พระเครื่อง

พระสมเด็จเนื้อหินอ่อนแตกลายงาชมรมนักอนุรักษ์สะสมพระเครื่องฯ

พระสมเด็จเนื้อหินอ่อนแตกลายงาชมรมนักอนุรักษ์สะสมพระเครื่องฯ

17 ส.ค. 2556

พระสมเด็จเนื้อหินอ่อนแตกลายงาของ...ชมรมนักอนุรักษ์สะสมพระเครื่องสยาม : พระองค์ครู เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู

              ตำนานแห่งรังพระในอดีตที่มีชื่อเสียงมีอยู่ ๔ รังใหญ่ๆ คือ ๑.รังพระของครูเอื้อ สุนทรสนาน เจ้าของตำนานพระสมเด็จองค์ครูเอื้อ (พระสมเด็จ วัดระฆัง พิมพ์ใหญ่) ๒.รังพระของเจ้แจ๋ว เจ้าของสมเด็จ วัดระฆัง พิมพ์ทรงเจดีย์ องค์เจ้แจ๋ว ๓.รังพระของท่านลพ ซึ่งเป็นพระภิกษุ ถือว่าเป็นรังที่มีพระพุทธรูปบูชาที่เก่าแก่จำนวนมาก และ ๔.รังพระของคุณฉ่าหลี ยงสุนทร อดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่าเป็นเจ้าของรังพระที่รู้จักกันดีในวงการพระโบราณ มีพระชุดเบญจภาคีชั้นนำอยู่นับสิบองค์ เช่น เจ้าของพระสมเด็จวัดระฆัง องค์ลุงพุฒิ (ปัจจุบันอยู่กับโป๊ยเสี่ย) พระสมเด็จ วัดระฆัง องค์ขุนศรี (พิมพ์ใหญ่)

              ส่วน "รังพระสมเด็จ" ที่ขึ้นชื่อของวงการพระเครื่องในปัจจุบัน ซึ่งมูลค่าของพระบางรังอาจจะสูงถึงหลักพันล้าน เช่น รังพระของนายไชยทัศน์ เตชะไพบูลย์ หรือ "โป๊ยเสี่ย" เจ้าของพระสมเด็จองค์ลุงพุฒิ (พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่) รังพระของนายปรีดา อภิปุญญา หรือ "เฮียหนึ่ง" เจ้าของพระสมเด็จองค์ครูเอื้อ (พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่) พระเครื่ององค์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพระดังในตำนานที่ย้ายเข้าไปอยู่ในรังของนายวิชัย รักศรีอักษร ประธานกลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ เจ้าของฉายา “เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี” หรือเสี่ยวิชัย มี ๒ องค์ คือพระสมเด็จ "องค์เปาบุ้นจิ้น" และพระสมเด็จ “องค์ขุนศรี”

              ทั้งนี้ พ.อ.ผจญ กิตติประวัติ หรือ อ.ตรียัมปวาย ผู้ขนานนาม "พระเครื่องชุดเบญจภาคี" พิมพ์หนังสือ ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่อง เล่ม ๑ เรื่องพระสมเด็จ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๗ ซึ่งเป็นต้นตำรับแห่งหนังสือพระสมเด็จในปัจจุบัน กล่าวว่า มีทั้งหมด ๑๒ วรรณะ ได้แก่ ได้แก่ ๑.สีน้ำนม ๒.สีจำปี ๓.สีงาช้าง ๔.สีดินดิบ ๕.สีน้ำข้าว ๖.สีก้านมะลิ ๗.สีขี้เถ้า ๘.สีลาน ๙.สีมะกอกสุก ๑๐.สีเมล็ดพิกุล ๑๑.สีช็อกโกแลตอ่อน และ ๑๒.สีพิกุลแห้ง

              สำหรับภาพพระองค์ครูฉบับนี้เป็นภาพพระสมเด็จ เนื้อหินอ่อนแตกลายงา จากหนังสือ “สมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม จักรพรรดิแห่งพระเครื่องไทย" เล่มแรกที่จัดพิมพ์โดย "ชมรมนักอนุรักษ์สะสมพระเครื่องสยาม" ซึ่งมีนายกล้า เกษสุรินทร์ชัย หรือ "เสี่ยกล้า" เป็นประธานชมรม โดยในการจัดพิมพ์หนังสือแต่ละเล่มนั้น เสี่ยกล้าลงทุนไม่ตำกว่าครั้งละประมาณ ๒ ล้านบาท แต่ละเล่มใช้เวลารวบรวมประมาณ ๒-๕ ปี โดยมีความตั้งใจว่าเมื่อรวบรวมแม่พิมพ์ได้พอสำหรับจัดพิมพ์ หรือประมาณ ๑๕๐-๒๐๐ พิมพ์ ก็จะพิมพ์เพิ่มเป็นเล่มที่ ๔ เล่มที่ ๕ ส่วนภาพพระสมเด็จที่ปรากฏในหนังสือนั้นเป็นการเรียงตามลำดับแม่พิมพ์ที่ค้นพบในช่วงเวลาต่างๆ

              ทั้งนี้ เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๐ เสี่ยกล้าได้พิมพ์หนังสือออกมาจำนวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม ซึ่งเป็นเล่มแรก จำหน่ายในราคาเล่มละ ๑,๔๐๐ บาท ปัจจุบันขายหมดแล้ว กลายเป็นหนังสือหายากเล่มหนึ่ง ราคาขยับขึ้นเล่มละ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ บาท ส่วนเล่มที่ ๒ พิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๕๒ จำนวน ๕,๐๐๐ เล่ม ออกจำหน่ายเล่มละ ๒,๕๐๐ บาท โดยได้รับความนิยมไม่แพ้เล่มแรก เล่มที่ ๓ จำนวน ๕,๐๐๐ เล่ม จำหน่ายเล่มละ ๒,๕๐๐ บาท ทั้งนี้ เปิดตัวและวางจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำ เมื่อ พ.ศ.๒๕๕๕

              ด้วยความนิยมเล่นพระสมเด็จในแนวของ "ชมรมนักอนุรักษ์สะสมพระเครื่องสยาม" ทำให้หนังสือที่จัดพิมพ์โดยเสี่ยกล้าขายหมดและเป็นที่ต้องการ ล่าสุดเสี่ยกล้ากำลังดำเนินการจัดพิมพ์เล่มที่ ๕ เสี่ยกล้าบอกว่า

              "ในฐานะที่คนทำหนังสือรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้โกรธแค้นคนที่มาสวดคนวงการพระเครื่องว่า ภาพพระสมเด็จในหนังสือไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่พระที่คนในวงการพระเครื่องยอมรับกัน วงการพระเครื่องจะยอมรับหรือไม่ยอมรับนั้น ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะถ้าหนังสือไม่ดีจริงในสัปดาห์แรกของการวางจำหน่ายมียอดขายกว่า ๑,๐๐๐ เล่ม ที่สำคัญวันนี้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าคุณภาพหนังสือไม่แตกต่างจากหนังสือเล่มอื่นๆ ในวงการพระเครื่อง