
ภิกษุอภิมหาโจร!สันดานกาสืบมาแต่'พุทธกาล'
ภิกษุอภิมหาโจร!โล้นห่มเหลืองภิกษุสันดานกาที่สืบมาแต่'สมัยพุทธกาลถึงปัจจุบันนกาล' : เรื่องไตรเทพ ไกรงู ภาพประเสริฐ เทพศรี
เพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับจตุคามรามเทพ พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล ประธานจัดสร้างเทวาลัยจตุคามรามเทพนากปรก ๙ เศียร องค์ใหญ่ที่สุดในโลกและงดงามที่สุดในโลก ณ ริมฝั่งแม่น้ำกุยบุรี ต.หาดขาม อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้จัดนิทรรศการ “ความรู้สู่ความจริงแท้”
เพื่ออธิบายข้อมูลในเชิงลึกได้ทราบถึงประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับการสร้าง “หลักเมืองนครศรีธรรมราช” และ “วัตถุมงคลนครศรีธรรมราช” อย่างแท้จริง ให้แก่สมาชิก “อาศรมจตุคามรามเทพ”
นอกจากนี้แล้ว พล.ต.ท.สรรเพชญ ยังอธิบายความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนาด้วยทุกครั้ง โดยล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา เพื่อให้เข้ากับเหตุการณ์พระฉาวที่เป็นข่าวฉ่าวโฉ่ ท่านได้ให้ความรู้เรื่อง "ภิกษุอภิมหาโจรโล้นห่มเหลือง" ซึ่งมีใจความที่น่าสนใจดังนี้
ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าประทับจำพรรษาอยู่ ณ ป่ามหาวันใกล้เมืองเวสาลี ขณะนั้นฝนฟ้าเกิดอาเพศไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำนาทำไร่ไม่ได้ผล บังเกิดทุพภิกขภัยไปทั่ว ชาวบ้านอดอยากยากจนไม่มีข้าวปลาอาหารกิน ไม่มีใส่บาตรถวายพระ
ขณะนั้นมีภิกษุกลุ่มหนึ่งจำพรรษาอยู่ที่ชายป่าริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา เมื่อเห็นว่าชาวบ้านไม่ใส่บาตรเกิดความอดอยากหนักเข้า ก็คิดหาอุบายหลอกลวงชาวบ้านเพื่อจะได้ข้าวปลาอาหารมาฉันกันเหมือนเดิม จึงได้ประชุมปรึกษาหารือ ในที่สุดตกลงกันว่าจะต้องใช้อุบายอวดอ้างคุณวิเศษว่าเป็นผู้สำเร็จวิชชา ๓ ประการ อภิญญา ๖ สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์อภินิหารให้รู้ว่า เป็นผู้วิเศษ ทำทีพูดจายกย่องกันเองให้ชาวบ้านฟังว่า
พระรูปนี้ได้ฌานที่ ๑ พระรูปนั้นได้ฌานที่ ๒ พระรูปโน้นบรรลุโสดาบัน พระอาจารย์องค์นั้นเป็นพระอนาคามี พระอาจารย์องค์นี้เป็นพระอรหันต์ จนชาวบ้านพากันหลงเชื่อว่าเป็นผู้วิเศษจริง เกรงว่าภิกษุผู้วิเศษจะอดอยากปากแห้ง จึงดิ้นรนหาข้าวปลาอาหารมาใส่บาตรเลี้ยงดูภิกษุเหล่านั้นทุกวัน จนอิ่มหนำสำราญอ้วนท้วนผ่องใส
ครั้นเมื่อออกพรรษา ภิกษุเหล่านั้นต่างเก็บข้าวของเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ กูฏาคารศาลา ในป่ามหาวัน ใกล้เมืองเวสาลี ปรากฏว่า บรรดาภิกษุอื่นที่เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ล้วนแต่มีรูปกายผ่ายผอมซูบซีดอิดโรย เพราะอดอยากกันมาตลอดพรรษา คงมีแต่ภิกษุกลุ่มเดียวเท่านั้นที่มีผิวพรรณผ่องใสอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี พระพุทธเจ้าทรงมีความสงสัย ตรัสซักไซ้ไล่เลียงจึงรู้ว่า ภิกษุเหล่านั้นได้ใช้อุบายอวดวิเศษหลอกลวงชาวบ้าน พระองค์จึงทรงตรัสเรียกประชุมสงฆ์ เทศนาธรรมแล้ว ทรงมีพุทธบรรหาร บัญญัติเรื่อง “ภิกษุมหาโจร ๕ ประเภท” คือ
โจรที่รวมพวกกันได้นับร้อยนับพัน ยกพลบุกเข้าปล้นบ้านเผาเมืองฆ่าฟันผู้คน แย่งชิงปล้นเอาทรัพย์สินของเขามาเป็นของตนเอง เทียบได้กับภิกษุลามกรวบรวมบริวารแวดล้อมได้เป็นร้อยเป็นพัน ทำทีจาริกเข้าไปในหมู่บ้าน นิคม เมืองใหญ่ ใช้กลอุบายหลอกลวงให้ชาวบ้านหลงเชื่อเคารพบูชา เพื่อให้ตนได้มาซึ่งลาภสักการ จนร่ำรวยด้วยปัจจัย ๔ ภิกษุลามกอย่างนี้จัดเป็น “มหาโจรประเภทที่ ๑”
ภิกษุลามกบางรูปที่ได้เล่าเรียนพระธรรมวินัยอันล้ำลึก ซึ่งพระตถาคตผู้ทรงตรัสรู้อริยสัจได้ประกาศแล้ว กลับฉ้อฉลอ้างว่ารู้มาด้วยตนเอง คิดขึ้นมาได้เอง ไม่ได้เล่าเรียนมาจากใคร ภิกษุลามกอย่างนี้จัดเป็น “มหาโจรประเภทที่ ๒”
ภิกษุลามกบางรูปที่ปั้นเรื่องเท็จใส่ความเพื่อนพรหมจรรย์ผู้บริสุทธิ์ให้ได้รับความเสียหาย กล่าวหาโดยปราศจากมูลความจริง ก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่สงฆ์ ภิกษุลามกอย่างนี้จัดเป็น “มหาโจรประเภทที่ ๓”
ภิกษุลามกบางรูปอยากได้ลาภยศสักการจากคฤหัสถ์ เบียดบังเอาครุภัณฑ์ ครุบริขาร เครื่องใช้ไม้สอยของวัด ที่ดินพัสดุของสงฆ์ นำไปยกให้แก่คฤหัสถ์ ประจบประแจงเอาใจ ภิกษุเหล่านี้ถือว่าเป็น “มหาโจรประเภทที่ ๔”
ภิกษุลามกพวกสุดท้ายที่จัดเป็น “มหาโจรชั้นเลิศ” ทั้งในโลกมนุษย์ มารโลก และพรหมโลก คือ ภิกษุที่อวดตนว่ามีวิชาความรู้วิเศษ ทั้งๆ ที่ตนเองรู้อยู่แล้วว่าไม่เป็นความจริง ไม่สามารถทำให้วิเศษขึ้นได้จริงตามที่อวดอ้าง แต่เมื่อให้ได้มาซึ่งความเคารพนับถือกราบไหว้บูชา ได้มาซึ่งลาภสักการ อันเป็นการกระทำด้วยอุบายหลอกลวงเหมือนดังนายพรานผู้วางเหยื่อดักสัตว์ เพื่อจับกินเป็นอาหาร แม้ผู้นั้นห่อหุ้มคลุมกายด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ ก็ได้ชื่อว่าบริโภคก้อนข้าวของชาวบ้านในแบบลักขโมยด้วยการเนรคุณ ภิกษุลามกทุศีล “อวดอุตริมนุสสธรรม” เช่นนี้ถือว่าเป็น “ภิกษุอภิมหาโจรชั้นเลิศ” ประเภทที่ ๕
ครั้นแล้วพระพุทธเจ้าทรงตรัสตำหนิติเตียนเหล่าภิกษุที่จำพรรษาอยู่ริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา ด้วยประการต่างๆพร้อมทั้งทรงบัญญัติสิกขาบท “อจินไตย ๔ ประการ” เพิ่มเติม ทรงมีพุทธฎีกาห้ามไม่ให้ภิกษุทั้งหลาย อวดอ้างคุณวิเศษที่ไม่มีในตน แต่ได้อวดวิเศษไปหลอกลวงคนอื่นไปแล้ว แม้ว่าจะมาสารภาพผิดในภายหลัง ก็ถือว่าเป็นอาบัติปราชิก “จตุตถปราชิก” อันเป็นกรรมหนัก
ดังนั้นภิกษุรูปใดที่ “อวดอุตริมนุสธรรม” มีความผิดอาบัติปราชิกข้อที่ ๔ จึงเป็นครุกรรม ขาดจากความเป็นภิกษุไปในทันที แม้จะไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครกล่าวโทษฟ้องร้องก็ตาม เมื่อถูกสึกจากภิกษุไปแล้ว จะกลับมาบวชใหม่อีกไม่ได้
พล.ต.ท.สรรเพชญ ยังบอกด้วยว่า ข้อความในพระธรรมวินัยเรื่อง “จตุตถปราชิก” ที่กล่าวถึงพฤติกรรมของภิกษุลามกในสมัยพุทธกาล “อวดอุตริมนุสธรรม” ดังกล่าว มีหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎกทั้งของศาสนาพุทธ ฝ่ายหินยาน และฝ่ายมหายาน กล่าวกันว่า ได้รวบรวมถ้อยคำมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งทรงเทศนาสั่งสอนเรื่อง “ภิกษุมหาโจร ๕ จำพวก
"ภิกษุลามกพวกสุดท้ายที่ตั้งตัวเป็นเกจิอาจารย์ อวดอ้างว่ามีวิชาคาถาอาคมขลัง สามารถใช้บทสวดพระพุทธมนตร์เสกเป่าเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจตนเองแล้วว่าไม่เป็นความจริง แต่เป็นการใช้กลอุบายหลอกลวงชาวบ้านให้หลงเชื่อ เพื่อให้ได้มาซึ่งลาภสักการ พระพุทธเจ้าจึงทรงให้ฉายาแก่ภิกษุลามกดังกล่าวว่าเป็น “ภิกษุอภิมหาโจรชั้นเลิศ” หรือปัจจุบันอาจเรียกว่า “อภิมหาโจรโล้นห่มเหลือง”
สำหรับผู้ที่สนใจร่วมพิธี "ขอได้ไหว้รับ" รวมทั้งฟังบรรยายความรูเรื่องจตุคาม และประวัติศาตร์ต่างๆ เป็นประสบการณ์ ในวันเสาร์ที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๖ นี้ ตั้งเวลา ๐๘.๓๐ น.เป็นต้น พล.ต.ท.สรรเพชญ จะเปิดบรรยายฟรี ณ เทวาลัยจุตคามฯ สอบถามเส้นทางได้ที่ โทร.๐๘-๑๔๓๔-๗๓๒๘ หรือดูรายละเอียดได้ที่ WWW.SURIYUNJUNTRA.COM
ภิกษุสันดานกาจริงๆ
"ภาพภิกษุสันดานกา" รายละเอียดของภาพเขียนเป็น พระภิกษุ ๒ รูปหลับตาเอาศีรษะชนกันและมีปากเป็นปากของกา นอกจากนี้ยังมีรอยสักเต็มตัว และแสดงกิริยาแย่งสายสิญจน์กับตะกรุดที่อยู่ในบาตร ส่วนลายสักเป็นรูปกบกำลังผสมพันธุ์และตุ๊กแกกำลังผสมพันธุ์กัน
"ภาพหมา-นุษย์” รายละเอียดของภาพเขียนเป็นภาพของเปรต ซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานที่มีลักษณะคล้ายๆ หมากับมนุษย์ผสมผสานกันอยู่ เพื่อเตือนสติว่าถ้าคนเราไม่ยกระดับจิตใจหรือมีพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน ในที่สุดก็จะมีรูปลักษณ์ตามผลของกรรมนั้นๆ
"ภาพดูพระ" ของนายวาทิตย์ เสมบุตร นักศึกษาชั้นปีที่ ๓ คณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร รายละเอียดของภาพเขียนเป็นรูปพระภิกษุและชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังเลือกดูพระเครื่องลางอันเป็นภาพที่ประชาชนพบเห็นทั่วไป
ภาพทั้ง ๓ ใบนี้มีกระแสต่อต้านพระภิกษุสงฆ์, สมัชชาองค์กรชาวพุทธแห่งชาติ, องค์กรพุทธศาสนา ๕๓ องค์กร และศูนย์พิทักษ์พุทธศาสนาแห่งประเทศไทย โดยยกข้ออ้างที่ว่า "เป็นการเหยียบย่ำพุทธศาสนา ออกมาแสดงตัวรับผิดชอบปัญหานี้"
ทั้งนี้ นายอนุพงษ์ จันทร อาจารย์ประจำคณะ สถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาจิตรกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เจ้าของผลงาน "ภาพภิกษุสันดานกา" และ "ภาพหมา-นุษย์” ได้ให้เหตุผลไว้ว่า "ภาพที่วาดขึ้นเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคม ได้แนวคิดจากนิทานทางพุทธศาสนาเรื่องเปรตภูมิ โดยต้องการนำเสนอภาพดังกล่าว เพื่อกระตุ้นให้สังคมช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนาไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของผู้แสวงหาประโยชน์จากพุทธศาสนา"
ในขณะที่พระราชธรรมนิเทศ หรือพระพยอม กัลยาโณ พระนักเทศน์ชื่อดังแห่งวัดสวนแก้ว กล่าวว่า ผู้ที่เคยอ่านหนังสือขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ หรือหนังสือของท่านพุทธทาส จะเข้าใจภาพภิกษุสันดานกา แต่ถ้าเป็นพระที่ไม่เคยอ่านก็จะเกิดความเดือดดาล ส่วนตัวแล้วเข้าใจความหมายของภาพที่ศิลปินต้องการจะสื่อออกมาว่าปัจจุบันยังคงมีพระแบบนี้อยู่ ซึ่งผู้ที่ถูกติเตียนก็ควรยอมรับความจริงกันบ้าง เพราะพระพุทธเจ้าสอนว่าให้ยอมรับคำตำหนิติเตียนจากผู้อื่น