา ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ใน พ.ศ.๒๔๖๖ และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น “พระครูวิริยสาร” ตำแหน่งเจ้าคณะหมวดท่าข้าม แขวงเมืองสิงห์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๔
หลวงพ่อมา เป็นพระนักพัฒนา ได้สร้างโรงเรียนภายในวัดสาธุการาม โดยท่านได้สอนวิชาภาษาไทยให้แก่ลูกหลานชาวบ้านในแถบนั้น พร้อมกับสอนพระปริยัติธรรมแก่พระภิกษุสามเณร โดยได้ส่งพระเณรเหล่านี้ไปสอบนักธรรมและเปรียญทุกปี
ขณะเดียวกัน ท่านยังช่วยรักษาชาวบ้านที่เจ็บไข้ได้ป่วยจากโรคร้ายต่างๆ ให้หายได้ทุกราย และท่านยังได้ช่วยวัดใกล้เคียงสร้างศาลาการเปรียญ หรืออุโบสถ จนสำเร็จลุล่วงไปหลายวัด
หลวงพ่อมา เป็นพระสมถะ สันโดษ มั่นคงในพระธรรมวินัย เจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่เป็นนิจ และไม่จับต้องเงินทองใดๆ ทั้งสิ้น
หลวงพ่อมาเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ทรงอภิญญา สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังเช่น วันหนึ่งลูกศิษย์ของท่านชื่อ “พระมหาเปี่ยม” ได้ไปเทศน์โต้ตอบปัญหาธรรมะเชิงปุจฉาวิสัชนา กับคู่ต่อสู้ที่มีความสามารถเหนือกว่า ปรากฏว่า พระมหาเปี่ยม ตอบกระทู้ธรรมะไม่ได้ ๑ ข้อ
ครั้นเมื่อ พระมหาเปี่ยมกลับวัดสาธุการาม ตั้งใจจะเข้ารายงานผลให้หลวงพ่อมาทราบ ยังไม่ทันรายงานอะไร หลวงพ่อก็ชิงพูดขึ้นก่อนว่า “วันนี้ท่านไปเทศน์ปุจฉาเชิงโต้ตอบปัญหาธรรมะสู้เขาไม่ได้ เพราะตอบปัญหาเขาไม่ถูกไป ๑ ข้อ”
พระมหาเปี่ยม พอได้ฟังถึงกับสะดุ้ง พร้อมกับรำพึงในใจว่า เพิ่งกลับจากการโต้ตอบปัญหาธรรมะ ก็รีบกลับวัดเลย นึกไม่ถึงว่าหลวงพ่อจะรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งที่อยู่ห่างไกลกันหลายกิโลได้อย่างไร
เรื่องปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อมา มีอยู่ครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์วัดที่ออกตามเวลาบิณฑบาตถูกสุนัขชาวบ้านกัด มันจุกบาดแผล พอกลับมาที่วัดท่านได้ทำยาใส่แผลและเสกให้ แผลก็หายสนิทในเวลาไม่กี่วัน
ในยามว่างท่านจะไปเก็บเอา “เม็ดมะค่า” ที่ท้ายวัดมาตากแห้ง แล้วลงอักขระ แจกให้เด็กวัดร้อยเชือกคาดเอวไว้ ปรากฏว่า สุนัขที่ว่าดุๆ ก็ไม่กัด หรือกัดไม่เข้าอีกเลย
ก่อนที่หลวงพ่อท่านจะมรณภาพ ท่านได้เขียนอักขระหัวใจพระคาถาต่างๆ ไว้บนกระดานดำ แล้วเรียกกรรมการวัดมาขอให้ต่อโลงศพให้ท่าน เพื่อไม่ให้ยุ่งยากเวลาท่านมรณภาพ
โอกาสนั้น กรรมการวัดได้ขออนุญาตหล่อรูปเหมือนท่านไว้ที่วัด โดยท่านได้เป็นผู้เททองเอง จนแล้วเสร็จ หลังจากนั้นอีก ๗ วันท่านก็มรณภาพ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๙๐ สิริอายุได้ ๗๘ ปี พรรษา ๕๖
ในวันประกอบพิธีฌาปนกิจศพของท่าน ได้เกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์ คือ ท้องฟ้ามืดสลัว แสงแดดไม่เจิดจ้า จนแลเห็นดาวดวงหนึ่งส่องแสงสว่างสุกใสอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมรุเผาศพ ทั้งที่เป็นเวลากลางวัน
เมื่อเสร็จพิธีฌาปนกิจแล้ว ดาวดวงนั้นได้ลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนลับตาไปในที่สุด นับเป็นเป็นอภินิหารครั้งสุดท้ายของท่านที่แสดงให้ผู้ที่เคารพศรัทธาท่านได้พบเห็นเป็นแน่แท้
เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๒ หลวงพ่อมา อายุได้ ๗๐ ปี ท่านได้อนุญาตให้คณะศิษย์สร้างเหรียญขึ้นรุ่นหนึ่ง เป็นรุ่นแรกและรุ่นเดียว สำหรับแจกในงานที่ระลึกทำบุญอายุครบ ๗๐ ปีของท่าน
ลักษณะเหรียญเป็นรูปน้ำเต้า ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อมาครึ่งองค์ มีอักษรระบุว่า “ที่ระลึกพระครูวิริยสาร” ส่วนด้านหลังเป็นยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ มีอักษรระบุว่า “ทำบุญอายุ ๗๐ ปี ๘/๑/๘๒ “
เหรียญที่จัดสร้างขึ้นนี้มีทั้งหมดจำนวน ๓,๐๐๐ เหรียญ สร้างด้วยเนื้อทองแดงอย่างเดียว มีทั้งแบบผิวไฟและรมดำ
หลวงพ่อมา ได้ปลุกเสกเหรียญในอุโบสถ วัดสาธุการาม โดยได้นิมนต์ “หลวงปู่ศรี” วัดพระปรางค์ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี พระเกจิอาจารย์อาคมขลังผู้มีวาจาสิทธิ์ ซึ่งเป็นสหธรรมิกของท่านมาร่วมปลุกเสกด้วย
เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อมา เป็นเหรียญที่มีพุทธคุณสูงทางด้านแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี และมหาอุด ในด้านประสบการณ์จริงมีผู้ที่พกพาติดตัวไปแล้วถูกยิง ถูกฟันแต่ไม่เข้า
บางรายถูกสุนัขกัด แต่อ้าปากไม่ขึ้น บางรายรถคว่ำแต่ไม่ได้รับอันตรายใดๆ เป็นที่โจษจันกันมาก
ต่อมา ทางวัดสาธุการามได้ออกเหรียญหลวงพ่อมา รูปน้ำเต้าขึ้นมาอีกรุ่นหนึ่ง เป็นเหรียญเงินลงยาขนาดเล็ก ระบุปีพ.ศ.๒๔๘๒ เป็นเหรียญย้อนพ.ศ. ไม่ทันหลวงพ่อมาปลุกเสก แต่บรรดาศิษยานุศิษย์ก็ให้ความนิยมศรัทธาเลื่อมใสเช่นเดียวกัน