'สุรสีห์ ภูไท'ผู้เปิดตำนาน'พระป่าสายกรรมฐาน'
'สุรสีห์ ภูไท'ผู้เปิดตำนาน'พระป่าสายกรรมฐาน' : เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู
ในแวดวงนักอ่านนิตยสารแนวธรรมะ ไม่มีใครไม่รู้จักนิตยสาร "โลกทิพย์" ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณ ๓๐ ปีที่แล้ว ถือว่าเป็นยุคทองของนิตยสารหัวนี้แต่เพียงผู้เดียว ชนิดไม่มีคู่แข่งนักเขียนหนังสือธรรมะรุ่นใหม่ที่โลดแล่นอยู่ในวงการน้ำหมึกยุคปัจจุบัน ล้วนต้องเคยผ่านตาข้อเขียนแนวอัตชีวประวัติของครูบาอาจารย์กรรมฐาน ที่รังสรรค์ขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของนักเขียนค่าตัวถูก แต่มากด้วยประสบการณ์ อาทิ สิทธา เชตวัน, ไทยดำ, สุรสีห์ ภูไท, ดำรง ภู่ระย้า ฯลฯ และหนึ่งในบรรดานักเขียนคุณภาพที่มีผลงานเข้าตา ซึ่งได้รับพิจารณาคัดเลือกให้เป็นเรื่องเด่นประจำฉบับมากที่สุดก็คือ สุรสีห์ ภูไท ที่ชื่อและนามสกุลจริงว่า "นายปีติ์ ปิติสิงห์"
สุรสีห์ ภูไท เล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า หลังเรียนจบประถม ๔ ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ ขณะนั้นอายุได้ ๑๒ ปี บิดามารดาอยากให้บวชเรียนทางธรรม จึงเข้าบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดศรีบุญเรือง บ้านคำบก ต.คำบก อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ซึ่งเป็นวัดภายในหมู่บ้าน ขณะบวชได้ศึกษาพระปริยัติธรรมจนจบนักธรรมชั้นเอก และได้เข้ามาศึกษาบาลีไวยากรณ์ต่อที่สำนักวัดโพธิ์ศรี อ.เมือง จ.นครพนม จนสอบเปรียญธรรม ๓ ประโยคได้ในเวลาต่อมา ปีพ.ศ.๒๕๐๙ ได้เข้ามาจำพรรษาอยู่ที่วัดสุทธิวราราม เขตยานนาวา กทม. เพื่อหาที่เรียนต่อ แต่ในที่สุดก็ต้องลาสิกขาเนื่องจากความไม่พร้อมหลายประการ และได้เข้าสมัครเป็นพนักงานพิสูจน์อักษรกับ นสพ.ไทยเดลี่
ในสมัยนั้นสำนักงาน นสพ.ไทยเดลี่ ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดบวรนิเวศวิหาร มีคุณวิลาศ ฉัตรภูติ เป็นบรรณาธิการ ด้วยอุปนิสัยรักการอ่านจึงถูกจริตกับงานที่ทำอย่างมาก เพราะต้องอ่านตัวหนังสือทุกตัวอย่างละเอียดก่อนช่างอาร์ตจะนำไปทำบล็อกแม่พิมพ์ อยู่ไทยเดลี่ระยะหนึ่งก็ขยับมาที่ นสพ.เสียงอ่างทอง (นสพ.ไทยรัฐ ในปัจจุบัน) สมัยนั้นโรงพิมพ์ตั้งอยู่ในซอยวรพงษ์ ย่านบางลำพู จากการชักนำของ อ.เจือ ศิริประเสริฐ ผู้ใช้นามปากกา “จร จารึก” เจ้าของคอลัมน์ “สายธารแห่งศรัทธา” ที่มีผู้อ่านมากเป็นอันดับต้นๆ คอลัมน์หนึ่ง
สุรสีห์ ภูไท เล่าต่อว่า ขณะทำหน้าที่พิสูจน์อักษรอยู่ นสพ.เสียงอ่างทอง นอกเหนือจากงานพิสูจน์อักษรที่ต้องทำเป็นประจำแล้ว ผู้เขียนยังชอบติดตามนักข่าวไปทำงานตามแหล่งข่าวต่างๆ และได้ฝึกเขียนข่าวจนชำนาญอีกทั้งยังมีโอกาสเขียนบทความต่างๆ อยู่เป็นประจำ จากความเอื้อเฟื้อของนักข่าวรุ่นพี่เปิดช่องทางให้ฝึกหัดเขียนหนังสือ ต่อมาจึงได้ริเริ่มก่อตั้งชมรมพิสูจน์อักษรขึ้นเป็นครั้งแรก และด้วยการสนับสนุนจากเพื่อนๆ ทุกหัวหนังสือพิมพ์ ได้ลงคะแนนเลือกผู้เขียนให้เป็นประธานชมรม แต่ด้วยความเหมาะสมจึงยกตำแหน่งนี้ให้หัวหน้าของผู้เขียน ซึ่งก็คือ อ.ระพินทร์ (ผ่อง) พันธุโรทัย เป็นประธานชมรมคนแรก และมีการดำเนินกิจกรรมของชมรมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
หลังจาก นสพ.เสียงอ่างทอง ได้เปลี่ยนชื่อเป็น นสพ.ไทยรัฐ และได้ย้ายมาอยู่ถนนวิภาวดีรังสิต ผู้เขียนก็ได้ตามไปทำที่ใหม่เป็นเวลาถึง ๕ ปีจึงลาออกมา และเป็นจุดเริ่มต้นกับการเป็นนักเขียนเต็มตัว โดยการชักชวนของ อ.พิพัฒน์ ภราดรเสรี ผู้คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงนักเขียนนวนิยาย ผู้ใช้นามปากกา เพชร สถาบัน, สิทธา เชตวัน ฯลฯ ได้แนะนำให้ผู้เขียนเริ่มต้นจับปากกาอย่างจริงจัง อีกทั้งยังตั้งนามปากกาให้ผู้เขียนซึ่งก็คือ “สุรสีห์ ภูไท” โดยตั้งขึ้นมาตามพื้นเพถิ่นกำเนิด
"โดยความชอบส่วนตัว กอปรกับได้มีโอกาสศึกษามาในระดับหนึ่ง ผู้เขียนจึงเริ่มต้นงานเขียนแนวประวัติปฏิปทาของครูบาอาจารย์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงเมื่อครั้งเป็นสามเณรออกธุดงค์กับครูบาอาจารย์สายกรรมฐาน ได้มีโอกาสพบเห็นสิ่งมหัศจรรย์หลายครั้งหลายครา จึงต้องการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ อันอาจจะเกิดกุศลประโยชน์แก่คนทั่วไป ให้ได้ข้อคิดและพึงนำไปปฏิบัติจนเกิดมรรคผลตามกำลังสติปัญญาต่อไป" นี่เป็นเหตุผลของสุรสีห์ ภูไท
ทั้งนี้ สุรสีห์ ภูไท ได้พูดถึงความยากง่ายของการเขียนปฏิปทาและวัตรปฏิบัติของพระป่าสายกรรมฐานว่า "ครูบาอาจารย์ในสายพระกรรมฐานส่วนใหญ่ไม่ค่อยยอมเปิดปากเล่าประวัติของท่านให้ใครฟังง่ายๆ โดยเฉพาะนำไปเผยแพร่บอกต่อในสื่อต่างๆ ด้วยแล้ว ยิ่งจะถูกปฏิเสธกันเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงได้กล่าวไว้ตอนต้นว่า ต้องงัดกลยุทธ์กันจนสุดท่าไม้ตาย เพราะบางรายต้องแฝงตัวเข้าไปอยู่ในวัด ไปกินไปนอนกับท่าน อุปัฏฐากรับใช้กันยิ่งกว่า ลูกศิษย์ใกล้ชิดเสียอีก ถ้าโชคดีท่านเมตตาก็ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาหลายรอบ"
หลวงปู่ลือ"พระลือผีย่าน"
ในจำนวนพระป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่นทั้งหมด สุรสีห์ ภูไท บอกว่า ปฏิปทา วัตรปฏิบัติ และเรื่องเล่าของหลวงปู่ลือ ปุญโญ วัดป่านาทามวนาวาส (ภูน้อย) อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร ถือว่าสุดยอด โดยได้นำเรื่องราวของท่านออกมาพิมพ์เผยแพร่โดยนิตยสาร “โลกทิพย์” ในปี พ.ศ.๒๕๓๘ ถึงกับลูกศิษย์มีการตั้งฉายานามท่านว่า "พระลือผีย่าน" ทั้งนี้ เขาได้รวบรวมประวัติที่เคยสัมภาษณ์เมื่อ ๒๐ ปีก่อน มาจัดพิมพ์เป็นพ็อกเก็ตบุ๊กเป็นครั้งแรก
“คนเราอย่ามองดูแต่เพียงเปลือกนอก ให้น้อมใจพิจารณาเอาแต่ของดีที่อยู่ภายใน ของร้ายๆ ให้อยู่แต่ภายนอก” นี่เป็นคำสอนของหลวงปู่ลือที่ สุรสีห์ ภูไท จำได้อย่างแม่นยำทั้งๆ ที่เคยไปสัมภาษณ์ทำประวัติท่านไว้ตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๖
สุรสีห์ ภูไท เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่มีความเชื่อมั่นในหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างสูง ท่านจึงประกาศตนอย่างชัดเจนว่าจะขอสร้างบารมีธรรมให้ถึงที่สุด ถึงขั้นเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อมุ่งสู่นิพพานโดยตรง ซึ่งจะเห็นได้จากช่วงหนึ่งของชีวิตท่านที่ฝึกจิตบำเพ็ญภาวนาด้วยการนั่งหันหน้าลงปากเหว เพื่อต่อสู้กับกิเลสในตนให้หมดสิ้นไปในชาตินี้ เรียกว่า ถ้าง่วงแล้วขาดสติก็ให้ตกลงไปตายเลย จึงเป็นที่มาของคำกล่าวขานยกย่องจากเหล่าสหธรรมิก หรือแม้กระทั่ง พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ยังกล่าวกับพระลูกศิษย์ว่า “พระลือรูปนี้ เป็นพระใจเด็ด ใจเพชร”
ในช่วงเหตุการณ์เครื่องบินตกที่ จ.ปทุมธานี เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ ทำให้แวดวงชาวพุทธในสายพระกรรมฐานต้องตื่นตะลึง เพราะในเครื่องบินลำนั้นมีพระกรรมฐานชื่อดังหลายท่านมรณภาพ ซึ่งหลวงปู่ลือก็ได้รับนิมนต์ไปในงานครั้งนี้ แต่ท่านปฏิเสธไปถึง ๓ ครั้ง ทำให้เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเกิดความงุนงงสงสัย ถามหลวงปู่ว่า ทำไมถึงไม่รับนิมนต์ แต่ท่านกลับบอกว่าท่านรับนิมนต์ไว้แล้ว แต่เป็นเทวดามานิมนต์ให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก เพราะยังไม่ถึงเวลาของท่าน จึงเกิดนิมิตขึ้นในคืนหนึ่งก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาถึง และท่านบอกกับพระลูกศิษย์ว่า “ท่านเห็นไฟกำลังไหม้เครื่องบิน”
"หลวงปู่ลือได้ออกธุดงค์ไปตามลำพังเพื่อหาสถานที่วิเวกฝึกกรรมฐานไปจนถึงฝั่งประเทศลาว และแผ่เมตตาแก่ญาติโยมชาวลาวเป็นเวลานาน จึงข้ามมาฝั่งไทย ท่านไปพบทหารกลุ่มหนึ่งกำลังสู้รบกับ ผกค.(ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์) ท่านจึงสละชายจีวรมอบแก่ทหารเหล่านั้นเพื่อปกป้องคุ้มครองผองภัยอันตรายทั้งปวง จนทหารกลุ่มนั้นแคล้วคลาดกลับที่ตั้งโดยปลอดภัยทุกคน ชาวบ้านดอนตาลดง ผกค.ในยุคนั้นจึงขนานนามทหารกลุ่มนั้นว่า "ทหารผีสิง" เพราะโดยปกติจะไม่มีใครรอดพ้นดงกับระเบิดและฝ่าแนวกระสุนออกมาได้เลย ทำให้ผู้คนทุกสารทิศที่ได้ยินกิตติศัพท์ หลวงปู่ลือ จึงหลั่งไหลกันไปกราบไหว้นมัสการ" สุรสีห์ ภูไท กล่าวทิ้งท้าย